ความคิดเห็นที่ 1   10 สมองของเรามีสีเทา เคยอ่าน Atlas Anatomy ทั้งหลายมั๊ยครับ? มันเป็นหนังสือที่หลากสีที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ชาติ ตั้งแต่แดง น้ำเงินและม่วงของเลือด น้ำเหลืองสีเหลืองอ๋อยจนทาฝาบ้านได้ และสมองที่สีออกเทาๆ หม่นๆ แถมด้วยสมองกำซาบหรือสมองดองที่ขวดโหล ซึ่งถ้าไม่มีสีขาวอมเหลืองซีดๆ ก็จะมีสีเทา แต่ความจริงแล้วสมองของคนปกติที่ยังทำงานอยู่ นอกจากสีเทาหม่นๆ นั่นแล้ว ยังมีสีตั้งแต่สีขาว ดำ และแดง เช่นเดียวกับหลายๆ ความเชื่อของสมองที่เราจะพูดถึงต่อไป ความเชื่อนี้ก็มีส่วนจริงอยู่มาก เพราะส่วนใหญ่ของสมองมีสีเทา บางครั้งเราเรียกสมองทั้งก้อนว่า gray matter เพราะมันปรากฏอยู่ทั่วบริเวณของสมองและไขสันหลัง ประกอบไปด้วยเซลล์หลายชนิด เช่น neuron ถึงอย่างนั้น สมองก็ยังมีส่วนที่เรียกว่า white matter ซึ่งตามชื่อ มันมีสีขาว และเป็นส่วนที่เชื่อมระหว่าง gray matter เอาล่ะ นอกจากเทาและขาวแล้ว เรายังมีสีดำที่เรียกกันว่า substantia nigra ซึ่งเป็นคำละติน แปลว่า (ลองเดาสิ) "สสารดำ" ดำเพราะอะไร? มันดำเพราะรงควัตถุชื่อ neuromelanin ซึ่งก็คือ melanin ในผมและในผิวเลเวลอัพเพราะมาอยู่ในระบบประสาทน่ะแหละ สุดท้าย เราก็มีสีแดง ซึ่งแน่นอน ก็เพราะเลือดจำนวนมากที่หล่อเลี้ยงสมองน่ะแหละ สมองตะกละมากนะ มันเป็นอวัยวะเล็กๆ ที่ต้องการออกซิเจนมากถึงหนึ่งส่วนห้าของที่เราสูดเข้าไปเลยล่ะ แล้วอะไรทำให้สมองดองมีสีเทาล่ะ? คำตอบคือสารที่ดองมันน่ะแหละ formaldehyde ที่ทำให้เราได้เห็นสมองดูทื่อๆ น่าเบื่อ แทนที่จะสดใสสวยงามเหมือนใน Atlas พวกนั้น จากสี เราจะไปที่เสียงกันต่อ ภาพสมองของเกาส์ นักคณิตศาสตร์เจ้าของกฎและทฤษฎีมากมาย อยู่ในขวดแก้ว มันมีสีอย่างนี้ตอนที่เขายังมีชีวิตด้วยหรือ จากคุณ : แมวโบราณ เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 23:02:49

ความคิดเห็นที่ 2   9 ฟังเพลงโมสาร์ททำให้คุณฉลาดขึ้น ไม่รู้ว่าสมัยพ่อแม่เราเปิดโมสาร์ทให้เราฟังด้วยรึเปล่า แต่ตอนนี้มันเป็นธุรกิจที่บูมมาก พ่อแม่มือใหม่หลายคู่เปิดโมสาร์ท (ใช่ครับ ที่เค้าว่าต้องปีนกระไดฟังนั่นแหละ) ให้ทารกที่เผลอๆ ยังเดินไม่ได้ด้วยซ้ำของเขาฟัง ด้วยหวังว่าจะช่วยให้ฉลาดขึ้น! มีแม้กระทั่งซีดีเพลงคลาสสิกที่ทำขึ้นเพื่อเปิดให้ตัวอ่อนนครรภ์ฟัง! (มีหูรึยังเนี่ย!) ถึงขั้นตั้งกันเป็นเรื่องเป็นราวว่า the Mozart effect แล้วมันเริ่มจากตรงไหนล่ะ ประมาณปี 195X หมอหู คอ จมูก นาม อัลเบิรต์ โทมาทิส เริ่มความเชื่อนี้ อ้างว่าเค้าใช้เพลงของศิลปินระดับโลกช่วยผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับการพูดและการได้ยิน 199X การศึกษาที่ the University of California at Irvine บอกว่านักศึกษา 36 คน (จากเท่าไหร่ไม่รู้) ทำคะแนนทดสอบ IQ ได้ดีขึ้น 8 แต้ม (เช่นเคย เต็มเท่าไหร่?) หลังจากฟังโมสาร์ท 10 นาที และนี่ คือจุดเริ่มต้นของ Mozart effect เล่นเอาธุรกิจพวกนี้มีขึ้นมา ทำกันเป็นล่ำเป็นสัน ป่าวประกาศว่าใครฟังเนี่ยฉลาดขึ้น! แต่ Dr. Frances Rauscher อาจารย์จาก University of California at Irvine ก็มาแย้งว่าเราไม่ได้บอกว่าฟังแล้วฉลาดขึ้น แค่ช่วยเพิ่มความสามารถในการรับฟังบางส่วนเท่านั้น ต่อจากนั้นก็ยังไม่มีการศึกษาไหนยืนยันความเชื่อนี้อีก Rauscher ถึงขั้นมาบอกว่า เอาเงินที่เสียไปกับซีดีพวกนี้มาจ้างครูมาสอนดนตรีลูกดีกว่า เพราะอย่างน้อยก็มีการศึกษายืนยันว่าการเรียนดนตรีช่วยเพิ่มสมาธิ ความมั่นใจในตนเอง และการทำงานเป็นทีม สรุป โมสาร์ทไม่ได้ทำร้ายคุณหรอกนะ ถ้ารสนิยมคุณเป็นอย่างนั้นหรือพอจะฟังได้ ก็ฟังไปเถอะ แต่ถ้าฟังแล้วต้องฝืนเหลือเกิน ไม่ต้องหรอก เพราะมันไม่ทำให้คุณฉลาดขึ้น! ภาพโมสาร์ท คีตกวีชื่อก้องโลก เพลงของเขาทำให้คุณฉลาดขึ้นรึเปล่า จากคุณ : แมวโบราณ เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 23:03:38

