ท่ามกลางผลประกอบการณ์ไตรมาสที่ 2 ปี 2561 ของหุ้นสายการบินในประเทศไทยที่ติดลบตัวแดงกันถ้วนหน้านำโดย
การบินไทย รายได้ 47,239 ล้านบาท ขาดทุน 3,086 ล้านบาท
ไทยแอร์เอเชีย ทำได้ 9,302 ล้านบาท ขาดทุน 306 ล้านบาท
บางกอกแอร์เวย์ ทำได้ 6,341 ล้านบาท ขาดทุน 82 ล้านบาท
นกแอร์ ทำได้ 4,841 ล้านบาท ขาดทุน 1,095 ล้านบาท
แม้ว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นตามกระแสการเดินทางท่องเที่ยวแต่ด้วยผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นมาเกือบ 40% ในปีนี้จึงทำให้สายการบินเหล่านี้ขาดทุนจำนวนมาก
แล้วทำไมนักลงทุนแนววีไออันดับหนึ่งของโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ถึงลงทุนในหุ้นสายการบินของอเมริกาอย่างต่อเนื่อง?
นักลงทุนอาจจะเริ่มสงสัยกันแล้วว่าสายการบินในอเมริกาที่คุณปู่ลงทุนมีผลดำเนินงานไตรมาสล่าสุดเป็นอย่างไรบ้าง
สายการบิน DELTA รายได้ 396,000 ล้านบาท สามารถทำกำไรได้ 33,000 ล้านบาท
สายการบิน SOUTHWEST (สายการบิน Low Cost) รายได้ 189,000 ล้านบาท ทำกำไรได้ 22,000 ล้านบาท
ทำไมบัฟเฟตต์ถึงลงทุนในหุ้นสายการบินทั้งที่ในอดีตเคยเขียนลงจดหมายถึงผู้ถือหุ้นเตือนนักลงทุนไม่ให้ซื้อหุ้นสายการบินเพราะการแข่งขันรุนแรง เราลองมาดูกัน
1. บัฟเฟตต์มองไปที่กระแสการเดินทางทั่วโลกโดยเฉพาะที่อเมริกามีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจาก World Bank ระบุว่าในปี 2555 จำนวนผู้โดยสารผ่านทางการบินทั่วโลกอยู่ที่ 2,900 ล้านคน แต่เมื่อปีที่แล้วมีผู้โดยสารมากถึง 4,000 ล้านคนหรือเติบโตถึง 38% ใน 5 ปี เฉพาะในอเมริกาอย่างเดียวก็มีผู้โดยสารประมาณ 849 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว จะเห็นได้ว่ายิ่งคนเดินทางเยอะ รายได้ของสายการบินยิ่งโต
2. สายการบินทั้งสองมีงบการเงินและการบริหารจัดการที่ยอดเยี่ยม
- สายการบิน DELTA มีต้นทุนสินค้า (COGS) อยู่ที่ 73% ของรายได้ มีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการและการขายอยู่ที่ 12.6% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 8.7%
ในแง่ของสถานะทางการเงิน DELTA ก็สามารถผลิตกระแสเงินสดได้มากถึง 40,000 ล้านบาทในช่วงหกเดือนของครึ่งปีแรก แม้ว่าสัดส่วนของหนี้สินต่อทุนจะอยู่ที่ 3.3 เท่าแต่มั่นใจได้ว่าบริษัทสามารถผลิตเงินสดมาชำระหนี้ได้อย่างแน่นอน
อัตราส่วนทางการเงินหุ้น DELTA มีค่าพีอีอยู่ที่ 12 เท่า มี ROE 26.37 เท่าแสดงให้เห็นว่าหุ้นราคาไม่สูงมากนักรวมทั้งมีการจ่ายเงินปันผลที่ดี
กลยุทธ์ของ DELTA เน้นบริหารจัดการฝูงบินให้มีอายุการใช้งานอย่างคุ้มค่า อายุเฉลี่ยของฝูงบิน 867 ลำตอนนี้อยู่ที่ 16.6 ปี บริษัทได้ตั้งทีม MRO (Maintenance, Repair, Overhaul) มาช่วยในการบำรุงรักษาเครื่องบินให้มีอายุการใช้งานได้ยาวนานขึ้น นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายและจำนวนเครื่องบินที่ใหญที่สุดจึงมีได้ประโยชน์จาก Economies of Scale
ปัจจุบันบัฟเฟตต์ถือหุ้นอยู่ 63.6 ล้านหุ้น หรือ 9.2% ของหุ้นทั้งหมด มูลค่ารวมกว่า 121,000 ล้านบาท
