ปีใหม่แล้ว ขอถือโอกาสนี้ อาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย จงดลบันดาลให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง ไร้ทุกข์ไร้โศก ปลอดโรคปลอดภัย โดยทั่วกันนะคะ ^^
อ้อ และสัปดาห์หน้า ขออนุญาตหนีเที่ยว (อู้) หนึ่งสัปดาห์ค่ะ
chenjiayi: คนเขียนก็เป็นเหมือนกันค่ะ ^^'
Psycho man: ทวยะแค่ไปยืนยันสถานที่เกิดเหตุน่ะ แหะๆ
ตอนนี้หยิบมาจากประสบการณ์ตรงค่ะ เห็นแถวบ้านถมคลองทำถนนแล้วแอบเสียดาย
ตอนเก่าเน่อ
อารัมภบท และ บทที่ ๑
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12879288/W12879288.htmlบทที่ ๒
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12911942/W12911942.htmlบทที่ ๓
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12978217/W12978217.htmlบทที่ ๔
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W13009856/W13009856.htmlบทที่ ๕
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W13040155/W13040155.htmlบทที่ ๖
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W13070973/W13070973.htmlและแฟนเพจตามเคย
http://www.facebook.com/treepunt###
บทที่ ๗ อาถรรพ์
ในบันทึกของผม มีอยู่เหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งไม่ค่อยเกี่ยวพันกับเรื่องของทวยะที่ผมกำลังเล่าอยู่นี้มากนัก หากแต่ผมคิดว่าควรจะเขียนเอาไว้ เพราะมันค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียว...
โดยปกติแล้ว ผมกับทวยะจะไม่ออกมาเดินเตร็ดเตร่ในเวลากลางค่ำกลางคืน ถึงแม้ทางโรงเรียนจะไม่ได้ห้ามอะไร แต่ผมก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างอันตราย ทว่าวันนั้นพิเศษกว่าทุกวัน เพราะทวยะเป็นคนชวนผมออกมาเอง
ไทวะ นายอยากเห็นอะไรสนุกๆ ไหม เพื่อนผมเอ่ยถามขึ้น ในระหว่างที่ผมกำลังนั่งอ่านข่าวจากในเว็บไซต์อยู่ที่โต๊ะของตัวเอง ส่วนเขาก็นอนอ่านหนังสือปกดำที่เคยอ่านเป็นประจำอยู่บนเตียง
หือ ผมเลิกคิ้วอย่างสงสัย หันมองรูมเมทของตัวเองอย่างแปลกใจ
ทวยะปิดหนังสือ ลุกขึ้นนั่งบนเตียง แล้วเผยอยิ้มแบบร้ายๆ ของเขา พลางเหลือบมองมาทางผมอย่างมีเลศนัย หรือว่านายกลัว
ผมต้องยอมรับว่าผมกลัวหมอนี่จริงๆ ไม่ใช่กลัวว่าเขาจะทำร้ายหรืออย่างไร แต่ผมกลัวความคิดของทวยะร้ายนี่ต่างหาก ไม่รู้ว่าวันไหนอยากจะเล่นแผลงๆ หรืออยากจะแกล้งผมขึ้นมาอีก
เฮ้!...เป็นยังไงล่ะ นิ่งไปเลย หรือนายกลัวจริงๆ เขาโพล่งออกมาอย่างเย้ยเยาะ
เปล่า... เพียงแต่สงสัยว่านายจะมาไม้ไหนเท่านั้น ในที่สุดผมก็ตอบออกไปแบบหน่ายๆ พลางก้มลงอ่านข่าวต่อ ซึ่งที่เด่นๆ ก็มีข่าวต่อเนื่องจากเหตุเพลิงไหม้เมื่อคืนก่อน กับข่าวเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานในเหตุนั้น ถูกรถชนเสียชีวิต
ไม้ไหนอะไรกัน ฉันไม่มีลูกไม้อะไรหรอกน่า เขาพูดแล้วหันไปมองออกไปที่นอกระเบียง แต่คืนนี้จะมีอะไรสนุกๆ ให้นายได้เห็นจริงๆ
ผมนิ่งคิดไปนิดหนึ่ง กำลังตัดสินใจว่าควรจะเชื่อเขาดีหรือไม่
อืม...ว่าแต่เรื่องอะไรล่ะ
ทวยะร้ายกระโดดลงจากเตียง เดินตรงไปเปิดประตูห้อง เถอะน่า ตามมาก็รู้ แล้วเขาก็วิ่งออกจากห้องไปโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว เมื่อผมคว้ากระเป๋าสตางค์กับกุญแจห้องได้แล้ว ก็ถลันออกจากห้อง และเห็นเขาวิ่งลงบันไดไปเสียแล้ว
---
หลังจากเราพากันออกมานอกเขตรั้วของโรงเรียนแล้ว เขาก็พาผมเดินลัดเลาะไปตามทางริมคลองระบายน้ำข้างโรงเรียน ซึ่งเป็นทางที่ค่อนข้างเปลี่ยว ไม่ค่อยมีคนเดินมากนัก โดยเฉพาะในเวลากลางคืน ระหว่างนั้น คำถามมากมายก็ผุดขึ้นมาในสมองผม
ทวยะ นายจะพาฉันไปไหน ผมถามคำถามแรกออกไปหลังจากที่ความอดทนของตัวเองหมดลง เมื่อเดินกันมาได้ประมาณสิบนาที
อย่าถามมากน่า ตามมาเถอะ มันเป็นคำตอบที่ผมเดาเอาไว้อยู่แล้ว จะมีครั้งไหนบ้างที่เขาจะยอมตอบคำถามของผมดีๆ น่ะ
แล้วนายจะให้ฉันดูอะไรล่ะ ผมยิงคำถามที่สอง ซึ่งมันทำให้เขาหยุดเดิน แล้วหันมามองผมตาขวาง
นายจะหุบปากเอง หรือจะให้ฉันช่วยนายปิด
เออ กลัวแล้ว... ในที่สุดผมจึงได้แต่เดินตามเขาไปเงียบๆ
เดินไปอีกสักครู่ เราก็เห็นอาคารร้างอยู่ตรงหน้า อาคารแห่งนี้เป็นอาคารสูงราวยี่สิบชั้น แต่ยังก่อสร้างไม่เสร็จเพราะเจ้าของไม่มีทุนสร้างต่อ จึงต้องปล่อยมันทิ้งร้างไว้ ผนังอิฐบางส่วนก็ยังก่อไม่เสร็จเลยด้วยซ้ำ
และเนื่องจากมันเป็นอาคารร้าง มันจึงดูน่ากลัว...
แต่นอกเหนือจากความน่ากลัว ในเวลานั้น ผมเห็นเงาของใครคนหนึ่ง ยืนอยู่บนดาดฟ้าของอาคารนั้นด้วย!
ใครวะนั่น! ผมร้องออกไปทันทีที่เห็นเงานั้น คิดว่าเป็นวิญญาณหรือภูตหรืออะไรสักอย่าง
ตกใจอะไร แค่คนกำลังจะตกตึก ทวยะหันมาบอกเสียงขุ่น ทว่าสารในเสียงของเขาก็ทำให้ผมโล่งใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
ถ้าอย่างนั้น นายจะช่วยเขาใช่ไหม ผมหันไปถามเพื่อน ซึ่งกำลังยืนแหงนมองเงานั้นนิ่งอยู่
ไม่ เขาตอบห้วนๆ แต่หนักแน่น
อะไรวะ คนจะตาย ไม่ช่วยได้ยังไง นายนี่มัน... ผมกำลังจะอ้าปากสรรหาคำมาต่อว่าเขา แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ ฝาแฝดนายล่ะ ให้เขาออกมาสิ
หมอนั่นก็ช่วยอะไรไม่ได้
ทำไมล่ะ ผมเริ่มมีโมโห
บางครั้งนายก็ช่วยคนอื่นไม่ได้หรอก อย่าไปสนใจให้มากนัก เอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่า
โธ่เว้ย! พวกนายไม่ช่วย ฉันช่วยเอง ผมบอก แล้ววิ่งไปที่อาคารนั้น กระโดดข้ามช่องผนังที่น่าจะเป็นหน้าต่างด้านหน้า แล้วมองหาบันไดซึ่งยังเป็นแค่โครงอิฐ ผมวิ่งขึ้นไปได้เพียงสองก้าวเท่านั้นก็ได้ยินเสียงดังตุ้บ...
