Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ล่องกัลปาลัย บทที่ 43 vote ติดต่อทีมงาน

สวัสดีครับเพื่อนนักอ่าน รีบนำมาลงก่อนวันศุกร์เลยครับ
สำหรับสัปดาห์หน้า อาจจะไม่ได้นำมาลง พอดีต้องไปนิเทศงานต่างจังหวัดทั้งสัปดาห์เลยครับ

สำหรับตอนที่ 42 ครับ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W13032622/W13032622.html

และขอบคุณ กิฟต์จากเพื่อนนักอ่านทั้งที่ผ่านมาและตอนล่าสุดนี้ด้วยนะครับ
คุณ มน Setakan,คุณโอ เขมปัณณ์,อาจารย์จี Psycho man, น้องทะเลเดือดพันธุ์ร็อค,คุณ wor_lek, คุณปุ้ย npuiy, คุณไก่ kdunagin,คุณ mementototem, คุณ Travel to the moon และคุณ Hermosa ครับผม
บทที่ 43


          ร่างของปีระกาล้มคะมำลงไปบนพื้น และเมื่อหันกลับมาก็มองเห็นเงาดำวาดฉับลงมาพร้อมกระแสลมรุนแรง เสี้ยววินาทีเมื่อนักเขียนสาวรับรู้ชัดเจนว่ามันคือคมขวานที่จามลงมายังศีรษะของหล่อนเป็นเป้าหมาย!


           ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่งค้างอยู่กับที่ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองจ้อง แล้วก็แทบจะหลับตาลง นึกได้แต่เพียงว่าอีกไม่นานนักศีรษะของตัวเองก็คงจะแยกออกเป็นเสี่ยงโดยไม่อาจจะเคลื่อนกายหลบหนีอาวุธมรณะชิ้นนั้นไปได้ทัน


            ความตายอยู่ใกล้เพียงนิดเดียว...


             แล้วประกายสีทองเจิดจ้าก็บังเกิดขึ้น เหมือนแสงตะเกียงที่ถูกไขขึ้นทีละน้อย จนเกิดความสว่างเรืองรองประดุจแสงอำพันกลางรัตติกาล มันทำให้แรงเหวี่ยงของด้ามขวานพลาดเป้าลงไปที่ข้างกายหล่อนเพียงไม่ถึงกระเบียดนิ้ว...


                 ส่วนผู้เป็นเจ้าของขวานมรณะก็ทรุดกายลงฟุบหน้าสะอื้นฮักอยู่บนพื้นข้างบานประตู เหมือนหุ่นยนต์ที่หมดลานไข ปีระกาจดจำอีกฝ่ายได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องมองหน้า


             มะขิ่น


            คนใช้สาวของทับสนธยานั่นเอง... แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ซักถามใดๆ เมื่อประกายแสงสีทองเจิดจ้าขยับไหวอีกครั้ง ทำให้ทุกคนต้องหันไปยังแหล่งต้นกำเนิดลำแสงประหลาดนั้นพร้อมกัน


            ธาม...


              เมื่อนั้นเอง นักประพันธ์สาวทายาทคนเดียวของทับสนธยาก็ถึงกับอุทานเสียงแผ่วหวิว ทั้งด้วยความปรีติปราโมทย์ เมื่อร่างในรูปทองนั้นปรากฏขึ้นเต็มสายตาอีกครั้งหนึ่ง


         “ท่านต้องการสิ่งใด สิงหเมฆินทร์?”


            น้ำเสียงทุ้มกังวานของธามดังขึ้น เหมือนกับขยายพลังอำนาจแห่งเสียงก้องกังวานไปทั่วทั้งบริเวณ


         “สุวรรณชตุกา... ข้าต้องการให้เจ้าพาเรากลับไป วิเทหนคร”


           สิงหเมฆินทร์เอ่ยเสียงเข้มแกมแสดงอำนาจในตัว นัยน์ตาคมกล้าดุดันประสานกับอีกฝ่ายโดยมิได้ครั่นคร้ามในบุญญานุภาพแม้แต่น้อย ในท่ามแสงสว่างเรืองรองส่องให้เห็นรอยไหม้เกรียมเป็นทางยาวปรากฏบนใบหน้าอัปลักษณ์นั้นชัดเจน และน่าสะพรึงยิ่ง