- ส่วนสายการบิน SOUTHWEST มีต้นทุนสินค้า (COGS) อยู่ที่ 36.8% ของรายได้ มีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการและการขายอยู่ที่ 46.3% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 12.8% จะเห็นได้ว่าสายการบิน Low Cost มีต้นทุนสินค้าต่ำกว่า DELTA อย่างมากแต่มีค่าใช้จ่ายการบริหารในสัดส่วนของรายได้ที่สูงกว่า
ในแง่ของสถานะทางการเงิน ก็สามารถผลิตกระแสเงินสดได้มากถึง 51,000 ล้านบาทในช่วงหกเดือนของครึ่งปีแรก สัดส่วนของหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.6 เท่า ไม่ได้มีความเสี่ยงทางการเงินมากนักเพราะสร้างกระแสเงินสดจำนวนมากได้ทุกปี
SOUTHWEST มีค่าพีอีอยู่ที่ 16.57 เท่า มี ROE 23.5 เท่า
กลยุทธ์ 1)เน้นการใช้เครื่องบินรุ่นและแบบเดียวกันทั้งหมด 723 ลำคือใช้ BOEING 737 เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและเก็บอุปกรณ์สำรองที่หลากหลาย 2)เป็นสายการบินที่เน้นการบินไปกลับที่จุดเดิม (Point to Point) โดยใช้เวลาในการลงจอดที่สนามบิน ขนคนออก ผู้โดยสารขึ้นเครื่องแล้วบินกลับจุดที่เดินทางจากมาใช้เวลาเพียง 25 นาที จึงทำให้บริษัทใช้ประโยชน์ของเครื่องบินและแรงงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ลดจำนวนเครื่องบินลงได้เพราะแต่ละลำทำงานอย่างเต็มที่ 3)เน้นขายตั๋วผ่านทางเวปไซค์ของตนเอง ลดการขายผ่านนายหน้าให้น้อยที่สุด
บัฟเฟต์ถือหุ้นอยู่ 56.5 ล้านหุ้น หรือ 9.75% ของหุ้นทั้งหมด มูลค่ารวมกว่า 114,000 ล้านบาท
โดยสรุปหุ้นสายการบินของอเมริกามีการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีกว่า ถ้าลองเทียบกับหุ้นสายการบินในไทยที่น่าจะมีกำไรดีที่สุดอย่างสายการบินไทยแอร์เอเชียซึ่งต้นทุนสินค้าสูงถึง 97% ของยอดขาย เมื่อรวมกับต้นทุนในการบริหารและขายอีก 4.5% บริษัทจึงขาดทุน
เห็นได้ว่าการลงทุนแบบวีไอไม่ใช่เพียงแค่ลงทุนตามเซียน ควรจะต้องศึกษาด้วยตัวเองเพื่อให้รู้ถึงโอกาสและความเสี่ยงก่อนลงทุนทุกครั้ง
ตัวอย่างธุรกิจสายการบินเป็นข้อมูลที่ให้เห็นภาพ แม้ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันแต่ถ้ามีการบริหารจัดการที่แตกต่างกัน ผลลัพธ์ก็จะต่างกันเยอะครับ #วอร์เรนบัฟเฟตต์ #หุ้นสายการบิน
ทำไมวอร์เรน บัฟเฟตต์ลงทุนในหุ้นสายการบิน - By Billionaire VI
การบินไทย รายได้ 47,239 ล้านบาท ขาดทุน 3,086 ล้านบาท
ไทยแอร์เอเชีย ทำได้ 9,302 ล้านบาท ขาดทุน 306 ล้านบาท
บางกอกแอร์เวย์ ทำได้ 6,341 ล้านบาท ขาดทุน 82 ล้านบาท
นกแอร์ ทำได้ 4,841 ล้านบาท ขาดทุน 1,095 ล้านบาท
แม้ว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นตามกระแสการเดินทางท่องเที่ยวแต่ด้วยผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นมาเกือบ 40% ในปีนี้จึงทำให้สายการบินเหล่านี้ขาดทุนจำนวนมาก
แล้วทำไมนักลงทุนแนววีไออันดับหนึ่งของโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ถึงลงทุนในหุ้นสายการบินของอเมริกาอย่างต่อเนื่อง?
