Review : Resident Evil 5 (PC)

กระทู้สนทนา
Review : Resident Evil 5 (PC)

     ครึ่งปีผ่านไปหลังจากชาวเกมเมอร์คอนโซลได้รับโอกาศในการเข้าถึงตำนานเกมซอมบี้ระทึกใจก่อนพวกเราชาวพีซี ในที่สุดหลังจากที่ชะเง้อคอรอลุ้นอยู่พักใหญ่ๆ Resident Evil 5 ( หรือ Bio Hazard 5 หากเราจะพูดกันถึงชื่อดั้งเดิมของซีรีย์ ) เวอร์ชั่นพีซีก็ได้ออกมาสู่ตลาดประเทศไทยด้วยการจัดจำหน่ายของ บริษัท Sicom Amusement จำกัด ผู้เคยฝากผลงานไว้แล้วในเกม Street Fighter IV ทั้งของคอนโซลและพีซี

ภาพ : Sicom ทำเเพคเกจและคู่มือออกมาได้ยอดเยี่ยมควรค่าแก่การสะสมจริงๆ

      ใน เวอร์ชั่นพีซีนั้นสิ่งที่แตกต่างจากวเอร์ชั่นคอนโซลที่เห็นได้ชัดก็คือ เรื่องของกราฟฟิคที่พัฒนาขึ้นกว่าเดิมถ้าหากผู้เล่นมีสมรรถนะของระบบที่ผ่าน เกณฑ์ ส่วนในเรื่องของการควบคุมนั้นแม้ว่าจะผ่านมาเป็นเวลาหลายปี เสียงก่นด่าในความผิดหวังของการพอร์ตเกมภาคที่แล้วอย่าง Rsident Evil 4 ข้ามแพลตฟอร์มระหว่าง PS2 มา PC ก็ ยังบาดลึกอยู่ในใจของเกมเมอร์พีซีอย่างที่ไม่อาจลบเลือนไปได้ง่ายๆ ความผิดหวังจากการควบคุมอันห่วยแตกนั้นถูกแก้ไขอย่างเรียบร้อยด้วยการใช้ เมาส์และคีย์บอร์ดที่ปรับแต่งมาสำหรับชาวพีซีโดยเฉพาะ รวมไปถึงโหมดการเล่นแบบ Co-op ผ่านเครือข่าย Windows Live ที่ไม่ต่องแบ่งหน้าจอในการเล่นอีกต่อไป

ภาพ : เล่นไปทำงานไปไม่ได้ OC

      ใน Resident Evil 5 คุณจะได้รับบทเป็นChris Redfield หรือ Sheva สาวผิวสีสุดเซ็กซี่คู่หูคนใหม่ของเขา ทั้งคู่ได้มาปฎิบัติหน้าที่ในหน่วยงานใหม่ที่ชื่อ Bioterrorism Security Assessment Alliance หน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการต่อต้านการก่อการร้ายและอาวุธชีวะภาพ Chris ถูกส่งไปปฎิบัติภารกิจสืบสวนในทวีปแอฟริการ่วมกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น Sheva Alomar และเมื่อเนื้อเรื่องในเกมดำเนินไป ทั้งคู่จะได้พบกับตัวละครในภาคเก่าๆ (ไม่ขอสปอยด์นะครับ) และพยายามหยุดยั้งแผนการทำลายโลกของเหล่าร้ายเหมือนอย่างที่แล้วๆ มา (ดราม่าจริงๆ)

ภาพ : จำได้ไหม ใครเอ่ย... (เมื่อไรมันจะตายซักที - -*)