          “แต่ท่านก็รู้ว่า สุวรรณชตุกาจักจรดลได้อีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อคำสาปทั้งหมดสิ้นสุดลงแล้ว ข้าได้พานพบกับนางผู้ปลดปล่อยและรำลึกถึงความทรงจำทั้งมวล ย่อมมิใช่สภาวะแห่งอนังคะอีกต่อไป”


             “แต่เจ้าคิดหรือว่าข้าจะยอมให้นางผู้ปลดปล่อย ของเจ้าได้เป็นอิสระ ถ้าหากว่าข้ายังมิสมความปรารถนา?”


              เสียงห้าวกระหึ่มของธามดังขึ้น นัยน์ตาคมเข้มของร่างทองคำเป็นประกายวาวโรจน์ราวกับประจุไว้ด้วยเปลวอัคนี นี่มิใช่ธามผู้อ่อนโยน นุ่มนวลและชอบเย้าแหย่อย่างอารมณ์ดีเฉกที่เธอเคยเห็น


            “ถ้าเจ้าทำอะไรนาง ให้เป็นอันตรายแม้แต่ปลายเล็บ เจ้าก็จะไม่มีวันได้กลับคืนสู่กัลปาลัยเช่นเดียวกัน!”


         สิงหเมฆินทร์ฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์


         “ถ้าเช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จงพาข้ากลับคืนสู่วิเทหนครในกัลปาลัยนั้นในบัดนี้”


              “แต่ถ้าหากข้าได้กระทำเช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จักมิอาจกลับคืนสู่ภพภูมินี้ด้วยมิใช่หรือ สิงหเมฆินทร์ ข้ารู้ว่าแท้จริงวิเทหนครหรือโรมพิสัย มันก็มิใช่ความปรารถนาของท่านดอกนี่นะ”


            สิงหเมฆินทร์หัวเราะเสียงกังวานอย่างลำพองใจ


                   “เจ้ามิต้องซักถามให้มากความ ข้ามิวิธีการกลับคืนสู่ภพมนุษย์นี้แน่นอน โลกแห่งอิสรภพที่ข้าปรารถนาความเป็นอมตะเฉกเดียวกับที่ไอ้ศลภะเป็น มิใช่ชีวิตที่ถูกลิขิตขึ้นจากจินตนาการของผู้หนึ่งผู้ใดทั้งสิ้น!”


            “ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็ต้องปล่อยนางให้เป็นอิสระ”


                ธามต่อรอง เมื่อนั้นเองมือที่กำรอบต้นแขนของหล่อนจึงเริ่มคลายลง ปีระกาสะบัดจนหลุดแล้ววิ่งตรงเข้าไปหาร่างอันเรืองรองราวเปล่งแสงขึ้นมาเองได้ของอีกฝ่าย หากหญิงสาวก็ต้องหยุดชะงักงัน ประกายแสงยิ่งเจิดจ้าแจ่มจรัส จนนัยน์ตาพร่าพราย หากมือของหล่อนกลับคล้ายมิอาจสัมผัสเรือนกายอีกฝ่ายนั้นได้ดังปรารถนา เมื่อธามหยุดชะงักงันคล้ายลังเลใจ


         “ธาม...”


            “ปีระกา...”


             น้ำเสียงอ่อนโยนมิผิดแผกไปจากที่เคยคุ้น หล่อนกลืนก้อนแข็งๆที่ติดลำคอลงไปอย่างยากเย็น เห็นแม้กระทั่งใบหน้ายิ้มแย้มด้วยความยินดีและ... อาดูร... ต่อการอำลาจากที่มาถึงโดยมิคาดคิด


               หล่อนเห็นร่างนั้นพยักหน้าด้วยสัญญาณอันรู้กัน นั่นคือตำแหน่งที่ซ่อนสำคัญแห่งกัลปาลัยที่หลวงอนุรักษ์วนาดรสร้างขึ้น และก็เป็นเธอผู้เดียวเท่านั้นที่จะเปิดมันออกมาได้