นักลงทุนอาจจะเริ่มสงสัยกันแล้วว่าสายการบินในอเมริกาที่คุณปู่ลงทุนมีผลดำเนินงานไตรมาสล่าสุดเป็นอย่างไรบ้าง
สายการบิน DELTA รายได้ 396,000 ล้านบาท สามารถทำกำไรได้ 33,000 ล้านบาท
สายการบิน SOUTHWEST (สายการบิน Low Cost) รายได้ 189,000 ล้านบาท ทำกำไรได้ 22,000 ล้านบาท
ทำไมบัฟเฟตต์ถึงลงทุนในหุ้นสายการบินทั้งที่ในอดีตเคยเขียนลงจดหมายถึงผู้ถือหุ้นเตือนนักลงทุนไม่ให้ซื้อหุ้นสายการบินเพราะการแข่งขันรุนแรง เราลองมาดูกัน
1. บัฟเฟตต์มองไปที่กระแสการเดินทางทั่วโลกโดยเฉพาะที่อเมริกามีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจาก World Bank ระบุว่าในปี 2555 จำนวนผู้โดยสารผ่านทางการบินทั่วโลกอยู่ที่ 2,900 ล้านคน แต่เมื่อปีที่แล้วมีผู้โดยสารมากถึง 4,000 ล้านคนหรือเติบโตถึง 38% ใน 5 ปี เฉพาะในอเมริกาอย่างเดียวก็มีผู้โดยสารประมาณ 849 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว จะเห็นได้ว่ายิ่งคนเดินทางเยอะ รายได้ของสายการบินยิ่งโต
2. สายการบินทั้งสองมีงบการเงินและการบริหารจัดการที่ยอดเยี่ยม
- สายการบิน DELTA มีต้นทุนสินค้า (COGS) อยู่ที่ 73% ของรายได้ มีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการและการขายอยู่ที่ 12.6% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 8.7%
ในแง่ของสถานะทางการเงิน DELTA ก็สามารถผลิตกระแสเงินสดได้มากถึง 40,000 ล้านบาทในช่วงหกเดือนของครึ่งปีแรก แม้ว่าสัดส่วนของหนี้สินต่อทุนจะอยู่ที่ 3.3 เท่าแต่มั่นใจได้ว่าบริษัทสามารถผลิตเงินสดมาชำระหนี้ได้อย่างแน่นอน
อัตราส่วนทางการเงินหุ้น DELTA มีค่าพีอีอยู่ที่ 12 เท่า มี ROE 26.37 เท่าแสดงให้เห็นว่าหุ้นราคาไม่สูงมากนักรวมทั้งมีการจ่ายเงินปันผลที่ดี
กลยุทธ์ของ DELTA เน้นบริหารจัดการฝูงบินให้มีอายุการใช้งานอย่างคุ้มค่า อายุเฉลี่ยของฝูงบิน 867 ลำตอนนี้อยู่ที่ 16.6 ปี บริษัทได้ตั้งทีม MRO (Maintenance, Repair, Overhaul) มาช่วยในการบำรุงรักษาเครื่องบินให้มีอายุการใช้งานได้ยาวนานขึ้น นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายและจำนวนเครื่องบินที่ใหญที่สุดจึงมีได้ประโยชน์จาก Economies of Scale
ปัจจุบันบัฟเฟตต์ถือหุ้นอยู่ 63.6 ล้านหุ้น หรือ 9.2% ของหุ้นทั้งหมด มูลค่ารวมกว่า 121,000 ล้านบาท