      ว่ากันตามตรง Resident Evil 5 ค่อนข้างห่างไกลจากคำว่า Survival-Horror อยู่หลายขุมและยิ่งเด่นชัดเมื่อเราเปรียบเทียบกับเกมที่ะยี่ห้อว่าเป็น Survival-Horror อย่าง Dead Space หรือแม้กระทั่ง Resident Evil ภาค เก่าๆ เองก็ตาม ความระทึกตื่นเต้นเส้นประสาทในการออกเดินดุ่มๆ ไปในพื้นที่อันมืดมิดที่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเสนอหน้ารอเราอยู่เมื่อเปิดประตู ถัดไป ถูกขจัดออกไปด้วยการมีสาวเซ็กซี่อย่าง Sheva เคียงข้างไปตลอดการเล่น ประสบการณ์ในการเล่นเกม Survival-Horror ที่มีคู่หูร่วมเดินทาง (ที่แม้แต่จะเป็น Ai ก็ตาม) และคอยเฝ้าระวังหลังคุณ เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่และได้อรรถรสที่แตกต่างไปจาก Resident Evil เดิมๆ อย่างสิ้นเชิง (แม้ว่า Resident Evil 5 ยังจะคงเอกลักษณ์ในการ “ยืนยิง” ไว้อย่างเหนียวแน่นก็เถอะ) ความรู้สึกหวาดกลัวที่ต้องระแวดระวังคอยจับจ้องทุกสิ่งรอบๆ ตัวได้หายไปและถูกแทนที่ด้วยอารมณ์เดินหน้าฆ่ามันแบบเกม Action อย่างเดียวกับ Tomb Rider ไป เสียฉิบ สิ่งที่ผมพูดรวมไปถึงสภาพเวดล้อมที่ฉีกแนวเดิมๆ ของซีรีย์ไปอย่างสิ้นเชิงอีกอย่างหนึ่ง ไม่มีอีกแล้วซอกตึกที่มีซอมบี้พร้อมพุ่งออกมาจากที่ซ่อนหรือสิ่งปลูกสร้าง ที่มืดมิดเต็มไปด้วยห้องหับอันลี้ลับ สิ่งที่คุณจะได้สัมผัสในภาคนี้ก็คือตัวเมืองหรือพื้นที่ขนาดใหญ่ พร้อมๆ กับระดมยิงเหล่าซอมบี้อย่างไม่ยั้งพร้อมอาวุธครบมือภายใต้แสงตะวันอันร้อน แรงแห่งแดนกาฬทวีป

ภาพ : Sheva เวอร์ชั่นสาวแว่นเป็นอะไรที่คู่ควรกับการเล่นอีกรอบจริงๆ

     กราฟฟิคโดยรวมของ Resident Evil 5 เวอร์ชั่นพีซีดูดีกว่าเวอร์ชั่นคอนโซลอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณใช้การ์ดแสดงผลระดับสูงและเล่นบนวินโดวส์ที่รองรับ DirectX 10 (ที่ผมไม่ได้ลอง) แต่ อย่างไรก็ตามด้วยสเปคกลางๆ ที่ผมมีก็สามารถปรับระดับไปสู่ความละเอียดสูงสุดได้โดยที่ไม่มีอาการกระตุก หรือเฟรมเรตดรอปแต่อย่างใด มิหน้าซ้ำภาพที่แสดงบนหน้าจอยังสามารถเรียกเพื่อนเกมเมอร์คอนโซลมาถากถางได้ อย่างสบายๆ เลยทีเดียว

ภาพ : หมดยุค NEXT-GEN เเล้ว !

      การ ควบคุมด้วยเมาส์และคีย์บอร์ดในเวอร์ชั่นพีซีเป็นอะไรที่ลงตัวมากๆ จนผมอดทึ่งไม่ได้ การสั่งการควบคุมลื่นไหลเหมือนการใช้คอนโทรลเลอร์ในคอนโซลแต่มันเป็นอะไรที่ ถนัดมือพวกเราชาวพีซีมากกว่า แม้ว่าการควบคุมที่เป็นเอกลักษณ์ของซีรีย์ Resident Evil (“หยุด และ ยิง”) จะ เป็นอะไรที่น่าขัดใจและต้องการเวลาในการปรับตัวไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วก็นับว่าสะดวกกว่าการควบคุมด้วยวิธีอื่นค่อนข้างมากในความคิด ของผม