ความคิดเห็นที่ 3   8 ตีนกาขึ้นสมอง เมื่อได้ลองรู้สิ่งใหม่ "นังโง่! สมองแกมีรอยหยักบ้างไหมฮึ" ตรรกะง่ายๆ สมองหยักเยอะ = ฉลาด ความจริงแล้วสมองมนุษย์วิวัฒนาการให้มีรอยหยัก เกิดจากการพับทบเนื้อสมองเพื่อทำให้มันมีขนาดกะทัดรัดพอที่จะบรรจุลงกะโหลกของเราได้ มันช่วยเราให้ไม่กลายเป็น ET ไปซะก่อน! ถ้าเราปล่อยให้มันคลายรอยพับออก สมองอาจมีขนาดเท่าหมอนหนุน เราเรียกขดสมองที่ยื่นออกมาว่า gyri และร่องที่ลึกลงไปว่า sulci ทุกหยักและร่องในสมองถึงขั้นมีชื่อที่นักวิจัยสมองที่น่าสงสารต้องจำไปสอบ เราเริ่มจากสมองเล็กที่ราบเรียบตอนแรกของตัวอ่อน แล้วมันก็ขยายขนาดและ neuron ต่างย้ายที่อยู่ เกิดเป็น gyri และ sulci ขึ้น ภายในสัปดาห์ที่ 40 สมองของเราก็มีริ้วรอยแห่งวัยแบบที่เราเป็นอยู่ตอนนี้ เพียงแค่ขนาดเล็กกว่าหน่อย ดังนั้น การเรียนสิ่งใหม่ๆ ไม่ได้ทำให้สมองเราหยักมากขึ้น แม้มันจะทำให้สมองเราเปลี่ยน แต่ก็ไม่ใช่เพิ่มรอยหยัก เราเรียกปรากฎการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดว่า brain plasticity การศึกษาสมองหนูที่กำลังเรียนสิ่งใหม่ๆ (ที่แน่นอนว่าไม่ใช่แคลคูลัส) พบว่ามี synapse (รอยต่อระหว่างเซลล์สมอง) เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับเม็ดเลือดในสมองที่เพิ่มและใหญ่ขึ้น แต่ก็ยังไม่ชัวร์ในคนนะ เรายังไม่กล้าผ่าสมองคนที่กำลังเรียนแคลคูลัสมาดูหรอก ภาพขดหยักต่างๆ ในสมอง มันแสดงถึงความฉลาดรึเปล่า แก้ไขเมื่อ 01 พ.ย. 52 23:04:36 จากคุณ : แมวโบราณ เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 23:04:06

ความคิดเห็นที่ 4   7 โฆษณาแฝงในสื่อต่างๆ เคยดูโฆษณามาม่าตอนดูทีวีดึกๆ มั๊ย? คนจัดผังนี่อย่างเลวเลย ดูทีไรได้เดินเข้าครัวทุกที นั่นมันโฆษณาชัดแจ้ง เห็นจะๆ แล้วถ้าเป็นโฆษณาที่เราเห็น สมองประมวลผล แต่เราไม่รับรู้ภาพนั้นล่ะ? พูดง่ายๆ ถ้ามันเร็วเกินกว่าที่เราจะรับรู้ได้ว่า เฮ้ย! มันชวนไปกินมาม่า subliminal message เป็นข้อความแฝง เริ่มจากนาย James Vicary นักวิจัยทางการตลาดช่างคิด แทรกข้อความว่า HUNGRY? EAT POPCORN ลงในหนังโต้งๆ แต่มันปรากฎอยู่เพียง 1 ในสามพันวินาที สั้นจุ๊ด แต่ผลแสดงว่าน้ำอัดลมขายดีขึ้นร้อยละ 18 และปอปคอร์นก็เช่นกันที่ร้อยละ 57! เล่นเอานักการตลาดเลียนแบบหมดทั้งในทีวีและวิทยุ (จะใส่เข้าไปยังไง) แต่ขอบคุณสวรรค์ ที่มันถูกแบน และขอบคุณสวรรค์อีกรอบ Vicary แตหลอกับผลการศึกษาครั้งนั้น เช่นเเดียวกับอีกครั้งที่แทรกคำว่า CALL NOW ไปในสัญญาณทีวีของแคนาดา ดังนั้น ไม่ต้องพยายามเลิกสูบบุหรี่ด้วยเทปที่แฝงคำพวกนี้หรอก จิตใต้สำนึกของคุณฉลาดกว่านั้นเยอะ ภาพข้อความแฝงที่แสดงเพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น ถึงขั้นให้ผลทางการตลาดที่ดีเยี่ยมเลยจริงเหรอ จากคุณ : แมวโบราณ เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 23:05:10