                 ด้วยความจำใจยิ่ง หญิงสาวบรรจงแตะมือลงยังตำแหน่งใต้ฐานโต๊ะไม้ของหลวงอนุรักษ์วนาดร เสียงขยับเลื่อนแผ่วเบาดังขึ้น แล้วเมื่อนั้นลิ้นชักกลก็ดีดตัวออกมา เผยให้เห็นกล่องโลหะกล่องเดียวที่บรรจุกัลปาลัยวางเด่นเป็นสง่าอยู่ภายในนั้น


           ปีระกาหยิบมันขึ้นมาช้าๆ ในท่ามกลางสายตาเบิกโพลงเต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นของสิงหเมฆินทร์ หญิงสาวกดคลายล็อคด้วยนิ้วมือเพียงนิ้วเดียวของตนเอง เพียงเท่านั้นฝากล่องก็เผยออกจากกันอย่างเชื่องช้า และแสงสว่างเรืองรองจากอีกจุดหนึ่งภายในนั้นก็ผ่านวูบออกมา


          โอ...กัลปาลัย


                สิงหเมฆินทร์มองเห็นสิ่งที่มันท่องตราตรึงอยู่ในใจตนเองตลอดเวลาเกือบศตวรรษที่ผ่านมา ในท่ามความทรงจำที่เลือนหาย จนต้องไขว่คว้าหามัน ตราบถึง ณ เพลานี้


             เพลาที่มันรอคอย สำหรับการกลับคืนไปจัดการกับศัตรูหัวใจคนสำคัญ!


        ไอ้เศาร์! วณิพกแดนไกล ผู้จรดล


          ความแค้นที่ไม่มีวันลบเลือน...


           หญิงสาววางกัลปาลัยลงกับโต๊ะไม้เบื้องหน้า แสงเรืองรองส่องกลืนเข้ากับรัศมีจากเรือนกายของธามจนแทบจะหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน ธามก้าวตรงเข้ามายืนใกล้ จนหญิงสาวรับรู้ถึงละไออุ่นที่ราวกับจะระเหยผ่านออกมาจากผิวเนื้อนั้น


            นี่ย่อมมิใช่ทวยเทพเทวาใดๆจากแดนสรวง หากเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อและสามารถจับต้องได้...


           “กลับไปเสียเถิดปีระกา บัดนี้ทุกอย่างได้สำเร็จสิ้นลงแล้ว ข้าธามบดี มิอาจกล่าวอันใดได้อีก ในอันที่จะตอบแทนน้ำใจท่าน ผู้ได้ช่วยปลดปล่อยข้าให้ผ่านพ้นห้วงแห่งคำสาปนี้ได้ในที่สุด ข้าขอกล่าวคำอำลาจากความรู้สึกแห่งหัวใจ”


         “แต่ปีไม่อยากให้ทะ- ท่านไป ธาม...”


                 สง่าราศีอันเหนือกว่าสรรพบุรุษราวเทพเทวาเบื้องหน้า ทำให้คำพูดที่คุ้นเคยกลืนหายลงไปในลำคอ หญิงสาวเอ่ยเสียงกระท่อนกระแท่น รับรู้ถึงอุ้งมืออีกฝ่ายแตะลงสัมผัสใบหน้าและแก้มที่หมาดชื้นไปด้วยคราบน้ำตา


             ใช่! หล่อนร้องไห้โดยไม่รู้ตัว!


            แล้วอุ้งมืออบอุ่นก็คลายออกอย่างอาลัย ทิ้งห่างไป ปีระกาเผลอกายผวาตาม แต่เหมือนร่างทั้งร่างจะถูกพลังอันมองไม่เห็นรั้งดึงเอาไว้ ก่อนที่ร่างทองคำนั้นจะเริ่มแปรเปลี่ยนรูปกายอย่างเชื่องช้า


           สู่รูปสุวรรณแห่งพญาปักษา ค้างคาวทอง!


               สรรพเสียงกระพือของบรรดาค้างคาวที่อาศัยอยู่ภายในห้องใต้หลังคา กระหึ่มขึ้น ไม่ต่างกับเสียงแซ่ซ้องของพสกนิกรต่อองค์ราชันย์ จากนั้น เงาดำของพวกมันก็บ่ายบินฉวัดเฉวียนพุ่งตรงออกสู่เวหาหาวด้านบนโดยพร้อมเพรียง


           การปรากฏกายาครั้งสุดท้ายองค์สุวรรณชตุกา สัมฤทธิ์ผลแล้ว...