- ส่วนสายการบิน SOUTHWEST มีต้นทุนสินค้า (COGS) อยู่ที่ 36.8% ของรายได้ มีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการและการขายอยู่ที่ 46.3% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 12.8% จะเห็นได้ว่าสายการบิน Low Cost มีต้นทุนสินค้าต่ำกว่า DELTA อย่างมากแต่มีค่าใช้จ่ายการบริหารในสัดส่วนของรายได้ที่สูงกว่า
ในแง่ของสถานะทางการเงิน ก็สามารถผลิตกระแสเงินสดได้มากถึง 51,000 ล้านบาทในช่วงหกเดือนของครึ่งปีแรก สัดส่วนของหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.6 เท่า ไม่ได้มีความเสี่ยงทางการเงินมากนักเพราะสร้างกระแสเงินสดจำนวนมากได้ทุกปี
SOUTHWEST มีค่าพีอีอยู่ที่ 16.57 เท่า มี ROE 23.5 เท่า
กลยุทธ์ 1)เน้นการใช้เครื่องบินรุ่นและแบบเดียวกันทั้งหมด 723 ลำคือใช้ BOEING 737 เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและเก็บอุปกรณ์สำรองที่หลากหลาย 2)เป็นสายการบินที่เน้นการบินไปกลับที่จุดเดิม (Point to Point) โดยใช้เวลาในการลงจอดที่สนามบิน ขนคนออก ผู้โดยสารขึ้นเครื่องแล้วบินกลับจุดที่เดินทางจากมาใช้เวลาเพียง 25 นาที จึงทำให้บริษัทใช้ประโยชน์ของเครื่องบินและแรงงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ลดจำนวนเครื่องบินลงได้เพราะแต่ละลำทำงานอย่างเต็มที่ 3)เน้นขายตั๋วผ่านทางเวปไซค์ของตนเอง ลดการขายผ่านนายหน้าให้น้อยที่สุด
บัฟเฟต์ถือหุ้นอยู่ 56.5 ล้านหุ้น หรือ 9.75% ของหุ้นทั้งหมด มูลค่ารวมกว่า 114,000 ล้านบาท
โดยสรุปหุ้นสายการบินของอเมริกามีการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีกว่า ถ้าลองเทียบกับหุ้นสายการบินในไทยที่น่าจะมีกำไรดีที่สุดอย่างสายการบินไทยแอร์เอเชียซึ่งต้นทุนสินค้าสูงถึง 97% ของยอดขาย เมื่อรวมกับต้นทุนในการบริหารและขายอีก 4.5% บริษัทจึงขาดทุน
เห็นได้ว่าการลงทุนแบบวีไอไม่ใช่เพียงแค่ลงทุนตามเซียน ควรจะต้องศึกษาด้วยตัวเองเพื่อให้รู้ถึงโอกาสและความเสี่ยงก่อนลงทุนทุกครั้ง
ตัวอย่างธุรกิจสายการบินเป็นข้อมูลที่ให้เห็นภาพ แม้ว่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันแต่ถ้ามีการบริหารจัดการที่แตกต่างกัน ผลลัพธ์ก็จะต่างกันเยอะครับ #วอร์เรนบัฟเฟตต์ #หุ้นสายการบิน