ความคิดเห็นที่ 5   6 คนฉลาด เพราะสมองใหญ่ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ฉลาดที่สุดในโลก (ออกแนวยกหางตัวเอง) แต่ไม่ได้ยอมรับว่านั่นเป็นเพราะเรามีสมองใหญ่กว่าคนอื่นเขา เฉลี่ยแล้ว สมองคน เท่าๆ กับโลมาที่ว่ากันว่าฉลาดนัก หนักราว 1 จุดต๋อยๆ กิโลกรัม sperm whale ที่ไม่ได้ฉลาดนัก สมองหนักถึง 7.8 กิโลกรัม สุนัขบีเกิล หนักเพียงแค่ 72 กรัมเท่านั้น แต่แน่นอน ตัวใหญ่เท่าวาฬ จะให้สมองเล็กเท่ามดก็กระไรอยู่ เพราะโลมาปกติหนักเฉลี่ย 160 กิโลกรัม ในขณะที่ sperm whale หนักถึง 13 ตัน (คุณไม่อยากมวยปล้ำกับมันแน่ๆ) ในขณะที่บีเกิลตัวน้อย หนักเพียง 11.3 กิโลกรัมเท่านั้น ดังนั้น มันไม่ได้อยู่ที่สมองหนักเท่าไหร่ แต่อยู่ที่สมองหนักเป็นสัดส่วนเท่าไหร่กับคุณต่างหาก และเมื่อเราพูดถึงความฉลาด มันไม่ได้มีด้านเดียว คุณอาจคิดอะไรได้สารพัด แต่จมูกของคุณก็ยังแยกแยะกลิ่นสารเสพติดในกระเป๋าเดินทางไม่ออกใช่มั๊ยล่ะ ดังนั้นอีกจุดที่สำคัญคือ ส่วนต่างๆ ของสมองนั่นเอง สมองคนใหญ่กว่าสุนัข แต่นั่นทำให้เราฉลาดกว่ามันด้วยเหรอ จากคุณ : แมวโบราณ เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 23:05:37

ความคิดเห็นที่ 6   5 สมองของคุณยังทำงานอยู่ แม้ว่าคุณถูกตัดหัวแล้ว! ในห้วงหนึ่งของประวัติศาสตร์ กิโยติน เป็นเครื่องมือสังหารที่เป็นที่นิยม แม้ในปัจจุบัน บางรัฐชาติก็ยังใช้มันอยู่ มันนิยมเพราะมันสังหารได้อย่างรวดเร็ว และมีมนุษยธรรมเพียงพอที่เหยื่อจะไม่แม้แต่เจ็บ แต่มันเร็วขนาดไหน ขนาดที่สมองคุณยังไม่รู้ตัวเลยเหรอ ขนาดที่คุณยังมองเห็น เคลื่อนไหว กลอกตา หรืออะไรก็ตามราวๆ วินาทีหลังถูกแยกชิ้นส่วน ใช่หรือไม่ คอนเซปต์นี้เริ่มจากการปฏิวัติฝรั่งเศส วันที่ 17 กรกฎาคม 1793 สาวนาม Charlotte Corday ถูกประหารด้วยกิโยติน หลังจากคมมีดตัดเอาศีรษะเธอกระเด็นออก ผู้ช่วยประหารคนหนึ่งหยิบหัวเธอมา แล้วตบแก้ม (เพื่อ?) พยานโดยรอบยืนยันว่าดวงตาของเธอกลอกมามองเขาพร้อมกับสีหน้าไม่พอใจ (หลอนนะนั่น) หลังจากนั้น ผู้คนที่จะถูกประหารด้วยกิโยตินก็จะถูกขอให้กระพริบตา จนกว่าจะทำไม่ได้ (คิดได้นะ คำขอสุดท้าย) ซึ่งพยานต่างยืนยันว่าเหยื่อส่วนมากทำได้ราว 30 วินาที มันดูเรื่องราวที่น่าขนลุกที่อาจจะจบลงแค่นี้ แต่แพทย์สมัยใหม่เชื่อว่าปรากฎการณ์ดังกล่าวเกิดจากการ reflex ของกล้ามเนื้อ (คือกล้ามเนื้อกระตุกจากการสูญเสียเลือด หรือการควบคุม ทำให้ตากระพริบหรือกลอก) ไม่ใช่สติรู้ตัว (เมื่อถูกตัดออกจากร่างกาย ที่มีหัวใจอยู่ ก็ขาดเลือด เท่ากับขาดออกซิเจน Dr. Harold Hillman กล่าวว่าสติอาจจะดับวูบลงภายใน 2-3 วินาทีหลังจากการประหาร เพราะเลือดในสมองลดลงกะทันหัน นอกจากนี้ยังกล่าวด้วยว่ากิโยตินประหารโดยการตัดเอาส่วนที่เชื่อมระหว่างสมองและไขสันหลังพอดี ดังนั้นคำกล่าวที่ว่ามันไม่เจ็บคงไม่จริงนัก เผลอๆ อาจสร้างความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็ได้ นี่เป็นเหตุให้เครื่องมือประหารนี้ไม่ได้ใช้ในหลายๆ ประเทศในปัจจุบันนั่นเอง ภาพ Charlotte Corday กับกิโยตินของเธอ แก้ไข จากนักฟิสิกส์เป็นแพทย์ครับ อ่านผ่านๆ แปลผิด ขอโทษด้วยครับ ขอบคุณคุณ มิกิโอะ อิตโต้ ค่าหัว1ล้านเบรี ด้วยครับ (ชื่อยาวมาก) แก้ไขเมื่อ 04 พ.ย. 52 07:23:51 จากคุณ : แมวโบราณ เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 23:05:58