              บัดนั้นกัลปาลัยก็พลิกเปิดออกราวกับถูกหัตถ์ล่องหน เลื่อนมาเปิดออกในบัดดล ประกายสีทองเจิดจรัสกำจายแสงทวีขึ้น คล้ายเกิดพลังดึงดูดอันมหาศาล หล่อนมองเห็นแม้แต่ผืนกระดาษอันถูกจารจรดด้วยอักษรชนนี เป็นสีเข้มแห่งหมึกทองคำ ผุดพรายขึ้นเองราวกับมีชีวิตจิตวิญญาณ


              จากนั้นท่วงทำนองแห่งบุพมนตรา ก็ไหลรินผ่านกระแสสำนึกราวกับมันถูกจำหลักเอาไว้แล้วในมันสมอง ปีระกาเอ่ยออกมาระรัวเร่ง เมื่อพญาค้างคาวทองกระหยับบินโผนขึ้นเหนือพื้นห้อง ทุกส่วนแห่งสรีราพยพย่อส่วนลงทีละน้อย การโบกสะบัดก่อให้เกิดพลังคลื่นพลิ้ววนรอบบริเวณ ขณะที่หล่อนยังสังวัธยายมหามนตราเป็นท่วงทำนองอันไหลรินมิขาดสาย


               แล้วทันใดนั้นเอง ร่างแห่งพญาปักษาก็พุ่งดิ่งผ่านเข้าสู่แผ่นกระดาษแห่งกัลปาลัยที่เปิดกว้างอย่างรวดเร็ว คลื่นสีทองหมุนวนราวกับสายลมที่ทวีความรุนแรงไล่ตามการโบกบินของค้างคาวทอง


      สิงหเมฆินทร์รอจังหวะนั้นอยู่แล้ว มันตัดสินใจพุ่งร่างติดตามพญาสุวรรณชตุกาเข้าไปพร้อมกันในทันที

            และพร้อมกันนั้นเอง กับอุบายที่มันวางแผนการเอาไว้ก่อนแล้วในใจโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ข้อมือแข็งแกร่งเหมือนคีมเหล็กก็ฉุดกระชากร่างของปีระกาที่มัวแต่ยืนตะลึงอยู่ ให้พุ่งตามติดเข้าไปพร้อมกัน


           ร่างทั้งสามร่างเลือนสลายแยกเป็นอณูอันสุขุมละเอียดอ่อนแล้วกลืนผ่านเข้าสู่ห้วงแห่งกัลปาลัยในพริบตา


              ปีระการู้สึกเหมือนร่างของตนหลุดทะลุผ่านเข้าไปในเวิ้งอากาศว่างเปล่าเบื้องหน้า รู้สึกเหมือนตัวตนถูกย่อส่วนให้เล็กลงไปเรื่อยๆ ไหลเลื่อนผ่านช่องอุโมงค์ทึบที่เริ่มเรืองแสงสีทองเจิดจ้าขึ้นทีละน้อย ทีละน้อย จนฉานโชนไม่ต่างกับเปลวอัคคีรายล้อมรอบด้าน ไม่อาจแม้แต่จะสะบัดข้อมือให้หลุดจากอีกฝ่าย ที่พันธนาการเอาไว้อย่างเหนียวแน่นและหมายมาดด้วยเจตจำนงอันทุรจิตนั้น


                  หญิงสาวได้แต่หลับนัยน์ตาลง เสมือนเสียงแว่วแห่งบุพมนตราจะหยุดสิ้นลงตั้งแต่เมื่อใดไม่ปรากฏ จากนั้นก็ปล่อยให้ตัวตนลอยละล่องผ่านเข้าสู่กัลปาลัย โดยมิอาจล่วงรู้ชะตากรรมใดๆ


          ไม่อาจแม้แต่จะมองเห็นว่า ในชั่วเวลาเสี้ยววินาทีของเหตุการณ์ บานประตูห้องใต้หลังคาหอคอย ก็ได้เปิดกว้างออกจากกันด้วยแรงผลักเร่งร้อน เมื่อร่างอีกร่างหนึ่งวิ่งไต่บันได แล้วแทบจะโผนทะยานเข้ามาในจังหวะนั้นพอดี เสียงหอบหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อยของผู้มาถึงยังไม่เท่ากับเสียงอุทานด้วยความผิดหวังขีดสุด


                เป็นร่างชราภาพของศลภมาณพ หรือลุงอาตม์นั่นเอง แต่ทว่าชายชราก็มาถึงช้าเกินไป


               การจรดลบรรลุแล้วโดยสมบูรณ์...