ผมวิ่งกลับลงจากบันได แล้วถลาไปยังช่องหน้าต่างช่องเดิมที่ผมกระโดดเข้ามา มองออกไปก็เห็นว่าเป็นชายคนหนึ่ง อยู่ในชุดเสื้อช็อปของนักเรียนช่างกับกางเกงยีนส์ขายาว นอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นปูนใกล้ๆ กัน ตัวของเขาบิดเบี้ยว กระตุกอยู่สองทีแล้วแน่นิ่ง จากนั้นผมก็เห็นเงารางๆ ซ้อนทับร่างเขา เงานั้นลุกยืนขึ้นแล้วก็หายวับไป
ทวยะ! เขา... ผมร้องออกมา ตัวก็แข็งทื่อด้วยความตกใจ เพราะไม่เคยเห็นคนตายชัดๆ แบบนี้มาก่อน
ตาย... ทวยะตอบลากเสียง น้ำเสียงติดรำคาญนิดๆ ตกใจทำไมวะ ทุกคนเกิดมาก็ต้องตายทั้งนั้น
ก็เข้าใจ...แต่ผมยังเป็นคนธรรมดาอยู่นะ คนธรรมดาที่ไม่เลือดเย็นด้วย ไม่ใช่ประเภทที่เห็นคนตายอยู่ตรงหน้าแล้วยังทำเฉยอยู่ได้
ผมกระโดดข้ามช่องหน้าต่าง คิดว่าอย่างแรกที่ควรทำคือไปแจ้งตำรวจ แต่เวลานั้นเองที่ผมเห็นวัตถุบางอย่างตกอยู่ใกล้ๆ เท้า มันเหมือนเหรียญตราขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ เป็นสีทองทั้งชิ้น และมีสัญลักษณ์บางอย่างสลักอยู่ตรงกลาง ผมจึงก้มลง จะเอื้อมมือไปหยิบ ทว่าทวยะกลับห้ามไว้
อย่างนาย อย่าไปแตะดีกว่า เขาบอก น้ำเสียงทีเล่นทีจริง พร้อมกับเดินเข้ามาช้าๆ
ทำไมล่ะ ผมรู้สึกหงุดหงิดกับความหมายในน้ำเสียงของเขา
มันมีอาถรรพ์ เพื่อนผมตอบ แล้วก็ล้มลงไปหยิบมันขึ้นมาหน้าตาเฉย
ถ้าอย่างนั้น นายเก็บมันทำไม
ทวยะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ พร้อมกับจ้องหน้าผม
นายจะได้กลัวฉันไง เขากระซิบ แล้วยิ้มออกมาแบบที่ทำให้คนอย่างผมประสาทเสียได้เลยทีเดียว
ไอ้บ้าเอ๊ย... ผมนึกตำหนิเขาในใจ แต่ยังไม่ทันที่จะพูดอะไรออกมา เขาก็พูดบางอย่างที่ทำให้ผมฉงนเสียก่อน
อยากเห็นอาถรรพ์นั่นไหมล่ะ นั่นเป็นคำถามที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้ยินจากปากเขา ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลย ผมอยากเห็นอยู่แล้ว ถึงแม้ความจริงผมจะรู้สึกหวาดๆ อยู่ก็ตาม แต่ความอยากรู้ของผมมักมีอำนาจเกินกว่าความหวาดกลัว ผมจึงพยักหน้าเป็นคำตอบ
ทวยะหรี่ตามองผม ท่าทางเหมือนใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง
อย่าดีกว่า เขาโพล่งออกมาในที่สุด
อ้าว! อะไรวะ
ฉันอยากให้นายทรมานกับความอยากรู้ของนายน่ะ เขาบอก แล้วระเบิดเสียงหัวเราะลั่นจนน่าเอาหมัดกระแทกปลายคาง... นึกอยู่แล้วว่าหมอนี่ไม่มีทางบอกง่ายๆ แต่ผมก็ยังหลงเชื่อ
เขาชำเลืองมองผมอย่างน่าหมั่นไส้นิดหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะหึๆ ออกมา ที่จริงหมอนั่นมันอยากให้นายเห็นน่ะ
หมอนั่น... คงหมายถึงทวยะดี ฝาแฝดที่อยู่ในร่างเดียวกันกับเขา ทว่าทวยะดีจะอยากให้ผมเห็นไปเพื่ออะไร
เอาล่ะ นายอยากดูตรงนี้ หรืออยากกลับไปดูที่ห้อง
แน่นอน ไม่ต้องคิดเลย ผมต้องอยากกลับไปที่หอพักก่อนอยู่แล้ว ใครอยากจะอ้อยอิ่งอยู่ใกล้ๆ ศพล่ะ แต่ถึงอย่างไร ผมก็ยังรู้สึกว่าปล่อยคนตายไว้แบบนั้นไม่ได้
ฉันอยากกลับนะ แต่ว่า... ผมชำเลืองมองที่ร่างไร้วิญญาณชายคนนั้นนิดหนึ่งก่อนจะถามต่อ แล้วเขาล่ะ
เดี๋ยวก็มีคนมารับศพไปแล้ว จะสนใจทำไม เขาตอบอย่างติดรำคาญ แล้วก็เดินนำลิ่วกลับไปตามทางริมคลองระบายน้ำ ผมจึงได้แต่วิ่งตับๆ ตามเขาไปโดยไมหลียวหน้ากลับมาอีกเลย
---
เอาล่ะ พร้อมหรือยัง ทวยะถามขึ้นทันทีเมื่อผมก้าวเข้ามาในห้องและปิดประตูลงกลอนเรียบร้อยแล้ว
ผมกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง เดินไปยืนข้างๆ เพื่อนผม แล้วพยักหน้า จากนั้นรูมเมทของผมก็ขยับมายืนทางด้านหลัง ยื่นมือที่กำวัตถุชิ้นนั้นมาอ้อมมาตรงหน้าผม ยกชูขึ้นในระดับสายตา และเมื่อเขาปล่อยมือ วัตถุนั้นก็ลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ รูปสัญลักษณ์ตรงกลางเหรียญตราก็มีประกายขึ้น จากนั้นภาพบางอย่างก็ปรากฏซ้อนทับกับภาพที่ตาผมเห็นในขณะนั้น คล้ายกับวัตถุนั้นกลายเป็นเครื่องฉายภาพวิดีทัศน์ โดยอาศัยดวงตาผมเป็นฉากรับ...
ภาพเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเป็นภาพย้อนกลับ เหมือนกำลังฉายภาพจากฟิล์มที่ถูกกรอกลับหลังอยู่ มันเป็นอย่างนั้นอยู่ประเดี๋ยวเดียว จนกระทั่งผมเห็นภาพชายกลางคนศีรษะล้านผู้หนึ่งปรากฏขึ้น รูปร่างของเขาใหญ่โต ผิวเป็นสีเหลืองทอง การแต่งกายก็แปลกตาด้วยผ้านุ่งสีทอง ร่างกายท่อนบนนั้นเปลือยเปล่า จะมีก็แต่ผ้าห่มสีทองพาดบ่าอยู่ผืนหนึ่ง เผยให้เห็นมัดกล้ามเนื้อเป็นลูกๆ ในมือของเขามีกล่องไม้สีดำลายทอง
หน้าตาท่าทางของชายคนนี้ก็ดูดีอยู่ แต่ออกเครียดไปสักหน่อย เขากำลังยืนอยู่ต่อหน้าคนกลุ่มหนึ่ง กะด้วยสายตาน่าจะสักหลายร้อยอยู่ คนเหล่านั้นเป็นผู้หญิงทั้งหมด แต่งกายสวยงามด้วยผ้านุ่งหลากสี และผ้าแถบเกาะอกสีเข้ากันกับผ้านุ่ง ผมของพวกเธอยาวมาก แต่รวบไว้อย่างดีจึงดูไม่รุงรัง ทั้งยังติดประดับด้วยดอกไม้นานาชนิดจนเต็มศีรษะ ทว่าน่าแปลกที่พวกเธอต่างร้องไห้กันระงม
ทั้งหมดแออัดอยู่ในสถานที่ซึ่งดูคล้ายถ้ำ แต่ถ้ำนี้ไม่มืด ตรงกันข้ามกลับสว่างไสวเรืองรองไปด้วยแสงเทียนที่แขวนอยู่โดยรอบผนัง และกระถางบูชาตรงหน้าชายผิวทอง ซึ่งมีเปลวไฟลุกโชน
ด้านหลังของชายผิวทองเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง เธอนอนอยู่บนแท่นสูงระดับเอว ตรงปลายเท้ามีหีบมากมาย ดูจากหน้าตาและการแต่งตัวของหญิงสาวคนนี้แล้ว เธอคงต้องเป็นคนมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ เพราะเธอดูสวยมาก ผิวของเธอมีสีทองเหมือนกับชายผิวทอง การแต่งกายของเธอดูก็ไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ในที่นั้น นอกจากผ้านุ่งและผ้าแถบเกาะอกสีทองแล้ว เธอยังสวมเครื่องประดับศีรษะสีทองอันใหญ่ และสวมนวมนางกับทับทรวงสีทองอีกด้วย ดูแล้วทองไปหมดทั้งตัว...
ผู้หญิงที่นอนอยู่นั่นเป็นเจ้านางของพวกเขา เสียงทวยะลอยมากระทบโสต ผมหันมองซ้ายมองขวา เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองเสมือนเข้าไปอยู่ในถ้ำแห่งนั้นด้วย แต่กลับไม่เห็นเพื่อนของผม ไม่ต้องมองหา นายไม่เห็นฉันหรอก รอดูพวกเขาไปเรื่อยๆ เถอะ
ผมทำตามคำสั่งของทวยะ เห็นชายผิวทองทำท่าทำทาง ถือกล่องวนไปวนมาเหนือเปลวไฟในกระถาง
ส่วนผู้ชายคนนั้นเป็นนักบวช พวกเขากำลังทำพิธีส่งวิญญาณเจ้านาง เธอเพิ่งตายเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ตามธรรมเนียม นักบวชคนนั้นต้องตาย เพื่อตามไปคุ้มครองเจ้านางด้วย!