ความคิดเห็นที่ 7   4 ความเสียหายในสมองจะอยู่กับคุณชั่วนิรันดร์ สมองอยู่ในหัว หัวอยู่เหนือไหล่ ดังนั้นมันเป็นเรื่องง่ายที่จะทำร้ายสมองคุณ เช่นเดินชนเสารถไฟฟ้า ชนประตูกระจกใสกิ๊งหน้าสำนักงาน หรือล้มหัวกระแทกพื้น ลูกบอลจากเด็กนักเรียนอัดกระแทกหัว เหล่านี้ล้วนแล้วแต่สร้างรอยแผลให้สมอง รวมไปถึงการติดเชื้อในสมองด้วย รอยแผลในสมองพวกนี้เป็นอันตรายได้ตั้งแต่การมึนงงเล็กๆ น้อยๆ จนถึงกับอัมพาตเดินไม่ได้ แต่มันก็ไม่ได้อยู่ถาวรเสมอไปนะ การบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ที่เรียกว่า concussion เกิดจากการที่สมองเคลื่อนอย่างเร็วจนกระแทกกับด้านในของกะโหลก ก้อให้เกิดแผลเลือดออกหรือการฉีกขาดของสมอง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้สมองสามารถจัดการซ่อมแซมกลับมาดังเดิมได้ ดังนั้น ไม่บ่อยนักที่คนเดินชนกระจกจะถึงขั้นพิการตลอดชีวิต แต่ในทางตรงข้าม การบาดเจ็บที่รุนแรงอาจทำให้สมองเสียหายอย่างหนัก อาจเกิดลิ่มเลือดหรือความดันผิดปกติในสมองที่ต้องการการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน เกือบจะทุกคนที่ประสบกับเหตุการณ์ร้ายแรงกับสมองมีการบาดเจ็บที่รุนแรง ถาวร และแก้ไขไม่ได้ แล้วถ้ามันไม่ได้เบา แต่ก็ไม่หนักขนาดนั้นล่ะ ก็ต้องแยกคิดพิจารณา ถ้า neuron บาดเจ็บล่ะก็ เป็นไปไม่ได้ที่จะซ่อม แต่ถ้าเสียหายที่ synapse ก็เป็นไปได้ที่จะหายดี (เพราะ synapse สามารถเปลี่ยนแปลง แก้ไข และสร้างใหม่ได้ เวลาเรียนรู้) เมื่อการเชื่อมต่อเป็นผล สมองส่วนนั้นก็อาจกลับมาทำงานปกติได้ ทำให้ผู้ป่วยบางคนสามารถกลับมาพูดได้อีกครั้งหลังการบำบัด อย่างที่บอก เรารู้อะไรเกี่ยวกับสมองน้อยมาก ทุกวันนี้แพทย์อาจต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่าคนไข้ของเขากลับมาขยับตัวได้ พูดคุยได้เป็นปกติหลังการบำบัดที่สิ้นหวังนานนับปี นี่คือความมหัศจรรย์ของสมองคน! ภาพรอยเลือดในสมองอาจทำให้คุณตกใจกลัว แต่มันอยู่ถาวรตลอดไปรึเปล่า จากคุณ : แมวโบราณ เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 23:06:34