           *************************


               มะขิ่นมองเห็นเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยความหวาดสยองใจ ในจังหวะของความวุ่นวายและมหัศจรรย์เกินกว่าที่เด็กสาวจะเคยพบเห็นมาก่อน หล่อนค่อยๆเลี่ยงกายแนบกับผนังห้องแล้วเคลื่อนออกมานอกห้องแห่งนั้น โดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้


          เจ้าสิงห์เข่นฟ้า... นายท่าน


            เด็กสาวนึกในใจเมื่อความเข้าใจทุกอย่างแจ่มชัด มองเห็นกัลปาลัยเล่มนั้นที่โบกพลิ้วราวมีชีวิต ผืนกระดาษที่จารจารึกขึ้นมาเองทุกตัวอักขระอย่างน่ามหัศจรรย์ แล้วก็ประจักษ์แก่สายตาตนเองถึงพลานุภาพแห่งมัน พลังอำนาจที่สามารถดูดกลืนสรรพชีวิตให้ละลายเป็นอากาศธาตุแล้วสูบผ่านเข้าไปอยู่ในหนังสือเล่มนั้นได้


           ไม่ต่างกับหนังสือปีศาจที่ดูดกินวิญญาณมนุษย์เข้าไป!


              เจ้าหล่อนรีบหลบกายแฝงร่างเข้ากับเสาด้านหนึ่งได้ทันท่วงที เมื่อเห็นร่างของเฒ่าอาตม์โผนทะยานขึ้นมาด้วยเรี่ยวแรงผิดปกติจากสภาพชราอันคุ้นเคย แล้วแทบกระโจนผ่านหน้าเข้าไปภายในห้องนั้น ได้ยินเสียงร้องอุทานอย่างผิดหวังดังแว่วออกมา


            ด้วยสัญชาตญาณแห่งเอาตัวรอด ทำให้มะขิ่นรีบถอยห่างออกมาช้าๆเพื่อมิให้อีกฝ่ายผิดสังเกต จากนั้นแล้วก็รีบวิ่งลงบันไดไปอย่างไม่คิดชีวิต


               หนีจากเฒ่าอาตม์ และหนีจากอำนาจของนายท่านเสือเข่นฟ้า


             ขณะนี้ไม่อาจไว้ใจต่อชายผู้ที่เพิ่งล่วงรู้ว่ามีอายุยาวนานเกินกว่าจะคาดคิด และอำมหิตยิ่งกว่าที่นึกฝัน นอกจากสิ่งที่เคยเชื่อถือในเรื่องพลังอำนาจพิเศษของเขาเพียงอย่างเดียว อำนาจที่สามารถยับยั้งความชราภาพเอาไว้ให้ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ราวกับสามารถยืดอายุขัยออกไปได้


          แต่นั่นก็ยังมีจุดสิ้นสุด มิใช่ลักษณะเช่นนี้


          “เจ้าเสือเข่นฟ้า... แท้จริงนายท่านก็มิใช่มนุษย์จริงๆ”


             มะขิ่นอุทานเสียงแผ่วโหยระหว่างเร่งฝีเท้าลงสู่พื้นด้านล่างของทับสนธยา และความทรงจำในวัยเยาว์ก็หวนคืนกลับมาอีกครั้ง


           *****************************


               ตั้งแต่จำความได้ เด็กหญิงมะขิ่นและเด็กชายมินอ่อง ก็พบว่าตนเองตกอยู่ในความดูแลของบุรุษนามเจ้าเสือเข่นฟ้าและกลุ่มบริวารของเขา มันไม่ใช่ความอบอุ่นอาทรอย่างบิดาดูแลบุตรรัก แต่ไม่ต่างกับบริวารวัยเยาว์ที่ต้องทำตามคำบังคับบัญชาของอีกฝ่ายโดยมิอาจปฏิเสธ