อะไรนะ!... ผมร้องออกไป แต่ไม่มีเสียง อย่างน้อย ผมก็ไม่ได้ยินเสียงตัวเอง
ไม่ต้องถาม เพื่อนผมสั่ง แล้วก็ไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องออกความเห็นอะไรด้วย ดูไปเงียบๆ เถอะ
ผมดูภาพตรงหน้าต่อไปตามที่ทวยะบอก แล้วก็เห็นชายคนนั้นหยิบวัตถุในกล่องไม้ออกมา ผมเห็นแล้วก็จำได้ทันที มันเป็นเหรียญตราที่เราเพิ่งเก็บได้เมื่อสักครู่ เขาวางเหรียญนั้นลงตรงอกของเจ้านาง จากนั้นก็ดึงกริชออกมาจากใต้แท่นที่ประทับ แล้ว:-)กริชแทงอกตัวเองจนมิดด้าม!
นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของอาถรรพ์ นักบวชคนนั้นยังคงทำหน้าที่ของตัวเองอยู่
ผมมองภาพนักบวชคนนั้นค่อยๆ ทรุดตัวล้มลงที่พื้น แล้วแน่นิ่งไป พร้อมกับภาพที่ค่อยๆ เลือนหาย...
ยังไม่หมด ดูต่อไป เสียงเพื่อนของผมบอกต่อ คงเห็นว่าผมกำลังจะหันกลับมาตั้งคำถามกับเขา
ภาพที่ผมเห็นถัดมาก็คือ ชายสามคน ทั้งหมดสวมโจงกระเบนสีน้ำเงินหรือสีน้ำตาลทึมๆ ไม่สวมเสื้อ แต่ละคนถือจอบถือเสียม หนึ่งในชายกลุ่มนั้นถือเหรียญตราไว้ในมือ คนอื่นๆ รื้อหีบฉวยทรัพย์สินมีค่าอีกมากมาย แล้วมุดกลับออกจากถ้ำไป
พวกนี้เป็นโจรขโมยสุสาน ผ่านมาอีกพันปีกว่า ไอ้โจรพวกนี้ก็มาขุดเจอ เป็นคราวโชคร้ายของพวกมันละ
พอพวกโจรขุดขโมยสุสานได้ทรัพย์สินเหล่านั้นไปแล้ว ก็นำไปที่เรือนไม้ใต้ถุนสูงหลังหนึ่ง ซึ่งผมรู้สึกว่ามันอยู่ในที่เปลี่ยว เหมือนอยู่กลางป่ากลางสวน รอบเรือนหลังนั้นมีชายฉกรรจ์สี่คน ในมือถือดาบยาวเดินวนไปวนมา พวกเขาสวมโจงกระเบนสีน้ำตาลแดง ไม่สวมเสื้อ ที่แขน ที่หลังและหน้าอกล้วนมีรอยสักยันต์ เมื่อพวกโจรมาถึง หนึ่งในชายฉกรรจ์สี่คนนั้นก็นำพวกโจรขึ้นเรือน
ในเรือนหลังนั้นมีชายกลางคนท่าทางภูมิฐานคนหนึ่งนั่งอยู่ ด้านหลังเป็นชายฉกรรจ์อีกสองคน พวกโจรเอาของที่ขโมยมาได้ให้ชายกลางคนดู พูดคุยกันอีกพักหนึ่ง ท่าทางเคร่งเครียดเลยทีเดียว
ส่วนชายกลางคนนั่นเป็นพ่อค้า พวกมันตกลงราคากันอยู่ หึๆ อย่างว่าล่ะ ไอ้พวกนี้มันโลภไม่พอ ยังโง่ด้วย
ในตอนแรกผมไม่เข้าใจความหมายของทวยะ แต่เมื่อดูพวกเขาอีกเพียงครู่เดียวก็เข้าใจ...
คนพวกนั้นเจรจากันอยู่นานพอสมควร สุดท้าย ตาพ่อค้าก็เกิดฉุนขาด ตวาดคำหนึ่ง ชายฉกรรจ์ก็ตวัดดาบสองที พวกโจรขโมยสุสานก็ล้มพับ เลือดนอง!
อะไรกัน แค่นี้ก็สะดุ้งแล้วหรือ ยัง...ยังมีฉากหวาดเสียวให้ดูอีกเยอะ ทวยะบอกน้ำเสียงกวนประสาท แต่ความจริงผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองสะดุ้ง รู้แต่ว่าภาพตรงหน้ามันเหมือนจริงจนผมแทบจะอาเจียน
ชายกลางคนเห็นพวกโจรตายแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างน่าเกลียด แล้วยึดเหรียญตราไว้ พร้อมกวาดทรัพย์สินใส่หีบที่เตรียมมา ขนขึ้นรถสองคัน เทียมด้วยม้าคันละสองตัว พ่อค้าขึ้นโดยสารรถคันแรก แล้วควบขับจากไปพร้อมกับชายฉกรรจ์คนอื่นๆ
ทว่าระหว่างทางซึ่งเป็นทางแคบๆ ผมเห็นคนดักซุ่มยิงลูกดอกพุ่งมาเฉียดคอม้าที่พ่อค้าโดยสาร เมื่อม้าตกใจ มันก็หยุดกะทันหัน ยกสองขาหน้าตะกุยอากาศ เป็นเหตุให้พ่อค้ากลิ้งตกจากรถ จากนั้นม้าก็ลากรถวิ่งกระเจิดกระเจิงหนีไป ส่วนรถม้าคันหลัง เมื่อเห็นม้าสองตัวหน้าเตลิดไปเช่นนั้น มันก็เกิดอาการตื่นกลัว วิ่งควบด้วยความตระหนก ทำให้บังเอิญเกือกม้าทั้งแปดข้างเหยียบย่ำลงบนตัวพ่อค้า ทั้งยังลากรถที่โดยสารมาทับตัวพ่อค้าอีก
พ่อค้าสูญเสียทั้งทรัพย์สินที่ได้มาจากสุสานไปกับรถเทียมม้า และยังได้รับบาดเจ็บแสนสาหัส หากยังเหลือก็แต่เหรียญตราที่พ่อค้าเก็บไว้กับตัว กลุ่มชายฉกรรจ์ที่เดินทางมาด้วยจึงช่วยกันหอบหิ้วร่างพ่อค้า พยายามพาตัวพ่อค้ากลับไปยังบ้านของตน แล้วจึงตามหมอมาดูอาการ
บ้านของพ่อค้าเป็นเหมือนบ้านคหบดีในสมัยก่อน คือมีเรือนไม้ใต้ถุนสูงหลายหลังอยู่ในบริเวณสวนกว้างขวาง เมื่อชายฉกรรจ์ผู้ติดตามทั้งหลายหอบร่างเขามาถึง ก็มีสาวสวยอายุอานามพอจะเป็นลูกสาวของเขาได้ วิ่งลงจากเรือนมาต้อนรับ
นั่นน่ะเมียเขา เห็นท่าทางนุ่มนิ่มอ่อนแอแบบนี้ แต่ความจริงร้ายน่าดูเลยทีเดียว
โห เมียเด็ก แถมสวยเสียด้วย... ผมคิด ทว่าความร้ายของเธอคืออะไรกันนะ
เมื่อกลุ่มชายฉกรรจ์ออกไปตามหมอมาดูอาการพ่อค้า หญิงสาวคนนั้นก็ไม่อยู่ดูแลสามี ลอบออกมานอกเรือน เดินไปถึงท้ายสวนเพื่อพบชายหนุ่มคนหนึ่ง ผมจำได้ในทันทีว่าชายหนุ่มผู้นี้คือชายที่ซุ่มยิงรถม้าของพ่อค้า
เห็นทั้งสองพูดคุยพลางโอบกอดกัน ก่อนที่หญิงสาวจะผละออกมาด้วยความเอียงอาย และกลับไปยังเรือนก่อนที่กลุ่มชายฉกรรจ์จะพาหมอมาถึง
พ่อค้าต้องทนทุกข์ทรมานอยู่สามวันจึงเสียชีวิต ทว่าหลังจากพ่อค้าเสียชีวิตไม่นาน ภรรยาของพ่อค้าก็เริ่มสำรวจทรัพย์สินของสามี ซึ่งในนั้นมีเหรียญตราจากสุสานเจ้านางรวมอยู่ด้วย
ภรรยาของพ่อค้าเป็นผู้ครอบครองเหรียญตราคนต่อมา แต่เธอก็ครอบครองอยู่ได้ไม่นาน เพราะระหว่างที่คนอื่นกำลังวุ่นวายกับงานศพของพ่อค้าซึ่งอยู่ที่วัด ชายคนรักก็พาพวกมาปล้นบ้าน
ทว่าเวลานั้นเอง ภรรยาพ่อค้ากลับมาจากงานศพ พบเห็นเข้า พวกโจรนั้นฆ่าภรรยาพ่อค้าตาย และฉกฉวยทรัพย์สินมีค่า รวมทั้งเหรียญตราไปด้วย
แต่จะว่าด้วยอาถรรพ์หรือความเลวร้ายของพวกเขา เมื่อพวกเขาหลบหนีไปในป่า และกำลังแบ่งทรัพย์สินกันอยู่นั้น พวกเขาก็เกิดทะเลาะกันจนถึงกับฆ่ากันเอง แต่ละคนตวัดดาบฟันใส่กันและกัน ในที่สุดก็ไม่มีใครเภาพเหล่านั้นก็วูบดับลงไปอีก
หึๆ คนพวกนั้นมันงี่เง่าจริงๆ เสียงทวยะดังกรอกหูผม แต่ก็ยังไม่เท่าคนสมัยนี้หรอก