ความคิดเห็นที่ 8   3 ใช้ยาผิดพลาด สมองอาจเป็นรู ผลข้างเคียงจากการใช้ยายังเป็นถกเถียงกันมาก บางคนเชื่อว่ามีเพียงยาบางตัวที่รุนแรงเท่านั้นที่ส่งผลเสียกับสมอง ในขณะที่อีกพวกกลับเชื่อว่าไม่ว่ายาใดก็ตาม ทันทีที่คุณ take มันเข้าไป มันสร้างความเสียหายทันที มีรายงานว่ากัญชาสามารถก่อให้เกิดการสูญเสียความทรงจำเล็กๆ น้อยๆ ได้ บางรายงานถึงกับบอกว่ามันสามารถทำให้สมองบางส่วน "หด" ได้ บางคนถึงกับเชื่อว่ายาเหล่านี้อาจสร้าง "รู" ขึ้นมาในสมอง จริงๆ แล้ว สิ่งที่จะทำให้สมองคุณเป็นรูได้ ก็คือมีด หรืออะไรก็ตามที่เสือกเข้าไปในหัวคุณ ซึ่งคุณคงไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้นง่ายๆ แน่ แต่เหตุที่สมองได้รับผลจากยาบางตัว ทั้งชั่วคราวและถาวรก็เพราะมันส่งผลต่อ neurotransmitter ซึ่งเป็นสารเคมีที่ส่งต่อข้อมูลระหว่างสมอง ในบางกรณี การเปลี่ยนเปลงระดับของ neurotransmitter อย่างเฉียบพลันอาจก่อให้เกิดความเสียหายกับ neuron ซึ่งแก้ไขได้หรือไม่ ยังคงถกเถียงกันอยู่ ในทางตรงกันข้าม ยังมีอีกงานวิจัยหนึ่งในปีนี้แสดงว่ายาบางชนิดขยายขนาดของสมองให้ใหญ่ขึ้น อย่างถาวร และอ้างว่านี่เป็นเหตุที่ทำให้เกิดการติดยา สรุปง่ายๆ ไม่ว่ายาจะทำให้สมองใหญ่ขึ้นจนติดยาหรือไม่ มันไม่มีทางทำให้สมองคุณเป็นรูโบ๋ได้ ภาพยาเม็ด ecstacy ที่ภาพก็พอจะบอกได้ว่ายาทำอะไรได้ แต่มันสร้างรูในสมองจริงเหรอ จากคุณ : แมวโบราณ เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 23:09:05

ความคิดเห็นที่ 9   2 แอลกอฮอลล์สามารถทำให้เซลล์สมองตาย กินเหล้าแล้วเมา เมาแล้วเดินไม่ได้ พูดไม่รู้เรื่อง ตอบสนองช้า ปวดหัว มึน อาเจียน คลื่นไส้ อาการทั้งหมดควบคุมโดยสมอง ดังนั้นเหล้าทำให้สมองตาย จริงเหรอ? ไม่หรอก แม้จะเป็นนักดื่มตัวยง ก๊งกันเช้าเย็น เหล้าก็ไม่อาจทำให้เซลล์สมองตายได้ แต่มันสามารถทำร้ายปลายด้านหนึ่งของเซลล์สมอง เรียกว่า dendrite เป็นเหตุให้การสื่อข้อมูลระหว่างแต่ละเซลล์เป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น และความเสียหายนี้สามารถกลับเป็นปกติได้ ที่เราเรียกกันว่าสร่างเมานั่นเอง อย่างไรก็ตาม ผู้ดื่มมากๆ จนได้รับพิษแอลกอฮอลล์มากเกินไปอาจเกิดโรคชื่อยาวว่า Wernicke-Korsakoff syndrome ซึ่งทำให้ neuron บางส่วนเสียหาย ส่งผลให้ความจำมีปัญหา มึนงง ดวงตาขยับไม่ได้เป็นปกติ การทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อผิดพลาด และความจำเสื่อม ท้ายที่สุด อาจถึงขึ้นเสียชีวิตได้ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอลล์อย่างเดียวหรอก แต่เกิดจากการขาด thaimine หรือวิตามิน บี ชนิดหนึ่งร่วมด้วย ซึ่งคนติดเหล้าส่วนมากก็ไม่มีเงินพอจะซื้อข้าวกล้องกินหรอกนะ และแอลกอฮอลล์ยังยับยั้งการดูดซึม thaimine อีกด้วย ดังนั้น แอลกอฮอลล์อาจไม่ได้ฆ่าเซลล์สมองโดยตรงง แต่มันก็อันตรายอยู่ดีถ้าคุณดื่มมันเข้าไปมากพอ ภาพเดนไดรต์ของเซลล์สมอง คอยติดต่อกับเซลล์สมองอื่นๆ คุณคงไม่อยากทำร้ายมันแน่ๆ จากคุณ : แมวโบราณ เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 23:11:48

ความคิดเห็นที่ 10   1 คนเราใช้สมองแค่ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นแหละ สุดยอดความเชื่อแห่งปี เชื่อว่าทุกคนคงเคยได้ยินแล้วก็คิดว่า เสียดายจัง น่าจะใช้งานได้มากกว่านี้ เราจะได้ฉลาดขึ้นอีกเยอะ แล้วความเชื่อนี้เริ่มจากที่ไหนล่ะ หลายคนเชื่อว่าเป็นคำพูดของ William James นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ซึ่งเขาแค่พูดว่า "คนทั่วไปใช้สมองเพียงแค่ส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งเท่านั้น" อานุภาพของปากต่อปากยิ่งใหญ่เสมอ สุดท้ายจึงกลายเป็น "คนเราใช้สมองเพียงแค่ 10 เปอร์เซ็นต์" ประเด็นที่ควรจะคิดคือ ในเมื่อสมองขี้เกียจขนาดทำงานแค่หนึ่งในสิบ แล้วทำไมมันตะกละเอาพลังงานไปตั้งตั้งหนึ่งในห้าของที่ร่างกายรับ (วะ?) แล้วเราจะมีสมองใหญ่ๆ กว่า sperm whale หรือหมาบีเกิลทำไมถ้าเราไม่ได้ใช้มันเต็มที่ บางคนถึงขั้นเชื่อว่าคนที่ใช้อีก 90 เปอร์เซ็นต์ได้คือผู้มีพลังจิต! (โอ้ว! จอร์จ) เรื่องของเรื่องคือ สมองมีเซลล์ตั้งหลายเซลล์ทำงานอยู่ร่วมกัน ไปพร้อมๆ กัน นั่นทำให้เราอาจถึงพิการได้แม้จะบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยในสมอง จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะใช้สมองได้เล็กน้อยถึงเพียงนั้น การสแกนสมองยังแสดงให้เห็นว่าไม่มีส่วนใดของสมองที่ทำงานตลอดเวลาไม่ว่าเราจะทำอะไร สมองแยกออกเป็นส่วนๆ ทำหน้าที่ต่างๆ กัน เราพูด สมองส่วนหนึ่งก็เคลื่อนไหว เราเดินก็อีกส่วนหนึ่ง หลับฝันก็อีกส่วนหนึ่ง บางส่วนอาจทำหน้าที่หลายอย่าง แต่ไม่มีส่วนใดเลยที่ไม่ทำงานเลย ยกเว้นมีการบาดเจ็บเกิดขึ้นในสมอง ภาพสแกนสมอง ส่วนที่ทำงานจะเรืองแสงสีต่างๆ จากคุณ : แมวโบราณ เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 23:12:10