            นายท่าน


            คำนี้ คือคำเรียกขานที่เด็กทั้งสองต้องรับปฏิบัติโดยไม่มีข้อแม้ ตราบจนเมื่อเด็กทั้งสองเริ่มรู้ความมากขึ้น นายท่านก็ส่งให้ไปอาศัยอยู่กับครอบครัวของนางแปงในหมู่บ้านตะเข็บชายแดน เพื่อใช้ชีวิตอย่างชาวป่าแทนการเร่ร่อนไปกับกลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านั้น... ที่รู้ในภายหลังว่าคนพวกนั้นหาใช่เจ้าฟ้าเจ้าชายจากที่ใดไม่ แต่เป็นกองกำลังดักปล้นสะดมของพวกโจรนั่นเอง


แต่เด็กทั้งสองก็รู้ว่าเมื่อใดก็ตามเสียงเรียกด้วยสัญญาณเป่าเขาสัตว์ดังขึ้น จะต้องเร่งหลบออกมาจากหมู่บ้าน เพื่อเข้าป่าไปหานายท่าน การติดต่อนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เมื่อวัยเยาว์สองพี่น้องก็ยังกริ่งเกรงอำนาจของอีกฝ่ายด้วยความเป็นเด็ก แต่ต่อมาเมื่อเริ่มเติบโตขึ้น ก็มีความคิดเป็นของตัวเองมากขึ้น มินอ่องพี่ชายเคยปฏิเสธคำสั่งนั้นครั้งหนึ่ง ตอนเขายังอยู่ในวัยเด็กหนุ่มและติดพันกับหญิงสาวในหมู่บ้าน


            ผลลัพธ์ที่เกิดภายหลังจากนั้น ไม่ได้บังเกิดกับมินอ่องโดยตรง แต่เมยวดี เด็กสาวคนนั้นก็หายตัวไปอย่างลึกลับ แต่ถูกพบเป็นซากศพอยู่กลางป่าในสภาพที่น่าอนาถใจ


         นี่คือบทลงโทษที่เจ็บปวดยิ่งกว่าการลงโทษทัณฑ์ทางร่างกายนับร้อยพันเท่าของนายท่าน!


              บนใบหน้าดำเกรียมที่เกิดจากร่องรอยบางอย่างในอดีตก่อให้เกิดความพรั่นพรึงยิ่งกว่า นั่นก็คือความดำมืดในใจของอีกฝ่าย ที่ทั้งมะขิ่นและมินอ่องไม่อาจล่วงล้ำเข้าไปได้ถึง มินอ่องแทบคลุ้มคลั่งเมื่อรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับหญิงสาวที่เขารักสุดหัวใจ แต่เด็กหนุ่มก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ พลังอำนาจของนายท่านยิ่งใหญ่นัก


              และนับจากนั้น พี่ชายของมะขิ่นก็ไม่กล้าปฏิเสธคำสั่งใดๆจากนายท่านอีกเลย


             รวมถึงภารกิจสำคัญที่ได้รับในเวลาต่อมา นั่นคือตามหาของชิ้นสำคัญที่มีชื่อว่า “กัลปาลัย”


             ทุกอย่างเป็นความมืดมน แม้แต่นายท่านเองก็ยังมิอาจให้ความกระจ่างเกี่ยวกับของสิ่งนั้น นอกเหนือจากสิ่งที่มะขิ่นรู้ว่า สิ่งเดียวที่นายท่านเกรง... ก็คือ การผ่านเข้าสู่อาณาเขตของทับสนธยา เสมือนเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ปฏิเสธการก้าวล่วง


           การค้นหาเป็นไปอย่างเร่งร้อนและไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเพียรพยายามสักเท่าใด รวมถึงการต้องหลบเลี่ยงรอยพิรุธจากชายชราผู้ดูแลทับสนธยานั่นด้วย เพียงแต่ในขณะนั้น อาตม์กำลังวุ่นวายเกี่ยวกับการติดตามหาทายาทที่จะมารับช่วงต่อของคุณผอบแก้ว ที่เพิ่งเสียชีวิตลงไม่นาน


          ตราบจนนายผู้หญิงคนนั้นก้าวเข้ามานั่นเอง ที่ทำให้เหตุการณ์ต่างๆเริ่มคลี่คลายลง และพลิกผันไปอย่างไม่มีทางนึกไปถึง...