ภาพเคลื่อนไหวปรากฏขึ้นอีกครั้ง คราวนี้บรรยากาศดูเหมือนเป็นปัจจุบัน เพราะภาพที่เห็นเป็นชายฉกรรจ์สวมใส่เสื้อกล้ามกับกางเกงยีนส์เก่าๆ สองคน คนหนึ่งเดินถือเหรียญตราไปให้ชายอีกคนหนึ่งซึ่งแต่งตัวดูภูมิฐานกว่า
โอ๊ะโอ คราวนี้คนงานก่อสร้างขุดเอาความโชคร้ายขึ้นมาให้หัวหน้าเสียแล้ว เพื่อนผมทำหน้าที่พากษ์เหตุการณ์ต่อไป
ผมเห็นหัวหน้าคนงานพลิกดูเหรียญตราแล้วยิ้มออกมาอย่างพอใจ จากนั้นจึงพูดอะไรบางอย่างกับคนงานสองคนนั้น พวกเขาจึงกลับไปทำงานต่อ
เมื่อถึงเวลาเลิกงานในตอนเย็น หัวหน้าคนงานก็เอาเหรียญตรากลับไปที่บ้าน เอาไปอวดภรรยาและลูกเล็กๆ อีกสองคน พวกเขายิ้มแย้มดูมีความสุขดี ดูไม่น่าจะมีเรื่องเลวร้ายอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา
มีความสุขก็แค่ตอนนี้ละ อีกซักพักก็จะรู้ คนที่เก็บเหรียญนั้นไว้เป็นสมบัติส่วนตัวน่ะ ไม่มีทางสุขได้ตลอดหรอก
ผมไม่อยากจะเชื่อที่ทวยะพูด ทว่ากลางดึกคืนนั้นเอง ระหว่างที่คนในบ้านกำลังหลับสนิท ก็บังเอิญเกิดไฟฟ้ารั่วที่ห้องเก็บของภายในบ้าน จนเกิดเป็นประกายไฟขึ้น ประกายไฟติดกล่องกระดาษที่อยู่ภายในห้อง ทำให้กล่องกระดาษลุกไหม้โดยไม่มีใครรู้ ในที่สุดบ้านทั้งหลังก็ตกอยู่ภายใต้กองเพลิง แม้เจ้าหน้าที่จะสามารถดับไฟได้ภายในหนึ่งชั่วโมงต่อมา ทว่าสี่ชีวิตภายในบ้านกลับไม่มีใครเหลือรอดแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่ตรวจพิสูจน์หลักฐานเข้าไปสำรวจในที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็พบเหรียญตราอาถรรพ์ในกองเถ้าถ่าน น่าแปลกที่เหรียญตรานี้ไม่ไหม้ไฟ เจ้าหน้าที่คนนั้นหยิบเหรียญตราขึ้น พลิกไปมาอยู่ครู่หนึ่งแล้วลอบยิ้ม จากนั้นก็หย่อนเหรียญตรานั้นเข้ากระเป๋าตัวเอง โดยไม่ได้ใส่ถุงรวมกับหลักฐานชิ้นอื่นๆ
ทว่าผู้ครอบครองเหรียญนั้นจะต้องมีอันเป็นไป!
ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่คนนั้นกำลังเดินข้ามถนนไปยังลานจอดรถ เพื่อจะขับรถกลับบ้านหลังเลิกงาน รถยนต์สีดำคันหนึ่งก็วิ่งมาด้วยความเร็วสูง และชนเขาเข้าอย่างจังจนร่างกระเด็นลอยขึ้นไปในอากาศ ก่อนจะตกลงมา จากนั้น ดูเหมือนอาถรรพ์เกรงว่าเขาจะยังไม่ตาย จึงบันดาลให้มีรถบรรทุกอีกคัน แล่นมาทับร่างเขา บดศีรษะของเขาจนแบนไปกับพื้น
ภาพของเขาทำให้ผมรู้สึกคลื่นไส้ จนแทบอาเจียนออกมา มันเป็นความรู้สึกคล้ายๆ กับตอนที่ผมอ่านข่าวจากเว็บไซต์เมื่อครู่ แต่ครั้งนี้รุนแรงกว่ามาก...ผมนึกได้แล้ว! มันเป็นเหตุการณ์เดียวกันกับในข่าวนั้นนั่นเอง
เหตุการณ์ยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น ภาพต่อไปที่ผมเห็นก็คือ เหรียญตรานั้นกระเด็นออกจากกระเป๋าของเจ้าหน้าที่คนนั้น กลิ้งไปจนชนกับขอบทางเท้าจึงหยุด ในระหว่างที่คนอื่นๆ ไม่ได้สังเกตเห็นเหรียญตรานั้น เพราะมัวแต่ให้ความสนใจกับเหยื่ออาถรรพ์คนล่าสุด เหยื่ออาถรรพ์คนต่อมาก็เก็บเหรียญตราไป
เขาเป็นชายวัยรุ่น ในชุดเสื้อยืด กาเกงยีนส์ สวมทับด้วยเสื้อช็อป เขาเก็บเหรียญได้ และด้วยความดีใจ จึงซื้อเบียร์ไปนั่งดื่มบนดาดฟ้าอาคารร้างเสียหลายกระป๋อง เมื่อเมาจนได้ที่ก็ขาดสติ เดินร่อนไปร่อนมาอยู่บนนั้น ทว่าเพราะความเมาจึงทำให้ประคองตัวไม่อยู่ พลัดตกลงมาจากดาดฟ้าในที่สุด
เขาตกลงมากระแทกพื้นด้านล่าง เสียชีวิตคาที่!
จากนั้นผมก็เห็นตัวเองอยู่ในอาคารด้านล่าง กำลังชะโงกมองเด็กวัยรุ่นคนนั้นจากทางช่องหน้าต่างด้วยใบหน้าเหยเกเพราะความตกใจ พร้อมกับพูดอะไรบางอย่างกับทวยะ ผมเห็นเพื่อนผมตอบกลับมา ก่อนที่ตัวเองจะกระโดดออกจากช่องหน้าต่างของอาคาร แล้วเหลือบไปเห็นเหรียญตราอันนั้น
ผมรู้สึกขนลุกชันทันทีที่เห็นว่าตัวเองกำลังจะเก็บมันขึ้นมา... ผมอาจจะเป็นเหยื่ออาถรรพ์รายต่อไปก็ได้ ถ้าทวยะไม่ห้ามไว้เสียก่อน
จากนั้นสิ่งสุดท้ายที่ผมเห็นก่อนที่ภาพทั้งหมดจะรางเลือนไป ก็คือมือของทวยะ ที่กำลังเอื้อมมาหยิบเหรียญตรา
เอาล่ะ หนังจบแล้ว ทวยะพูดขึ้น พลางคว้าเหรียญตราที่กำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศในทันทีที่ภาพทุกอย่างเลือนหาย บรรยากาศรอบตัวผมทั้งหมดกลับกลายเป็นห้องของตัวเอง ภายในหอพักของโรงเรียน
นาย...นายแก้อาถรรพ์ได้หรือ ผมหันไปถามรูมเมทที่แสนประหลาดของผมในทันทีเช่นกัน
เปล่า ทวยะตอบสั้นๆ น้ำเสียงเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึม จากนั้นเขาก็เดินออกไปที่ระเบียง ผมเดินตามเขาออกไป
แล้วทำไมถึงไม่มีภาพหลังจากที่นายหยิบมันขึ้นมาล่ะ ผมยังคงตั้งคำถามต่อไป
อาถรรพ์น่ะ ไม่มีผลกับฉันหรอก เขาตอบเสียงเนิบ ซึ่งทำให้ผมแน่ใจได้เลยว่าทวยะร้ายหลบหัวไปแล้ว
ทำไม ผมถามอีก
ก็เพราะฉันไม่อยากได้มันน่ะสิ
อ๋อ จะบอกว่าเป็นคนดี ไม่โลภ ว่าอย่างนั้นเถอะ
อาถรรพ์นี้น่ะ จะมีผลเฉพาะกับคนที่อยากได้มันไว้ในครอบครองเท่านั้น เขาจาระไนต่อ
ทำไมนายถึงอยากให้ฉันเห็นภาพพวกนี้ล่ะ
ฉันอยากให้นายเห็นความน่าเกลียดของพวกเขา มนุษย์ที่ยังมีความโลภ ทวยะบอก แล้วหันกลับมามองผม แต่ฉันไม่ได้หมายความว่านายโลภหรอกนะ แค่อยากให้เห็น... เขาหันกลับไปมองทิวทัศน์นอกระเบียงอีก อีกอย่าง ฉันอยากให้นายรู้ว่า บางทีนายก็ช่วยอะไรคนอื่นเขาไม่ได้ มันสิ่งที่เขาต้องได้รับจากการกระทำของเขาเอง
ผมรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ที่คืนนั้น ทวยะดีไม่ได้เงียบเหมือนทุกวัน กลับสาธยายธรรมะเสียยืดยาว
แล้ว...นายจะทำยังไงต่อไปกับเหรียญอาถรรพ์อันนี้
ก็... ทวยะก้มมองเหรียญในมือ ฝากเขาไปคืนเจ้าของเดิมสิ เพื่อนผมบอก พร้อมกับโยนเหรียญตราอันนั้นขึ้นเบาๆ และขณะที่มันลอยอยู่ในอากาศนั่นเอง มันก็หายวับไป!