ภาพ : คีย์บอร์ดและเมาส์ใช้งานได้อย่างน่าทึ่ง

      และเมื่อเกมเพลย์เน้นเด่นไปในเรื่องของแอคชั่นมากกว่าสยองขวัญ หลังจาก 2-3 Chapters ผ่านไป จังหวะการเล่นใน Resident Evil 5 ก็ สามารถเดาได้ง่ายๆ นั่นก็คือ คุณเดินสำรวจแผนที่ ค้นหาสิ่งของหรือทางไป และเมื่อคุณย่างเข้าไปในจุดอันตรายที่ถูกกำหนดไว้ ฝูงซอมบี้ผิวสี (ประเด็นเรื่อง Racism อยู่ในภาคผนวกครับ) มากหน้าหลายตาก็จะกรูกันเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังและคุณก็จะต้องหาหนทางในการแหวกฝูงนั้นๆ ตามความถนัดของคุณ (หลบหนี คอมโบ ไม่ก็สาดยิง) แต่ก็ใช่ว่าการกำจัดศัตรูในภาคนี้จะเป็นเรื่องหมูๆ แค่การเดินไปยิงไป A.i. ซอมบี้ในภาคนี้ถูกปรับให้มีความฉลาดขึ้นอย่างผิดหูผิดตา (อาจเนื่องจากแท้จริงเล้วคนเหล่านี้ติดเชื้อเท่านั้น ไม่ได้เป็นซากศพเดินได้เหมือนภาคเก่าๆ ) ผู้ติดเชื้อ (ซอมบี้) บาง รายสามารถหาที่กำบังหรือแม้กระทั่งกระสุนของคุณได้เมื่อโอกาศเอื้ออำนวยมิหนำซ้ำยังมีการติดอาวุธเพิ่มความโหดร้ายไปด้วย ไล่ตั้งแต่ไม้หน้าสามธรรมดาๆ ไปจนถึงอาวุธปืน แต่อย่างไรก็ตามซอมบี้ในซีรีย์นี้ก็ยังคงเอกลักษณ์จุดตายที่หัวไว้เช่นเดิม เเถมเพิมความอ่อนแอไปด้วยการถูกอัดตายแบบง่ายๆ

ภาพ : กระสุน 1 นัดต่อซอมบี้ 1 ตัวใน Re 5 เป็นเรื่องปกติ

      ว่ากันด้วยเรื่องการมุมองและพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของซอมบี้ในภาคนี้ ด้วยการที่มุมมองและความไวของศัตรูในเกมนี้เปลี่ยนไปละม้ายคล้ายเกมแอคชั่น ชูตติ้ง แต่พื้นเพการควบคุมยังอิงการหยุดและยิงเช่นเดิมทำให้ปัญหาในการเปลี่ยนมุม มองอย่างรวดเร็วเป็นอะไรที่ขืนใจสายตาและประสาทการรับรู้ของเกมเมอร์หลายๆ ท่านเป็นอย่างยิ่ง (จากประสบการณ์และการสอบถาม) การวิ่งๆ หยุดๆ เล็งๆ สลับไปมาๆ ตลอดทั้งระยะเวลาการเล่นเป็นอะไรที่ทำให้ผม (ที่นั่งเล่นเกม Flight/Sim ได้ทั้งวัน) มึนงงและเบลอจนสามารถเล่นได้เพียง 30 นาทีต่อ1 รอบการเล่นเท่านั้นเอง (เกมสุดท้ายที่ทำให้ผมมึนกระโหลกได้ก็คือ Dukenukem ครับ) อย่างไรก็ดี อาการมึนงงเหล่านั้นเริ่มหายไปอย่างช้าๆ เมื่อผมสามารถปรับตัวเข้ากับความไวและลักษณะจังหวะของเกมได้