      ความคิดของมะขิ่นสะดุดลง เมื่อเด็กสาวลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายของหอคอยฝั่งใต้พอดี พร้อมกับเสียงบางอย่างที่ดังสะท้อนขึ้นมา จนเท้าที่เตรียมจะก้าวออกไปต้องหยุดชะงัก


            ปัง!!


                 เสียงนั้นมันดังมาจากห้องที่อยู่ถัดลงไปด้านล่าง... ห้องใต้ดินที่หล่อนถูกเฒ่าอาตม์ขังเอาไว้ก่อนหน้านี้นั่นเอง!


**********************



               แสงไฟฉายในมือภูไท ทินบดี ถูกกดเปิดจนสว่างจ้าขึ้นอีกครั้ง ด้านในสุดของห้องใต้ดินทอดเป็นเวิ้งอุโมงค์หินช่องเล็กช่องน้อยไม่ต่างกับเขาวงกต ไม่รู้ว่าหนทางด้านในจะทะลุไปออกสู่ที่ใดหรืออาจจะเป็นเพียงหนทางลวงที่ทำให้ผู้ผ่านเข้าไปหลงติดอยู่ภายในอุโมงค์หินเหล่านั้นจนขาดใจตายไปที่สุด


            เขากำลังตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป


              มองเห็นร่างของมินอ่องกำลังยืนตัวสั่นสะท้านซุกร่างอยู่ด้านในจนแทบแนบชิดเป็นหนึ่งเดียวกับผนังอันเย็นยะเยียบด้านหนึ่ง นัยน์ตาชายหนุ่มพื้นเมืองสะท้อนแสงไฟเป็นประกาย ชลธรมองเห็นความหวั่นกลัวปรากฏในขณะที่ในอุ้งมือ เขาถือปืนกระบอกหนึ่งเอาไว้แน่น และบัดนี้มันก็กำลังส่ายไปมาอย่างน่ากลัว


                 มินอ่องคงจะพกมันติดตัวมาด้วย ระหว่างเข้ามาตามหาน้องสาวภายในทับสนธยาแห่งนี้ และตัดสินใจยิงปืนออกไปด้วยวัตถุประสงค์บางอย่าง


             “คุณชล ระวังตัวนะครับ”


       ทนายความหนุ่มตะโกน แล้วรีบตรงเข้ามาหา เขาส่งไฟฉายในมือให้กับหญิงสาว เพ่งมองร่างชายหนุ่มพื้นเมืองที่กำลังหลบสายตาลงกับพื้นอย่างมีพิรุธ


          “มินอ่อง เป็นอะไรไป?”


            ชลธรถามขึ้นด้วยความสงสัย ขณะที่ริมฝีปากชายพื้นเมืองสั่นระริก... ด้วยความหวาดกลัวบางอย่าง


              “ข้า ข้าจำได้แล้ว... จำได้แล้ว...”


         แล้วเสียงชายหนุ่มก็พล่ามออกมาเหมือนคนสติวิปลาสไปเสียแล้ว มืออีกข้างกวักเรียกหญิงสาวให้ตรงเข้ามาหาอย่างเร่งร้อน


            “คุณรีบมาที่นี่เดี๋ยวนี้ มันอันตราย!”


          อันตรายอะไร?


            อากัปกิริยานั้นกลับยิ่งทำให้น่าหวั่นเกรงมากขึ้น เมื่อนั้นชลธรเพิ่งมองเห็นว่าผนังปืนด้านบนถูกกระสุนถากออกไป เฉียดร่างของหล่อนและภูไทไปแทบไม่ถึงคืบ! อีกฝ่ายคงสุ่มยิงออกไปในความมืดอย่างสะเปะสะปะนั่นเอง


          “เธอ... เธอเป็นอะไรไป มินอ่อง? ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัว...”


            หล่อนขยับเข้าไปในระยะห่างอีกฝ่ายเล็กน้อยเพื่อความปลอดภัย พยายามตะโกนเรียกสติ ในใจคิดว่ามินอ่องคงตกใจกลัวกับสภาพที่เกิดขึ้นจนควบคุมสติไม่อยู่และเกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมา เหมือนกับที่ภูไทกำลังพลุ่งพล่านใจอยู่เมื่อครู่นั่นเอง


         ...แต่ไม่ใช่!