###
Half Twins บทที่ ๗ อาถรรพ์
อ้อ และสัปดาห์หน้า ขออนุญาตหนีเที่ยว (อู้) หนึ่งสัปดาห์ค่ะ
chenjiayi: คนเขียนก็เป็นเหมือนกันค่ะ ^^'
Psycho man: ทวยะแค่ไปยืนยันสถานที่เกิดเหตุน่ะ แหะๆ
ตอนนี้หยิบมาจากประสบการณ์ตรงค่ะ เห็นแถวบ้านถมคลองทำถนนแล้วแอบเสียดาย
ตอนเก่าเน่อ
อารัมภบท และ บทที่ ๑ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12879288/W12879288.html
บทที่ ๒ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12911942/W12911942.html
บทที่ ๓ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W12978217/W12978217.html
บทที่ ๔ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W13009856/W13009856.html
บทที่ ๕ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W13040155/W13040155.html
บทที่ ๖ http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W13070973/W13070973.html
และแฟนเพจตามเคย
http://www.facebook.com/treepunt
###
บทที่ ๗ อาถรรพ์
ในบันทึกของผม มีอยู่เหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งไม่ค่อยเกี่ยวพันกับเรื่องของทวยะที่ผมกำลังเล่าอยู่นี้มากนัก หากแต่ผมคิดว่าควรจะเขียนเอาไว้ เพราะมันค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียว...
โดยปกติแล้ว ผมกับทวยะจะไม่ออกมาเดินเตร็ดเตร่ในเวลากลางค่ำกลางคืน ถึงแม้ทางโรงเรียนจะไม่ได้ห้ามอะไร แต่ผมก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างอันตราย ทว่าวันนั้นพิเศษกว่าทุกวัน เพราะทวยะเป็นคนชวนผมออกมาเอง
ไทวะ นายอยากเห็นอะไรสนุกๆ ไหม เพื่อนผมเอ่ยถามขึ้น ในระหว่างที่ผมกำลังนั่งอ่านข่าวจากในเว็บไซต์อยู่ที่โต๊ะของตัวเอง ส่วนเขาก็นอนอ่านหนังสือปกดำที่เคยอ่านเป็นประจำอยู่บนเตียง
หือ ผมเลิกคิ้วอย่างสงสัย หันมองรูมเมทของตัวเองอย่างแปลกใจ
ทวยะปิดหนังสือ ลุกขึ้นนั่งบนเตียง แล้วเผยอยิ้มแบบร้ายๆ ของเขา พลางเหลือบมองมาทางผมอย่างมีเลศนัย หรือว่านายกลัว
ผมต้องยอมรับว่าผมกลัวหมอนี่จริงๆ ไม่ใช่กลัวว่าเขาจะทำร้ายหรืออย่างไร แต่ผมกลัวความคิดของทวยะร้ายนี่ต่างหาก ไม่รู้ว่าวันไหนอยากจะเล่นแผลงๆ หรืออยากจะแกล้งผมขึ้นมาอีก
เฮ้!...เป็นยังไงล่ะ นิ่งไปเลย หรือนายกลัวจริงๆ เขาโพล่งออกมาอย่างเย้ยเยาะ
เปล่า... เพียงแต่สงสัยว่านายจะมาไม้ไหนเท่านั้น ในที่สุดผมก็ตอบออกไปแบบหน่ายๆ พลางก้มลงอ่านข่าวต่อ ซึ่งที่เด่นๆ ก็มีข่าวต่อเนื่องจากเหตุเพลิงไหม้เมื่อคืนก่อน กับข่าวเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานในเหตุนั้น ถูกรถชนเสียชีวิต
ไม้ไหนอะไรกัน ฉันไม่มีลูกไม้อะไรหรอกน่า เขาพูดแล้วหันไปมองออกไปที่นอกระเบียง แต่คืนนี้จะมีอะไรสนุกๆ ให้นายได้เห็นจริงๆ
ผมนิ่งคิดไปนิดหนึ่ง กำลังตัดสินใจว่าควรจะเชื่อเขาดีหรือไม่
อืม...ว่าแต่เรื่องอะไรล่ะ
ทวยะร้ายกระโดดลงจากเตียง เดินตรงไปเปิดประตูห้อง เถอะน่า ตามมาก็รู้ แล้วเขาก็วิ่งออกจากห้องไปโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว เมื่อผมคว้ากระเป๋าสตางค์กับกุญแจห้องได้แล้ว ก็ถลันออกจากห้อง และเห็นเขาวิ่งลงบันไดไปเสียแล้ว
---
หลังจากเราพากันออกมานอกเขตรั้วของโรงเรียนแล้ว เขาก็พาผมเดินลัดเลาะไปตามทางริมคลองระบายน้ำข้างโรงเรียน ซึ่งเป็นทางที่ค่อนข้างเปลี่ยว ไม่ค่อยมีคนเดินมากนัก โดยเฉพาะในเวลากลางคืน ระหว่างนั้น คำถามมากมายก็ผุดขึ้นมาในสมองผม
ทวยะ นายจะพาฉันไปไหน ผมถามคำถามแรกออกไปหลังจากที่ความอดทนของตัวเองหมดลง เมื่อเดินกันมาได้ประมาณสิบนาที
อย่าถามมากน่า ตามมาเถอะ มันเป็นคำตอบที่ผมเดาเอาไว้อยู่แล้ว จะมีครั้งไหนบ้างที่เขาจะยอมตอบคำถามของผมดีๆ น่ะ
แล้วนายจะให้ฉันดูอะไรล่ะ ผมยิงคำถามที่สอง ซึ่งมันทำให้เขาหยุดเดิน แล้วหันมามองผมตาขวาง
นายจะหุบปากเอง หรือจะให้ฉันช่วยนายปิด
เออ กลัวแล้ว... ในที่สุดผมจึงได้แต่เดินตามเขาไปเงียบๆ
เดินไปอีกสักครู่ เราก็เห็นอาคารร้างอยู่ตรงหน้า อาคารแห่งนี้เป็นอาคารสูงราวยี่สิบชั้น แต่ยังก่อสร้างไม่เสร็จเพราะเจ้าของไม่มีทุนสร้างต่อ จึงต้องปล่อยมันทิ้งร้างไว้ ผนังอิฐบางส่วนก็ยังก่อไม่เสร็จเลยด้วยซ้ำ
และเนื่องจากมันเป็นอาคารร้าง มันจึงดูน่ากลัว...
แต่นอกเหนือจากความน่ากลัว ในเวลานั้น ผมเห็นเงาของใครคนหนึ่ง ยืนอยู่บนดาดฟ้าของอาคารนั้นด้วย!
ใครวะนั่น! ผมร้องออกไปทันทีที่เห็นเงานั้น คิดว่าเป็นวิญญาณหรือภูตหรืออะไรสักอย่าง
ตกใจอะไร แค่คนกำลังจะตกตึก ทวยะหันมาบอกเสียงขุ่น ทว่าสารในเสียงของเขาก็ทำให้ผมโล่งใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
ถ้าอย่างนั้น นายจะช่วยเขาใช่ไหม ผมหันไปถามเพื่อน ซึ่งกำลังยืนแหงนมองเงานั้นนิ่งอยู่
ไม่ เขาตอบห้วนๆ แต่หนักแน่น
อะไรวะ คนจะตาย ไม่ช่วยได้ยังไง นายนี่มัน... ผมกำลังจะอ้าปากสรรหาคำมาต่อว่าเขา แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ ฝาแฝดนายล่ะ ให้เขาออกมาสิ
หมอนั่นก็ช่วยอะไรไม่ได้
ทำไมล่ะ ผมเริ่มมีโมโห
บางครั้งนายก็ช่วยคนอื่นไม่ได้หรอก อย่าไปสนใจให้มากนัก เอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่า
โธ่เว้ย! พวกนายไม่ช่วย ฉันช่วยเอง ผมบอก แล้ววิ่งไปที่อาคารนั้น กระโดดข้ามช่องผนังที่น่าจะเป็นหน้าต่างด้านหน้า แล้วมองหาบันไดซึ่งยังเป็นแค่โครงอิฐ ผมวิ่งขึ้นไปได้เพียงสองก้าวเท่านั้นก็ได้ยินเสียงดังตุ้บ...