ภาพ : หลายๆ คนมักพุ่งความสนใจไปที่ Sheva มากกว่ากลุ่มซอมบี้ที่ออกันอยู่ข้างหน้า

      นอกจากที่ผมกล่าวมาก่อนหน้าทั้งหมดนั้น Resident Evil 5 ก็ไม่มีข้อเสียอื่นใดให้ติอีก มันยังคงเป็นเกมที่สามารถเชิดหน้าชูตาอยู่ในซีรีย์ในตำนานอย่าง Resident Evil (หรือ Bio Hazard) ได้ อย่างสง่าผ่าเยและไม่มีข้อสงสัย การปรับเปลี่ยนทิศทางของซีรีย์เป็นไปได้อย่างน่าชื่นชม ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดต่างๆ เล็กๆ น้อยๆ ในฉากที่ทีมพัฒนาจาก CAPCOM สร้างสรรค์ขึ้นมาอย่างตั้งใจ ระบบการอัพเกรดอาวุธและอุปกรณ์ที่มีระบบการจัดการที่เข้าถึงได้ง่ายไม่ซับซ้อน ระบบ Ai คู่ หูที่ค่อนข้างฉลาด และฉากการรบกับบรรดาบอสรูปร่างใหญ่โตทั้งหลายที่มันส์เอาการ สิ่งทั้งหมดจะสนุกขึ้นอีกหลายเท่าตัวเมื่อคุณเล่นเกมนี้ผ่านระบบออนไลน์ Windows Live กับเพื่อนคู่หู (ที่เป็นคน) ของคุณ และแม้จะมีเสียงครหาว่า Resident Evil 5 มีความยาวของเกมที่สั้นไป แต่ด้วยความหลากหลายในเกมเพลย์และพื้นที่ของแต่ละด่าน พ่วงด้วยฟีเจอร์อย่างชุด คอสตูมใหม่ๆ achievements และ trophiesอันหลายหลากที่ทางผู้พัฒนาใส่ให้ผู้เล่นได้กลับมาเล่นเพื่อปลดล๊อคกันอีกซ้ำๆ ผมจึงสามารถสรุปได้อย่างไม่ยากเย็นเลยว่า Resident Evil 5 ยังคงเป็นเกมในซีรีย์ Resident Evil ที่คงความขลังและเสน่ห์อย่างที่เคยเป็นมาไม่แพ้ภาคเก่าๆ เลยทีเดียว

ภาคผนวก

      เมื่อเราพูดถึง Resident Evil 5 ก็คงอดพูดถึงประเด็นการเหยียดสีผิวที่เกิดขึ้นไม่ได้ ประเด็นที่ว่านี้เริ่มมาจากการเปิดตัววิดีโอเกมตัวอย่างของ Resident Evil 5 ในงาน E 3 ปี 2007 หลัง จากที่วิดีโอที่ว่าเริ่มแพร่หลายกันในอินเตอร์เนต มีการวิจารย์กันอย่างหลากหลายถึงประเด็นเกี่ยวกับตัวเอกที่เป็นคนตะวันตก “ผิวขาว” ไล่เอาอาวุธปืน ”ยิง” กลุ่มชาวบ้าน “ผิวสี” อย่างไร้ทางสู้ แม้ทางทีมงานของ CAPCOM จะออกมาแถลงว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ใช่มนุษย์แล้วก็ตามแต่ก็ยังมีเกมเมอร์และนักวิจารย์บางกลุ่มยืนยันที่จะให้ทีมพัฒนา Resident Evil 5 มีการปรับปรุงแก้ไขเหล่าผู้ติดเชื้อในเกมให้มี “ความเป็นมนุษย์” ที่สามารถสังเกตเห็นถึงเผ่าพันธ์ได้น้อยลงกว่าเดิม