        เสียงชายหนุ่มสั่นกระท่อนกระแท่นเมื่อพยายามเอ่ยออกมาให้ชัดถ้อยชัดคำที่สุด


            “ผมจำได้แล้ว เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อสามวันก่อนนี้เอง ตอนนั้นผมกำลังขี่ม้าเพื่อจะเข้าไปในเมือง แต่แล้ว... แล้ว...”


              ด้วยเสียงตะกุกตะกัก แสงไฟฉายยิ่งสะท้อนความหวาดกลัวให้มองเห็นเด่นชัดมากขึ้นไปอีกกลางนัยน์ตาคู่นั้น ภูไทถอยออกไปยืนอีกด้านหนึ่งตั้งแต่เมื่อไรไม่ทันสังเกต แต่หล่อนก็เห็นเขาทำสัญญาณมือไหวๆ เหมือนกับบอกให้ชวนอีกฝ่ายสนทนาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ในขณะที่ทนายความหนุ่มค่อยๆขยับร่างอย่างช้าๆเยื้องไปทางด้านหลัง เพื่อชิงอาวุธปืนในมือ


            “เธอจำอะไรได้ ไหนบอกมาสิ ใจเย็นๆ เราไม่ได้มีอันตรายอะไร เราพยายามจะหาทางออกจากที่นี่กันอยู่นะ”


           “ละ- แล้วระหว่างทางนั้นเอง ที่ผมได้พบคนที่ถูกฆ่าอยู่ในป่า”


              เสียงพูดของมินอ่องยังพล่ามต่อไปไม่หยุด ดูเหมือนสายตาของเขาจะจ้องมองมาที่หล่อนโดยเฉพาะ และเมื่อคำพูดคำแรกถูกผลักดันให้หลุดผ่านริมฝีปากออกมาได้สำเร็จแล้ว ประโยคต่อไปก็เริ่มพรั่งพรูไม่ต่างกับสายน้ำล้นทำนบ


          หางตาของหล่อนมองเห็นภูไทขยับเลื่อนเยื้องไปทางด้านหลังทุกขณะ ใกล้เข้าไป ใกล้เข้าไป...


            “ผมพยายามจะช่วยเขา แต่ก็ไม่ทัน เขาถูกยิง จนบาดเจ็บสาหัส แต่ก็พยายามหนีการตามล่าของไอ้ฆาตกรมาได้สำเร็จ มือผมเต็มไปด้วยเลือด... มีเลือดออกเต็มไปหมด”


            “เธอพูดเรื่องอะไรน่ะ ฉันไม่เข้าใจเลย”


              เพื่อนสาวของปีระกา คิดว่า นายมินอ่องผู้นี้คงกลัวจนสติแตกไปแล้ว ถึงได้พล่ามเรื่องที่หล่อนไม่เห็นว่าจะเกี่ยวข้องกับการถูกขังอยู่ในนี้เลยด้วยซ้ำ


           นัยน์ตามินอ่องเหลือกลานด้วยความหวั่นกลัว ระหว่างการนึกไปถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมานั้น


           “แล้วเขาก็ตาย! ตายต่อหน้าต่อตาผมนี่แหละ แต่...”


            ประโยคต่อมานั่นต่างหากที่ทำให้ทุกอย่างกระจ่างชัด แม้ว่ามันจะมาช้าเกินไป...


             “ตะ- แต่ก่อนตาย... เขา เขาบอกชื่อผมว่า เขาเป็นทนายความที่กำลังจะมาที่นี่... ทนายของทับสนธยา ที่ชื่อว่าภูไท...


             ภูไท ทินบดี!!”


            เปรี้ยง!!
         *****************************
รอลุ้นอีกครั้งครับ ว่าจะลงสำเร็จไหมหนอ?

จากคุณ : สามปอยหลวง
เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 55 19:09:29




[ต้องการแตกประเด็นจากกระทู้เดิมคลิกที่นี่] [กติกามารยาท] [Help & FAQ] 
ความคิดเห็น :
  PANTIP Toys
จัดรูปแบบ :
ไฟล์ประกอบ :
  Help
ชื่อ :
 

ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com