ผมวิ่งกลับลงจากบันได แล้วถลาไปยังช่องหน้าต่างช่องเดิมที่ผมกระโดดเข้ามา มองออกไปก็เห็นว่าเป็นชายคนหนึ่ง อยู่ในชุดเสื้อช็อปของนักเรียนช่างกับกางเกงยีนส์ขายาว นอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นปูนใกล้ๆ กัน ตัวของเขาบิดเบี้ยว กระตุกอยู่สองทีแล้วแน่นิ่ง จากนั้นผมก็เห็นเงารางๆ ซ้อนทับร่างเขา เงานั้นลุกยืนขึ้นแล้วก็หายวับไป
ทวยะ! เขา... ผมร้องออกมา ตัวก็แข็งทื่อด้วยความตกใจ เพราะไม่เคยเห็นคนตายชัดๆ แบบนี้มาก่อน
ตาย... ทวยะตอบลากเสียง น้ำเสียงติดรำคาญนิดๆ ตกใจทำไมวะ ทุกคนเกิดมาก็ต้องตายทั้งนั้น
ก็เข้าใจ...แต่ผมยังเป็นคนธรรมดาอยู่นะ คนธรรมดาที่ไม่เลือดเย็นด้วย ไม่ใช่ประเภทที่เห็นคนตายอยู่ตรงหน้าแล้วยังทำเฉยอยู่ได้
ผมกระโดดข้ามช่องหน้าต่าง คิดว่าอย่างแรกที่ควรทำคือไปแจ้งตำรวจ แต่เวลานั้นเองที่ผมเห็นวัตถุบางอย่างตกอยู่ใกล้ๆ เท้า มันเหมือนเหรียญตราขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ เป็นสีทองทั้งชิ้น และมีสัญลักษณ์บางอย่างสลักอยู่ตรงกลาง ผมจึงก้มลง จะเอื้อมมือไปหยิบ ทว่าทวยะกลับห้ามไว้
อย่างนาย อย่าไปแตะดีกว่า เขาบอก น้ำเสียงทีเล่นทีจริง พร้อมกับเดินเข้ามาช้าๆ
ทำไมล่ะ ผมรู้สึกหงุดหงิดกับความหมายในน้ำเสียงของเขา
มันมีอาถรรพ์ เพื่อนผมตอบ แล้วก็ล้มลงไปหยิบมันขึ้นมาหน้าตาเฉย
ถ้าอย่างนั้น นายเก็บมันทำไม
ทวยะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ พร้อมกับจ้องหน้าผม
นายจะได้กลัวฉันไง เขากระซิบ แล้วยิ้มออกมาแบบที่ทำให้คนอย่างผมประสาทเสียได้เลยทีเดียว
ไอ้บ้าเอ๊ย... ผมนึกตำหนิเขาในใจ แต่ยังไม่ทันที่จะพูดอะไรออกมา เขาก็พูดบางอย่างที่ทำให้ผมฉงนเสียก่อน
อยากเห็นอาถรรพ์นั่นไหมล่ะ นั่นเป็นคำถามที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้ยินจากปากเขา ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลย ผมอยากเห็นอยู่แล้ว ถึงแม้ความจริงผมจะรู้สึกหวาดๆ อยู่ก็ตาม แต่ความอยากรู้ของผมมักมีอำนาจเกินกว่าความหวาดกลัว ผมจึงพยักหน้าเป็นคำตอบ
ทวยะหรี่ตามองผม ท่าทางเหมือนใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง
อย่าดีกว่า เขาโพล่งออกมาในที่สุด
อ้าว! อะไรวะ
ฉันอยากให้นายทรมานกับความอยากรู้ของนายน่ะ เขาบอก แล้วระเบิดเสียงหัวเราะลั่นจนน่าเอาหมัดกระแทกปลายคาง... นึกอยู่แล้วว่าหมอนี่ไม่มีทางบอกง่ายๆ แต่ผมก็ยังหลงเชื่อ
เขาชำเลืองมองผมอย่างน่าหมั่นไส้นิดหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะหึๆ ออกมา ที่จริงหมอนั่นมันอยากให้นายเห็นน่ะ
หมอนั่น... คงหมายถึงทวยะดี ฝาแฝดที่อยู่ในร่างเดียวกันกับเขา ทว่าทวยะดีจะอยากให้ผมเห็นไปเพื่ออะไร
เอาล่ะ นายอยากดูตรงนี้ หรืออยากกลับไปดูที่ห้อง
แน่นอน ไม่ต้องคิดเลย ผมต้องอยากกลับไปที่หอพักก่อนอยู่แล้ว ใครอยากจะอ้อยอิ่งอยู่ใกล้ๆ ศพล่ะ แต่ถึงอย่างไร ผมก็ยังรู้สึกว่าปล่อยคนตายไว้แบบนั้นไม่ได้
ฉันอยากกลับนะ แต่ว่า... ผมชำเลืองมองที่ร่างไร้วิญญาณชายคนนั้นนิดหนึ่งก่อนจะถามต่อ แล้วเขาล่ะ
เดี๋ยวก็มีคนมารับศพไปแล้ว จะสนใจทำไม เขาตอบอย่างติดรำคาญ แล้วก็เดินนำลิ่วกลับไปตามทางริมคลองระบายน้ำ ผมจึงได้แต่วิ่งตับๆ ตามเขาไปโดยไมหลียวหน้ากลับมาอีกเลย
---
เอาล่ะ พร้อมหรือยัง ทวยะถามขึ้นทันทีเมื่อผมก้าวเข้ามาในห้องและปิดประตูลงกลอนเรียบร้อยแล้ว
ผมกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง เดินไปยืนข้างๆ เพื่อนผม แล้วพยักหน้า จากนั้นรูมเมทของผมก็ขยับมายืนทางด้านหลัง ยื่นมือที่กำวัตถุชิ้นนั้นมาอ้อมมาตรงหน้าผม ยกชูขึ้นในระดับสายตา และเมื่อเขาปล่อยมือ วัตถุนั้นก็ลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ รูปสัญลักษณ์ตรงกลางเหรียญตราก็มีประกายขึ้น จากนั้นภาพบางอย่างก็ปรากฏซ้อนทับกับภาพที่ตาผมเห็นในขณะนั้น คล้ายกับวัตถุนั้นกลายเป็นเครื่องฉายภาพวิดีทัศน์ โดยอาศัยดวงตาผมเป็นฉากรับ...
ภาพเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเป็นภาพย้อนกลับ เหมือนกำลังฉายภาพจากฟิล์มที่ถูกกรอกลับหลังอยู่ มันเป็นอย่างนั้นอยู่ประเดี๋ยวเดียว จนกระทั่งผมเห็นภาพชายกลางคนศีรษะล้านผู้หนึ่งปรากฏขึ้น รูปร่างของเขาใหญ่โต ผิวเป็นสีเหลืองทอง การแต่งกายก็แปลกตาด้วยผ้านุ่งสีทอง ร่างกายท่อนบนนั้นเปลือยเปล่า จะมีก็แต่ผ้าห่มสีทองพาดบ่าอยู่ผืนหนึ่ง เผยให้เห็นมัดกล้ามเนื้อเป็นลูกๆ ในมือของเขามีกล่องไม้สีดำลายทอง
หน้าตาท่าทางของชายคนนี้ก็ดูดีอยู่ แต่ออกเครียดไปสักหน่อย เขากำลังยืนอยู่ต่อหน้าคนกลุ่มหนึ่ง กะด้วยสายตาน่าจะสักหลายร้อยอยู่ คนเหล่านั้นเป็นผู้หญิงทั้งหมด แต่งกายสวยงามด้วยผ้านุ่งหลากสี และผ้าแถบเกาะอกสีเข้ากันกับผ้านุ่ง ผมของพวกเธอยาวมาก แต่รวบไว้อย่างดีจึงดูไม่รุงรัง ทั้งยังติดประดับด้วยดอกไม้นานาชนิดจนเต็มศีรษะ ทว่าน่าแปลกที่พวกเธอต่างร้องไห้กันระงม
ทั้งหมดแออัดอยู่ในสถานที่ซึ่งดูคล้ายถ้ำ แต่ถ้ำนี้ไม่มืด ตรงกันข้ามกลับสว่างไสวเรืองรองไปด้วยแสงเทียนที่แขวนอยู่โดยรอบผนัง และกระถางบูชาตรงหน้าชายผิวทอง ซึ่งมีเปลวไฟลุกโชน
ด้านหลังของชายผิวทองเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง เธอนอนอยู่บนแท่นสูงระดับเอว ตรงปลายเท้ามีหีบมากมาย ดูจากหน้าตาและการแต่งตัวของหญิงสาวคนนี้แล้ว เธอคงต้องเป็นคนมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ เพราะเธอดูสวยมาก ผิวของเธอมีสีทองเหมือนกับชายผิวทอง การแต่งกายของเธอดูก็ไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ในที่นั้น นอกจากผ้านุ่งและผ้าแถบเกาะอกสีทองแล้ว เธอยังสวมเครื่องประดับศีรษะสีทองอันใหญ่ และสวมนวมนางกับทับทรวงสีทองอีกด้วย ดูแล้วทองไปหมดทั้งตัว...
ผู้หญิงที่นอนอยู่นั่นเป็นเจ้านางของพวกเขา เสียงทวยะลอยมากระทบโสต ผมหันมองซ้ายมองขวา เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองเสมือนเข้าไปอยู่ในถ้ำแห่งนั้นด้วย แต่กลับไม่เห็นเพื่อนของผม ไม่ต้องมองหา นายไม่เห็นฉันหรอก รอดูพวกเขาไปเรื่อยๆ เถอะ
ผมทำตามคำสั่งของทวยะ เห็นชายผิวทองทำท่าทำทาง ถือกล่องวนไปวนมาเหนือเปลวไฟในกระถาง
ส่วนผู้ชายคนนั้นเป็นนักบวช พวกเขากำลังทำพิธีส่งวิญญาณเจ้านาง เธอเพิ่งตายเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ตามธรรมเนียม นักบวชคนนั้นต้องตาย เพื่อตามไปคุ้มครองเจ้านางด้วย!
