30 ปีในตลาดหุ้น/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ผมเริ่ม “ลงทุน” หรือว่าที่จริงน่าจะเรียกว่า  “เล่นหุ้น” มาตั้งแต่ปี 2529-30 ซึ่งเป็นเวลาที่ผมเรียนจบปริญญาเอกทางด้านการเงินจากสหรัฐอเมริกาและกลับมาทำงานทางด้านการเงินที่อดีต “บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย” ซึ่งเป็นสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้เงินทุนระยะยาวให้กับโครงการอุตสาหกรรมในประเทศไทย และ “สนับสนุน” ให้เกิด “เงินทุนระยะยาว” ขึ้นในประเทศ  เช่น  Underwrite หรือรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  และจัดตั้ง “บริษัทจัดการกองทุนรวม”  แห่งแรกในประเทศไทย  เพื่อขายหน่วยลงทุนให้กับประชาชนและนำเงินนั้นมาซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์  ถ้าจะพูดก็คือ  บรรษัทเป็นสถาบัน “กึ่งรัฐ” ที่มีหน้าที่หรือบทบาทในการพัฒนา “ตลาดทุน” ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นหรือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วย  เพื่อที่จะช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศไทยที่ยังเป็นประเทศ  “เกษตรกรรม” ในช่วง 40-50 ปีก่อน

    การทำงานที่บรรษัทนั้นได้ทำให้ผมเข้าไปเกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นอย่างไม่ตั้งใจเริ่มตั้งแต่การได้เข้าไป  “แก้ไข”  หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือ  เข้าไป  “รับรู้” ปัญหาที่เกิดขึ้นกับตลาดในปี 2530 ที่เกิดเหตุการณ์ “Black Monday” หรือ “วันจันทร์ทมิฬ” ในวันที่ 19 ตุลาคม 2530 ที่ตลาดหุ้นทั่วโลกตกลงมาหนักที่สุดในประวัติศาสตร์ในหนึ่งวัน  โดยที่ดัชนีดาวโจนส์ลดลงไปถึง 508 จุดเหลือ 1738.74 จุดหรือลดลงถึง22.61%  เหตุการณ์แบล็คมันเดย์นั้น  ถูกวิเคราะห์ว่าเกิดจากการซื้อขายของ  “Program Trading”  หรือการซื้อขายโดยอาศัยคอมพิวเตอร์สั่งซื้อขายหุ้นอย่างรวดเร็วโดยอิงกับเรื่องของราคาหุ้นที่ขึ้นลง  โดยที่โปรแกรมนั้นทำขึ้นเพื่อเป็นการป้องกันพอร์ตของเทรดเดอร์ไม่ให้เสียหายหนักถ้าหุ้นมีความผันผวนหรือตกลงมาแรงที่เรียกกันในสมัยนั้นว่า  “Portfolio Insurance” อย่างไรก็ตาม  นักวิชาการบางคนก็เถียงว่ามันอาจจะเกิดขึ้นจากการที่ราคาหุ้นหรือดัชนีตลาดก่อนหน้านั้นขึ้นมาแรงเกินไป  โปรแกรมเทรดดิ้งแค่ทำให้มันปรับตัวลงมาอย่างรวดเร็วมาก