ความคิดเห็นที่ 11   สรุป สมองก็ยังคงเป็นสิ่งที่ลึกลับและน่าเหลือเชื่ออยู่เสมอ นักวิจัยทางสมองถึงกับบอกว่า "เรารู้เรื่องเกี่ยวกับฝุ่นผงในอวกาศมากสมองของเราเองเสียอีก" และการวิจัยทางด้านนี้ยังงคงรอการค้นพบอะไรหลายๆ อย่าง ที่อาจเปลี่ยนแปลงโลกได้ในอนาคต ที่มาข้อมูลและภาพ health.howstuffworks.com จากคุณ : แมวโบราณ เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 23:12:42

ความคิดเห็นที่ 12   ^_^ ... จากคุณ : i_teep เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 23:30:28

ความคิดเห็นที่ 13   ตอนเรียน Nuerology เป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุดสำหรับผมเลยละครับ ถึงมันจะยาก แต่ผมรู้สึกว่ามันสนุกนะ จากคุณ : บ้านพี่ขาดคนหุงข้าว เขียนเมื่อ : 1 พ.ย. 52 23:40:19

ความคิดเห็นที่ 14   เยี่ยมครับ จากคุณ : promlikit เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 00:00:04

ความคิดเห็นที่ 15   ได้เป็นกระทู้แนะนำแน่ๆเลยครับ ฟันธง จากคุณ : tikstt (tikstt) เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 00:25:52

ความคิดเห็นที่ 16   ลงชื่อใว้ก่อน พรุ่งนี้จะมาอ่าน จากคุณ : Reduce เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 00:28:21

ความคิดเห็นที่ 17   เป็นกระทู้ที่ดี บางอันผมเชื่อเหมือนกัน แต่ได้รู้ความจริงแล้ว ขอบคุณครับ คนเราใช้สมองแค่ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นแหละ ฟังเพลงโมสาร์ททำให้คุณฉลาดขึ้น subliminal message 3อันที่ผมเคยเชื่อ จากคุณ : Megrim เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 01:18:53

ความคิดเห็นที่ 18   อ่านแล้วเข้าใจสมองมากขึ้นเลยคะ ที่นี่จะไม่ทำอะไรที่ปวดสมองอีกแล้ว   ^_^ จากคุณ : p-annipe เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 03:11:26

ความคิดเห็นที่ 19   ชอบครับ สำนวนอ่านแล้วเพลินดี จากคุณ : PanJ เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 06:17:40

ความคิดเห็นที่ 20   นึกถึงหนังเรื่อง Hanibal เอาสมองของเหยื่อมากิน ให้เหยื่อดู จากคุณ : TrojanTHM เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 06:44:36

ความคิดเห็นที่ 21   ขอบคุณสำหรับบทความดีๆค่ะ..^^ จากคุณ : โอ้ละหนอ เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 08:05:33

ความคิดเห็นที่ 22   ดีจังครับ แต่กินเหล้านี่แล้วจำไรตอนตื่นไม่ค่อยได้    ไม่รู้เกิดจากอะไร จากคุณ : IRQ5 เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 08:16:53

ความคิดเห็นที่ 23   ^^ ลงชื่อๆ ชอบจังเลยกระทู้แบบนี้ จากคุณ : KinkyVans เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 08:56:10

ความคิดเห็นที่ 24   เ่อ่อ ชอบอันที่ 2 นะ ความรู้ใหม่ คนชอบพูดว่า กินเหล้าแล้วเซลล์สมองจะตาย ซึ่งการกินเหล้าไม่ได้ทำให้เซลล์สมองตายแต่อย่างใด ว่าแต่บทความนี้ 100% มั๊ยครับ เรื่องความน่าเชื่อถือ ? ถ้าเชื่อได้ ผมจะได้เก็บลงไปในรอยหยักสมองของผม อิอิ จากคุณ : โคอีสีอิฐ เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 09:25:30

ความคิดเห็นที่ 25   ขอบคุณค่ะ แปลได้อ่านง่าย และได้ประโยชน์จริงๆค่ะ จากคุณ : == พิ้งค์กี้ == เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 09:54:03