อะไรนะ!... ผมร้องออกไป แต่ไม่มีเสียง อย่างน้อย ผมก็ไม่ได้ยินเสียงตัวเอง
ไม่ต้องถาม เพื่อนผมสั่ง แล้วก็ไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องออกความเห็นอะไรด้วย ดูไปเงียบๆ เถอะ
ผมดูภาพตรงหน้าต่อไปตามที่ทวยะบอก แล้วก็เห็นชายคนนั้นหยิบวัตถุในกล่องไม้ออกมา ผมเห็นแล้วก็จำได้ทันที มันเป็นเหรียญตราที่เราเพิ่งเก็บได้เมื่อสักครู่ เขาวางเหรียญนั้นลงตรงอกของเจ้านาง จากนั้นก็ดึงกริชออกมาจากใต้แท่นที่ประทับ แล้ว:-)กริชแทงอกตัวเองจนมิดด้าม!
นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของอาถรรพ์ นักบวชคนนั้นยังคงทำหน้าที่ของตัวเองอยู่
ผมมองภาพนักบวชคนนั้นค่อยๆ ทรุดตัวล้มลงที่พื้น แล้วแน่นิ่งไป พร้อมกับภาพที่ค่อยๆ เลือนหาย...
ยังไม่หมด ดูต่อไป เสียงเพื่อนของผมบอกต่อ คงเห็นว่าผมกำลังจะหันกลับมาตั้งคำถามกับเขา
ภาพที่ผมเห็นถัดมาก็คือ ชายสามคน ทั้งหมดสวมโจงกระเบนสีน้ำเงินหรือสีน้ำตาลทึมๆ ไม่สวมเสื้อ แต่ละคนถือจอบถือเสียม หนึ่งในชายกลุ่มนั้นถือเหรียญตราไว้ในมือ คนอื่นๆ รื้อหีบฉวยทรัพย์สินมีค่าอีกมากมาย แล้วมุดกลับออกจากถ้ำไป
พวกนี้เป็นโจรขโมยสุสาน ผ่านมาอีกพันปีกว่า ไอ้โจรพวกนี้ก็มาขุดเจอ เป็นคราวโชคร้ายของพวกมันละ
พอพวกโจรขุดขโมยสุสานได้ทรัพย์สินเหล่านั้นไปแล้ว ก็นำไปที่เรือนไม้ใต้ถุนสูงหลังหนึ่ง ซึ่งผมรู้สึกว่ามันอยู่ในที่เปลี่ยว เหมือนอยู่กลางป่ากลางสวน รอบเรือนหลังนั้นมีชายฉกรรจ์สี่คน ในมือถือดาบยาวเดินวนไปวนมา พวกเขาสวมโจงกระเบนสีน้ำตาลแดง ไม่สวมเสื้อ ที่แขน ที่หลังและหน้าอกล้วนมีรอยสักยันต์ เมื่อพวกโจรมาถึง หนึ่งในชายฉกรรจ์สี่คนนั้นก็นำพวกโจรขึ้นเรือน
ในเรือนหลังนั้นมีชายกลางคนท่าทางภูมิฐานคนหนึ่งนั่งอยู่ ด้านหลังเป็นชายฉกรรจ์อีกสองคน พวกโจรเอาของที่ขโมยมาได้ให้ชายกลางคนดู พูดคุยกันอีกพักหนึ่ง ท่าทางเคร่งเครียดเลยทีเดียว
ส่วนชายกลางคนนั่นเป็นพ่อค้า พวกมันตกลงราคากันอยู่ หึๆ อย่างว่าล่ะ ไอ้พวกนี้มันโลภไม่พอ ยังโง่ด้วย
ในตอนแรกผมไม่เข้าใจความหมายของทวยะ แต่เมื่อดูพวกเขาอีกเพียงครู่เดียวก็เข้าใจ...
คนพวกนั้นเจรจากันอยู่นานพอสมควร สุดท้าย ตาพ่อค้าก็เกิดฉุนขาด ตวาดคำหนึ่ง ชายฉกรรจ์ก็ตวัดดาบสองที พวกโจรขโมยสุสานก็ล้มพับ เลือดนอง!
อะไรกัน แค่นี้ก็สะดุ้งแล้วหรือ ยัง...ยังมีฉากหวาดเสียวให้ดูอีกเยอะ ทวยะบอกน้ำเสียงกวนประสาท แต่ความจริงผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองสะดุ้ง รู้แต่ว่าภาพตรงหน้ามันเหมือนจริงจนผมแทบจะอาเจียน
ชายกลางคนเห็นพวกโจรตายแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างน่าเกลียด แล้วยึดเหรียญตราไว้ พร้อมกวาดทรัพย์สินใส่หีบที่เตรียมมา ขนขึ้นรถสองคัน เทียมด้วยม้าคันละสองตัว พ่อค้าขึ้นโดยสารรถคันแรก แล้วควบขับจากไปพร้อมกับชายฉกรรจ์คนอื่นๆ
ทว่าระหว่างทางซึ่งเป็นทางแคบๆ ผมเห็นคนดักซุ่มยิงลูกดอกพุ่งมาเฉียดคอม้าที่พ่อค้าโดยสาร เมื่อม้าตกใจ มันก็หยุดกะทันหัน ยกสองขาหน้าตะกุยอากาศ เป็นเหตุให้พ่อค้ากลิ้งตกจากรถ จากนั้นม้าก็ลากรถวิ่งกระเจิดกระเจิงหนีไป ส่วนรถม้าคันหลัง เมื่อเห็นม้าสองตัวหน้าเตลิดไปเช่นนั้น มันก็เกิดอาการตื่นกลัว วิ่งควบด้วยความตระหนก ทำให้บังเอิญเกือกม้าทั้งแปดข้างเหยียบย่ำลงบนตัวพ่อค้า ทั้งยังลากรถที่โดยสารมาทับตัวพ่อค้าอีก
พ่อค้าสูญเสียทั้งทรัพย์สินที่ได้มาจากสุสานไปกับรถเทียมม้า และยังได้รับบาดเจ็บแสนสาหัส หากยังเหลือก็แต่เหรียญตราที่พ่อค้าเก็บไว้กับตัว กลุ่มชายฉกรรจ์ที่เดินทางมาด้วยจึงช่วยกันหอบหิ้วร่างพ่อค้า พยายามพาตัวพ่อค้ากลับไปยังบ้านของตน แล้วจึงตามหมอมาดูอาการ
บ้านของพ่อค้าเป็นเหมือนบ้านคหบดีในสมัยก่อน คือมีเรือนไม้ใต้ถุนสูงหลายหลังอยู่ในบริเวณสวนกว้างขวาง เมื่อชายฉกรรจ์ผู้ติดตามทั้งหลายหอบร่างเขามาถึง ก็มีสาวสวยอายุอานามพอจะเป็นลูกสาวของเขาได้ วิ่งลงจากเรือนมาต้อนรับ
นั่นน่ะเมียเขา เห็นท่าทางนุ่มนิ่มอ่อนแอแบบนี้ แต่ความจริงร้ายน่าดูเลยทีเดียว
โห เมียเด็ก แถมสวยเสียด้วย... ผมคิด ทว่าความร้ายของเธอคืออะไรกันนะ
เมื่อกลุ่มชายฉกรรจ์ออกไปตามหมอมาดูอาการพ่อค้า หญิงสาวคนนั้นก็ไม่อยู่ดูแลสามี ลอบออกมานอกเรือน เดินไปถึงท้ายสวนเพื่อพบชายหนุ่มคนหนึ่ง ผมจำได้ในทันทีว่าชายหนุ่มผู้นี้คือชายที่ซุ่มยิงรถม้าของพ่อค้า
เห็นทั้งสองพูดคุยพลางโอบกอดกัน ก่อนที่หญิงสาวจะผละออกมาด้วยความเอียงอาย และกลับไปยังเรือนก่อนที่กลุ่มชายฉกรรจ์จะพาหมอมาถึง
พ่อค้าต้องทนทุกข์ทรมานอยู่สามวันจึงเสียชีวิต ทว่าหลังจากพ่อค้าเสียชีวิตไม่นาน ภรรยาของพ่อค้าก็เริ่มสำรวจทรัพย์สินของสามี ซึ่งในนั้นมีเหรียญตราจากสุสานเจ้านางรวมอยู่ด้วย
ภรรยาของพ่อค้าเป็นผู้ครอบครองเหรียญตราคนต่อมา แต่เธอก็ครอบครองอยู่ได้ไม่นาน เพราะระหว่างที่คนอื่นกำลังวุ่นวายกับงานศพของพ่อค้าซึ่งอยู่ที่วัด ชายคนรักก็พาพวกมาปล้นบ้าน
ทว่าเวลานั้นเอง ภรรยาพ่อค้ากลับมาจากงานศพ พบเห็นเข้า พวกโจรนั้นฆ่าภรรยาพ่อค้าตาย และฉกฉวยทรัพย์สินมีค่า รวมทั้งเหรียญตราไปด้วย
แต่จะว่าด้วยอาถรรพ์หรือความเลวร้ายของพวกเขา เมื่อพวกเขาหลบหนีไปในป่า และกำลังแบ่งทรัพย์สินกันอยู่นั้น พวกเขาก็เกิดทะเลาะกันจนถึงกับฆ่ากันเอง แต่ละคนตวัดดาบฟันใส่กันและกัน ในที่สุดก็ไม่มีใครเภาพเหล่านั้นก็วูบดับลงไปอีก
หึๆ คนพวกนั้นมันงี่เง่าจริงๆ เสียงทวยะดังกรอกหูผม แต่ก็ยังไม่เท่าคนสมัยนี้หรอก