    การลงทุนในตลาดหุ้นของผมในช่วง 10 ปีแรกนั้น  เริ่มตั้งแต่การซื้อหุ้นจองหรือ  IPO โดยเฉพาะที่บรรษัทเป็นผู้รับประกันการจำหน่ายซึ่งก็ได้มาในระดับร้อยหุ้นเท่านั้น  ต่อมาผมก็เริ่มซื้อขายหุ้นเองบ้าง  และก็เริ่มมากขึ้นเมื่อผมย้ายงานมาอยู่ในบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์โดยทำหน้าที่ทางด้านวานิชธนกิจหรือ IB ที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาการระดมเงินแก่บริษัทจดทะเบียนและการรับประกันการจำหน่ายหุ้น  รวมถึงการลงทุนโดยพอร์ตของบริษัทเองที่ในปัจจุบันเรียกว่า  “ป็อปเทรด” อย่างไรก็ตาม  ทั้งหมดนั้นก็เป็นเรื่องของการ  “เก็งกำไร” แต่เนื่องจากเป็นคนที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยมและกลัวความเสี่ยง  ผมจึงลงเงินเพียงเล็กน้อย  ไม่น่าจะเกิน 10% ของเงินที่มีอยู่ทั้งหมด  ผมไม่เคยนับและบันทึกผลงานการลงทุน  แต่ถ้าจะเดาก็คือคง  “เสมอตัว” ไม่ได้กำไรหรือขาดทุนแม้ว่าช่วง 10 ปีนั้นตลาดหุ้นจะขึ้นมามหาศาล

    สิบปีหลังจากวิกฤติตลาดหุ้นแบล็คมันเดย์คือในปี 2540 ผมก็พบกับวิกฤติตลาดหุ้นอีกครั้งเมื่อไทยประกาศลดค่าเงินบาทลงและคนขาดความมั่นใจส่งผลให้ค่าเงินบาทตกลงมาอย่างหนักจาก 25 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์กลายเป็น 50 บาทต่อหนึ่งดอลลาร์ซึ่งส่งผลให้บริษัทจำนวนมากล้มละลาย  ตลาดหุ้นตกลงมากว่า 50% ในปี 2540 และอนาคตของประเทศดูมืดมนเนื่องจากบริษัทเกือบทั้งประเทศต่างก็เป็นหนี้มากมายและไม่มีใครมี “เงินสด” ที่จะนำมาลงทุนได้เป็นเรื่องเป็นราว  ผู้คนจำนวนมากรวมทั้งตัวผมเองต้อง  “ตกงาน”  และไม่รู้ว่าจะยังหางานอื่นที่ดีหรือมีรายได้พอเลี้ยงชีพหรือดำรงสถานะความเป็นอยู่แบบเดิมได้หรือไม่  แต่ก็อย่างที่ปราชญ์บางคนกล่าวไว้  “ในวิกฤติมีโอกาส”

    ผมเริ่มต้นชีวิตการลงทุน  “เพื่อชีวิต” เพราะไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำงานด้วยน้ำพักน้ำแรงแล้วมีเงินพอดำรงชีพแบบเดิมได้   ผมเห็นโอกาสที่จะลงทุนในบริษัทที่มีคุณภาพดีเยี่ยม  เป็นผู้นำที่ขายสินค้าที่ยังมีความต้องการเพิ่มขึ้น  มีหนี้น้อย  และที่สำคัญราคาหุ้นถูกมาก  ค่า PEไม่ถึง 10 เท่า  ปันผลอย่างน้อย 5% ต่อปี  บางบริษัทอาจจะถึง 10%  ผมคำนวณดูแล้ว  เงินออมของผมทั้งหมดที่มีอยู่  ถ้านำไปลงในหุ้นพวกนี้  ผมจะได้รับปันผลเพียงพอที่จะอยู่ได้โดยไม่เดือดร้อน  ผมค่อย ๆ ลงจนเงินออมทั้งหมดอยู่ในตลาดหุ้น  ผมลงโดยไม่คิดว่าจะขายหุ้น  ผมคิดว่าผมกำลังลงทุนทำธุรกิจหลาย ๆ  อย่างที่ดีเยี่ยม  มีกำไรและจ่ายปันผลดี ผมจะอยู่กับมันไปเรื่อย ๆ  ตลอดไป  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ถึงผมอยากจะขาย  ผมก็ขายไม่ได้  ในช่วงเวลานั้น  ไม่มีใครมีเงินซื้อหุ้น  มีแต่คนอยากขาย  ผมประกาศตัวเป็น Value Investor หรือ VI ทั้ง ๆ  ที่ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร

    หลังจากการเป็น VI และความคิดด้าน VI กลายเป็นกระแสใหม่  มีคนที่เรียกตัวเองว่า VI จำนวนมาก  การลงทุนแบบ VI ประสบความสำเร็จอย่างสูงส่วนหนึ่งจากภาวะตลาดหุ้นที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ  ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ  ในปี 2551 หรือ 10 ปีเต็มนับจากวิกฤติปี 40 ตลาดหุ้นไทยก็ประสบกับวิกฤติอีกครั้งหนึ่งตามวิกฤติที่เกิดขึ้นจากกรณี “ซับไพร์ม” หรือวิกฤติฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ ดัชนีหุ้นไทยตกลงไปถึงเกือบ 50%  ตลาดหุ้นไทยตกอยู่ในภาวะซบเซาและหลายคนคิดว่าเศรษฐกิจไทยจะคล้ายหรือหนักกว่าภาวะวิกฤติในปี 2540  อย่างไรก็ตาม  ความเป็นจริงนั้นตรงกันข้าม  ภายในเวลาเพียงปีสองปี  ทุกอย่างกลับมาอย่างรวดเร็วพร้อม ๆ  กับตลาดหุ้นที่คึกคักกว่าเดิม  เกือบ 10 ปีที่ผ่านมามันกลายเป็นยุคทองหรือทศวรรษทองของตลาดหุ้นและ VI โดยที่ปีที่เลวร้ายมีน้อยมาก  และถ้าปีนี้ตลาดก็ยังดีอยู่  ทศวรรษนี้ก็จะเป็นทศวรรษที่ดีและไม่เกิดวิกฤติตลาดเลย

    ถ้าจะมองย้อนหลังไปช่วงที่ตลาดเปิดใหม่ ๆ  ในปี 2518 พอถึงปี 2522 ตลาดไทยก็เกิดวิกฤติ “ราชาเงินทุน” ที่บริษัทหลักทรัพย์ราชาเงินทุนที่เข้ามาเล่นหุ้นตนเองล้มละลาย  ก่อให้เกิดวิกฤติ  ดัชนีหุ้นลดลงถึงกว่า 40%  ก็จะพบว่า  ประมาณทุก 10 ปี เป็นเวลา 4 ครั้งคือประมาณปี 2520 30  40 และ 50 ที่ตลาดเกิดวิกฤติ  แต่เกือบ 10 ปีสุดท้ายนี้  กลับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดและตลาดไม่เกิดวิกฤติเลย  ว่าที่จริงสิบปีสุดท้ายนี้เป็นช่วงเวลาที่เราแทบไม่เคยเจอช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นตกรุนแรงด้วยซ้ำ  ซึ่งทำให้นักลงทุนรุ่นใหม่จำนวนมากมองภาพของตลาดหุ้นที่ดีและอาจจะมี  “ความเสี่ยงต่ำ”  คนที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับตลาดหุ้นจำนวนมากนำเงินเข้ามาลงทุนราวกับว่าเงินนั้นมีแต่จะเพิ่มขึ้น  แต่นี่สำหรับผมแล้วกลับเป็นเรื่องที่น่าห่วง   ผมเองนั้นก็ไม่คิดว่าจะเกิดวิกฤติในปี 2560  ผมไม่เชื่อเรื่องดวง  ว่าที่จริงถ้าจะเกิดวิกฤติจริงผมก็ไม่กลัวเนื่องจากผมผ่านมันมาหลายครั้งแล้ว  ผมเพียงแต่คิดว่าผมต้องหาหุ้นที่ปลอดภัยพอสมควรแม้ว่าจะเกิดวิกฤติ  ซึ่งมันก็จะต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วเพราะมันเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์  ตลาดหุ้นก็เป็นอย่างนั้น  นักลงทุนที่ดีก็คือจะต้องผ่านวิกฤติให้ได้ทุกครั้ง

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ที่มา : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=60681

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่