      แต่เมื่อทาง CAPCOM ออกวิดีโอเทรลเลอร์ชิ้นที่ 2 ในปีต่อมา (2008) ใน เนื้อหาวิดีโอก็ได้มีการเปิดเผยถึงกลุ่มศัตรูที่มีมากขึ้นกว่าเดิม แต่เกือบทั้งหมดก็ยังเป็นกลุ่มคนที่สามารถสังเกตได้ถึงเผ่าพันธ์เช่นเดิม (แอฟริกัน) รวมไปถึงการเปิดตัวผู้ช่วยผิวสี Sheva ในชุดหวาบหวามโชว์เนื้อหนัง (ถ้าหากเปรียบเทียบกับสาวคู่หูคนก่อนอย่าง Jill Valentine) ทั้งสองสิ่งนี้ทำให้กระแสการต่อต้าน Resident Evil 5 เกี่ยวกับประเด็นการเหยียดสีผิวรุนแรงขึ้นอีกคราหนึ่ง ซึ่งรวมไปถึงการสัมภาษณ์ของโปรดิวเซอร์หลักของเกม Masachika Kawata ที่เขาให้สัมภาษณ์กับ MTV ว่า “พวกเรา (CAPCOM) เป็น ธุรกิจสื่อบันเทิงที่ไม่สามารถทำให้ทุกฝ่ายพอใจได้ทั้งหมด และสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ข้องเกี่ยวกับประเด็นละเอียดอ่อนที่มีการพูดถึงกัน” พร้อมๆ กับแสดงความเสียใจที่มีผู้คนรู้สึกไปในทิศทางเช่นนั้น

      จากเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นทำให้กระแสการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้แบ่งออกเป็นหลายฝ่ายหลากประเด็น ส่วนหนึ่งยืนยันว่า Resident Evil 5 เป็น เกมที่แฝงนัยยะเหยียดสีผิวและชาติพันธุ์อย่างรุนแรง โดยเปรียบเทียบให้เห็นว่าตัวเอกคือชายผิวขายที่มีหน้าที่ในการกำจัดกลุ่มคน ผิวสีเพื่อช่วยโลก โดยมีการอ้างอิงถึงกลุ่มเป้าหมายหลักของวิดีโอเกมที่เป็นเยาวชนว่าจะทำให้ เกิดความคิดแบบผิดๆ ปลูกฟังเข้าไปว่ากลุ่มชาติพันธุ์ผิวสีคือตัวแทนของความชั่วร้ายที่ต้องกำจัด ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งอ้างว่าถ้าหากย้อนกลับไปในซีรีย์ถึงภาคเก่าๆ ซอมบี้ที่ปรากฎตัวเป็นชาวตะวันตกผิวขาวทั้งสิ้น และยังมีเกมอีกมากมายที่มีผู้ร้ายกลายพันธ์ที่มีลักษณะสังเกตได้ชัดว่าเป็น ชาติพันธุ์ไหนแต่เกมดังกล่าวกลับไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการเหยียดสีผิวแต่อย่าง ใด (ยกตัวอย่างเช่น Crysis ที่มีผู้ร้ายเป็นชาวเกาหลีเหนือ หรือ L4D 2 ที่ตัวเอกเป็นคนผิวสีไล่ยิงซอมบี้ผิวขาวอย่างเมามัน)

      อย่าง ไรก็ตามประเด็นอันละเอียดอ่อนนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงไปง่ายๆ เปรียบได้กับภูเขาไฟพร้อมจะประทุขึ้นอีกครั้งเมื่อมีคนไปสะกิดมัน และเมื่อผมค้นหาข้อมูลผ่านไปหลายเวปไซต์ ในขณะที่กำลังเมามันส์กับดราม่าแบ่งแยกชาติพันธุ์ที่ต่างฝ่ายต่างสาดโคลน เข้าหากันอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ผมก็พลันได้เห็นข้อความที่ประทับใจและคิดว่าตรงกับความจริงในเรื่องนี้ มากที่สุด มันเป็นข้อความที่ทำให้ผมหันหลังให้กับดราม่าที่อยู่ตรงหน้าได้ทันที (พร้อมๆ กับความคิดที่ว่าไม่น่าเสียเวลาไปกับเรื่องพรรค์นี้ตั้งครึ่งค่อนวันเลย งี่เง่าจริงๆ ให้ตายสิ) ข้อความที่ว่านั่นก็คือ “สิ่งที่ผิดไม่ใช่เกม ผู้คนต่างหากที่แบ่งแยกกัน” (The Game isnt RACIST, People Are - Patriot Infinity@kotaku)

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่