ภาพเคลื่อนไหวปรากฏขึ้นอีกครั้ง คราวนี้บรรยากาศดูเหมือนเป็นปัจจุบัน เพราะภาพที่เห็นเป็นชายฉกรรจ์สวมใส่เสื้อกล้ามกับกางเกงยีนส์เก่าๆ สองคน คนหนึ่งเดินถือเหรียญตราไปให้ชายอีกคนหนึ่งซึ่งแต่งตัวดูภูมิฐานกว่า
โอ๊ะโอ คราวนี้คนงานก่อสร้างขุดเอาความโชคร้ายขึ้นมาให้หัวหน้าเสียแล้ว เพื่อนผมทำหน้าที่พากษ์เหตุการณ์ต่อไป
ผมเห็นหัวหน้าคนงานพลิกดูเหรียญตราแล้วยิ้มออกมาอย่างพอใจ จากนั้นจึงพูดอะไรบางอย่างกับคนงานสองคนนั้น พวกเขาจึงกลับไปทำงานต่อ
เมื่อถึงเวลาเลิกงานในตอนเย็น หัวหน้าคนงานก็เอาเหรียญตรากลับไปที่บ้าน เอาไปอวดภรรยาและลูกเล็กๆ อีกสองคน พวกเขายิ้มแย้มดูมีความสุขดี ดูไม่น่าจะมีเรื่องเลวร้ายอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา
มีความสุขก็แค่ตอนนี้ละ อีกซักพักก็จะรู้ คนที่เก็บเหรียญนั้นไว้เป็นสมบัติส่วนตัวน่ะ ไม่มีทางสุขได้ตลอดหรอก
ผมไม่อยากจะเชื่อที่ทวยะพูด ทว่ากลางดึกคืนนั้นเอง ระหว่างที่คนในบ้านกำลังหลับสนิท ก็บังเอิญเกิดไฟฟ้ารั่วที่ห้องเก็บของภายในบ้าน จนเกิดเป็นประกายไฟขึ้น ประกายไฟติดกล่องกระดาษที่อยู่ภายในห้อง ทำให้กล่องกระดาษลุกไหม้โดยไม่มีใครรู้ ในที่สุดบ้านทั้งหลังก็ตกอยู่ภายใต้กองเพลิง แม้เจ้าหน้าที่จะสามารถดับไฟได้ภายในหนึ่งชั่วโมงต่อมา ทว่าสี่ชีวิตภายในบ้านกลับไม่มีใครเหลือรอดแล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่ตรวจพิสูจน์หลักฐานเข้าไปสำรวจในที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็พบเหรียญตราอาถรรพ์ในกองเถ้าถ่าน น่าแปลกที่เหรียญตรานี้ไม่ไหม้ไฟ เจ้าหน้าที่คนนั้นหยิบเหรียญตราขึ้น พลิกไปมาอยู่ครู่หนึ่งแล้วลอบยิ้ม จากนั้นก็หย่อนเหรียญตรานั้นเข้ากระเป๋าตัวเอง โดยไม่ได้ใส่ถุงรวมกับหลักฐานชิ้นอื่นๆ
ทว่าผู้ครอบครองเหรียญนั้นจะต้องมีอันเป็นไป!
ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่คนนั้นกำลังเดินข้ามถนนไปยังลานจอดรถ เพื่อจะขับรถกลับบ้านหลังเลิกงาน รถยนต์สีดำคันหนึ่งก็วิ่งมาด้วยความเร็วสูง และชนเขาเข้าอย่างจังจนร่างกระเด็นลอยขึ้นไปในอากาศ ก่อนจะตกลงมา จากนั้น ดูเหมือนอาถรรพ์เกรงว่าเขาจะยังไม่ตาย จึงบันดาลให้มีรถบรรทุกอีกคัน แล่นมาทับร่างเขา บดศีรษะของเขาจนแบนไปกับพื้น
ภาพของเขาทำให้ผมรู้สึกคลื่นไส้ จนแทบอาเจียนออกมา มันเป็นความรู้สึกคล้ายๆ กับตอนที่ผมอ่านข่าวจากเว็บไซต์เมื่อครู่ แต่ครั้งนี้รุนแรงกว่ามาก...ผมนึกได้แล้ว! มันเป็นเหตุการณ์เดียวกันกับในข่าวนั้นนั่นเอง
เหตุการณ์ยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น ภาพต่อไปที่ผมเห็นก็คือ เหรียญตรานั้นกระเด็นออกจากกระเป๋าของเจ้าหน้าที่คนนั้น กลิ้งไปจนชนกับขอบทางเท้าจึงหยุด ในระหว่างที่คนอื่นๆ ไม่ได้สังเกตเห็นเหรียญตรานั้น เพราะมัวแต่ให้ความสนใจกับเหยื่ออาถรรพ์คนล่าสุด เหยื่ออาถรรพ์คนต่อมาก็เก็บเหรียญตราไป
เขาเป็นชายวัยรุ่น ในชุดเสื้อยืด กาเกงยีนส์ สวมทับด้วยเสื้อช็อป เขาเก็บเหรียญได้ และด้วยความดีใจ จึงซื้อเบียร์ไปนั่งดื่มบนดาดฟ้าอาคารร้างเสียหลายกระป๋อง เมื่อเมาจนได้ที่ก็ขาดสติ เดินร่อนไปร่อนมาอยู่บนนั้น ทว่าเพราะความเมาจึงทำให้ประคองตัวไม่อยู่ พลัดตกลงมาจากดาดฟ้าในที่สุด
เขาตกลงมากระแทกพื้นด้านล่าง เสียชีวิตคาที่!
จากนั้นผมก็เห็นตัวเองอยู่ในอาคารด้านล่าง กำลังชะโงกมองเด็กวัยรุ่นคนนั้นจากทางช่องหน้าต่างด้วยใบหน้าเหยเกเพราะความตกใจ พร้อมกับพูดอะไรบางอย่างกับทวยะ ผมเห็นเพื่อนผมตอบกลับมา ก่อนที่ตัวเองจะกระโดดออกจากช่องหน้าต่างของอาคาร แล้วเหลือบไปเห็นเหรียญตราอันนั้น
ผมรู้สึกขนลุกชันทันทีที่เห็นว่าตัวเองกำลังจะเก็บมันขึ้นมา... ผมอาจจะเป็นเหยื่ออาถรรพ์รายต่อไปก็ได้ ถ้าทวยะไม่ห้ามไว้เสียก่อน
จากนั้นสิ่งสุดท้ายที่ผมเห็นก่อนที่ภาพทั้งหมดจะรางเลือนไป ก็คือมือของทวยะ ที่กำลังเอื้อมมาหยิบเหรียญตรา
เอาล่ะ หนังจบแล้ว ทวยะพูดขึ้น พลางคว้าเหรียญตราที่กำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศในทันทีที่ภาพทุกอย่างเลือนหาย บรรยากาศรอบตัวผมทั้งหมดกลับกลายเป็นห้องของตัวเอง ภายในหอพักของโรงเรียน
นาย...นายแก้อาถรรพ์ได้หรือ ผมหันไปถามรูมเมทที่แสนประหลาดของผมในทันทีเช่นกัน
เปล่า ทวยะตอบสั้นๆ น้ำเสียงเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึม จากนั้นเขาก็เดินออกไปที่ระเบียง ผมเดินตามเขาออกไป
แล้วทำไมถึงไม่มีภาพหลังจากที่นายหยิบมันขึ้นมาล่ะ ผมยังคงตั้งคำถามต่อไป
อาถรรพ์น่ะ ไม่มีผลกับฉันหรอก เขาตอบเสียงเนิบ ซึ่งทำให้ผมแน่ใจได้เลยว่าทวยะร้ายหลบหัวไปแล้ว
ทำไม ผมถามอีก
ก็เพราะฉันไม่อยากได้มันน่ะสิ
อ๋อ จะบอกว่าเป็นคนดี ไม่โลภ ว่าอย่างนั้นเถอะ
อาถรรพ์นี้น่ะ จะมีผลเฉพาะกับคนที่อยากได้มันไว้ในครอบครองเท่านั้น เขาจาระไนต่อ
ทำไมนายถึงอยากให้ฉันเห็นภาพพวกนี้ล่ะ
ฉันอยากให้นายเห็นความน่าเกลียดของพวกเขา มนุษย์ที่ยังมีความโลภ ทวยะบอก แล้วหันกลับมามองผม แต่ฉันไม่ได้หมายความว่านายโลภหรอกนะ แค่อยากให้เห็น... เขาหันกลับไปมองทิวทัศน์นอกระเบียงอีก อีกอย่าง ฉันอยากให้นายรู้ว่า บางทีนายก็ช่วยอะไรคนอื่นเขาไม่ได้ มันสิ่งที่เขาต้องได้รับจากการกระทำของเขาเอง
ผมรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ที่คืนนั้น ทวยะดีไม่ได้เงียบเหมือนทุกวัน กลับสาธยายธรรมะเสียยืดยาว
แล้ว...นายจะทำยังไงต่อไปกับเหรียญอาถรรพ์อันนี้
ก็... ทวยะก้มมองเหรียญในมือ ฝากเขาไปคืนเจ้าของเดิมสิ เพื่อนผมบอก พร้อมกับโยนเหรียญตราอันนั้นขึ้นเบาๆ และขณะที่มันลอยอยู่ในอากาศนั่นเอง มันก็หายวับไป!
###