ความคิดเห็นที่ 26   โหวต+กิฟ เชื่อเรื่องรอยหยักมานานแสนนาน มันไม่จริงเหรอเนี่ย - -" จากคุณ : เลดี้ลิลิ เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 10:29:22

ความคิดเห็นที่ 27   subliminal message มันทำงานได้จริงนะ ถ้าศึกษาพวก nonverbal แล้วลองเล่นดู จะตกใจอย่างเหลือเชื่อ จากคุณ : ตาแป๊ะหวานเย็น เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 10:35:30

ความคิดเห็นที่ 28   เพราะมันไม่มีสมองดีๆ มาให้ศึกษาไง แล้วใครจะยอมให้ศึกษาล่ะ สมองตัวเองง่ะ !! จากคุณ : Culture เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 10:46:14

ความคิดเห็นที่ 29   subliminal message เหมือว่าMega Clever จะเคยเอามาเล่น (แทรกตัวอักษรจีนไปตัวหนึ่งในวิดีโอที่ให้ดู แล้วให้มาทำแบบทดสอบเลือกตัวอักษรจีน) ไม่อยากจะเชื่อ แต่ผมก็เป็นหนึ่งในคนที่โดนผลนี้ไปเหมือนกันนะ  - -" มันอาจจะได้ผลแบบไม่100%มั้ง - - จากคุณ : nothingman เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 11:10:52

ความคิดเห็นที่ 30   อันที่ 1 ผม"เชื่อ"อย่างนี้ครับ 10% ที่ว่า ผมเข้าใจว่าอย่างนี้ จะอธิบายโดยการเปรียบเทียบสมองเป็นโรงงานแห่งหนึ่งมีพนักงาน 100 คน 100คนต่างก็ทำงาน แต่ใช้แรงแค่ 10 % ของเท่าที่จะทำได้ ไม่ได้หมายความว่ามีพนักงาน 100 คน ทำงาน 10 คน *** เพิ่ม ปล. *** เดี๋ยวคุณคนรักแมวมากต้องเข้ามาชื่นชมชื่อเจ้าของกระทู้แหงๆ แก้ไขเมื่อ 02 พ.ย. 52 11:13:59 จากคุณ : Disorder เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 11:11:06

ความคิดเห็นที่ 31   ขอบคุณครับ ของผมก็เชื่อ คนเราใช้สมองแค่ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นแหละ ฟังเพลงโมสาร์ททำให้คุณฉลาดขึ้น subliminal message 3 เรื่องนี้เช่น เพราะบางเรื่อง ก็เพิ่งจะรู้วันนี้ ปล ตกลงเรื่อง subliminal message นี่ คือ ไม่มีผลการทดลองยืนยันว่าเป็นจริงๆใช่ไหมครับ แค่ข่าวลือใช่ไหมครับ อ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจ จากคุณ : +One Side Love+ เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 11:16:46

ความคิดเห็นที่ 32   เป็นศาสตร์ที่น่าค้นหา  และยากต่อการค้นหาจริงๆค่ะ จากคุณ : ฟุมิ เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 11:26:34

ความคิดเห็นที่ 33   อ่านเรื่องกิโยตินแล้วสยองง่ะ T-T จากคุณ : ผมยังเด็ก เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 11:35:55

ความคิดเห็นที่ 34   เยี่ยมมากครับ จากคุณ : YHoNG เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 11:38:49

ความคิดเห็นที่ 35   มาแจมกระทู้แนะนำวันลอยกระทง จากคุณ : stacynarak เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 12:52:39

ความคิดเห็นที่ 36   สมกับเป็นกระทู้แนะนำจริงๆ ขอบคุณที่นำมาเล่าสู่กันฟังครับ จากคุณ : Retrojazz60s เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 13:02:21

ความคิดเห็นที่ 37   เคยฟังเพลงโมสาท แล้วประสาทจะกิน ดีนะเนี่ย เิพิ่งรู้ ว่ามันไม่ได้ทำให้ฉลาดขึ้น จะได้เลิกฟังซะที เอิ๊กๆๆ จากคุณ : กิ๊บส์ เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 13:05:31

ความคิดเห็นที่ 38   #6 เขาพูดถึง Physician ซึ่งหมายถึงหมอ ไม่ใช่เหรอครับ ไหงกลายเป็นนักฟิสิกส์(Physicist) ไปได้ล่ะนั่น จากคุณ : มิกิโอะ อิตโต้ ค่าหัว1ล้านเบรี เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 14:16:22

ความคิดเห็นที่ 39   ดีจ้า.. -*- จากคุณ : ยาริสขาว 2833 เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 14:17:07

ความคิดเห็นที่ 40   อ่านเข้าใจง่ายดีครับ จากคุณ : nusadjung เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 15:23:55

ความคิดเห็นที่ 41   เพลงโมสาทผมก็สงสัยครับ เพราะว่าผมฟังแล้วรู้สึกว่าเครียด ตอนนี้เหมือนจะได้คำตอบแล้ว จากคุณ : น้องหนอนนุ่ม เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 15:57:08

ความคิดเห็นที่ 42   คห.2 คุณยายที่บ้านเปิดหมอลำให้หลานฟัง โอ้พอเข้าโรงเรียนหลานสอบได้ที่ 1 ด้วยแหละ โมสาร์ท รึ จะสู้หมอลำ จากคุณ : theao_1 เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 17:02:05

ความคิดเห็นที่ 43   ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ ^^ กะลังเพิ่งเริ่มเรียนนิวโรอยู่พอดีเชียว จะได้มีอะไรติดสมองไปเรียนเรื่องสทมองบ้าง 5555 จากคุณ : EternalOne เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 17:28:00

ความคิดเห็นที่ 44   ถูกตัดหัว สยองมาก จากคุณ : บราวนี่ชีสเค้กท็อปปิ้งวิคครีม เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 19:16:05

ความคิดเห็นที่ 45   น่าสนใจมากครับ จากคุณ : @power เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 19:16:37

ความคิดเห็นที่ 46   ขอบคุณมากค่ะ ^^ จากคุณ : mswis เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 20:03:54

ความคิดเห็นที่ 47   เยี่ยมครับ จากคุณ : mao_land เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 22:37:47

ความคิดเห็นที่ 48   ชอบอันดับ1จังเลยค่ะ สงสัยมานานแล้ว จากคุณ : Bluedonut เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 52 23:15:48

ความคิดเห็นที่ 49   ชอบค่ะ อ่านเพลิน ขอบคุณคุณ จขกท มากค่ะ จากคุณ : รองเท้ากับนาฬิกา เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 00:29:29

ความคิดเห็นที่ 50   นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้รึยังครับ   ว่าความรู้สึกนึกคิด หรือจิตใจ เกิดขึ้นจากสมอง เป็นไปได้ไหมครับ  ว่าเกิดมาจากส่วนอื่น   กระแสไฟฟ้าส่งไปประมวลผลที่สมองจริงหรอครับ   ผมแค่ไม่แน่ใจ  ว่าสมองควบคุมการทำงานของจิตใจ จากคุณ : SAINT_OF_FIRE เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 10:31:19

ความคิดเห็นที่ 51   ผมก็เชื่อว่าสมองใช้งานในโหมดปกติ ไม่น่าถึง10% ด้วยซ้ำ ไม่เชื่ออย่างน้อยก็ควรเทียบกับคอม กด Ctrl Alt Del ดู CPU usage ใน Perfomance จะมีใช้สมองเยอะๆ ก็ช่วงเปิดโปรแกรมหลักหนักๆ แรนเดอร์ภาพเยอะๆ กับเปิดเครื่องกับปิดเครื่อง ดังนั้นตอนคนจะตายสมองจะบูทการทำงานเต็มที่ เราห้ามมันทำงานไม่ได้ เหมือนกับการห้ามคนอกหักไม่ให้มีอาการอกหัก คนเฉียดตายน่าจะรู้ประสิทธิภาพสมองดีที่สุด ดังนั้นอย่าประมาทเรื่องกรรมทางใจ จากคุณ : หลับตา เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 12:09:07 A:58.64.64.75 X: TicketID:173601

ความคิดเห็นที่ 52   ว้าวๆ จากคุณ : ศกุนตลา เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 12:54:08

ความคิดเห็นที่ 53   subliminal message  นึกถึง Fight Club เชื่อหลายข้อเหมือนกันนะเนี่ย จากคุณ : รักสมองใสหัวใจหว้าเหว่ เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 16:57:05

ความคิดเห็นที่ 54   health.howstuffworks.com เว็บนี้มีผลการวิจัยมาหักล้างครบมั้ยครับ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแฮะ จากคุณ : La Divinite เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 17:36:34

ความคิดเห็นที่ 55   สำนวนฮามากๆ ส่วนตัว อยากลอง subliminal message เพราะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ ว่ามันจะให้ผมอยากซื้อของได้จริง ยิ่งเป็น text มันน่าจะจำเป็นต้องใช้สมองส่วนรับรู้ตีความ ถ้าไม่รู้ตัวก็ไม่น่าตีความได้ อีกอันที่ไม่เชื่อแต่ไม่อยากลองคือกิโยติน ผมว่าน่าจะมีสติไปอีกระยะนึงจนกว่าอ๊อกซิเจนจะหมด ไม่ใช่ตายทันที เว้นแต่ตายเพราะช๊อคจากความเจ็บ จากคุณ : Hoo เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 52 21:22:32

ความคิดเห็นที่ 56   กินเหล้าต่อ เอ้ก เอ้ก จากคุณ : preedaake เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 01:52:44

ความคิดเห็นที่ 57   ตอนนี้อ่านแค่ คห 0 และ คห 1 ....เอาไปเลย 3 กีบ ไม่หวงเลยสำหรับกระทู้ดีๆแบบนี้ เข้าใจง่าย เนื้อหาไม่หนักเกินไป เห็นภาพด้วยอะ กลับขึ้นไปอ่านต่อ 55555 จากคุณ : Choco-Mix เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 09:57:41

ความคิดเห็นที่ 58   มีเรื่องที่ต้องปรับความเข้าใจใหม่เยอะเหมือนกันแฮะ ขนาดอาจารย์ที่สอนบางคนยังเอาเรื่อง อันดับ 1 มาพูดเลย ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ เก็บข้อมูลไว้ เผื่อมีงานวิจัย หรือหลักฐานยืนยัน ยังไงก็ขอบคุณค่ะ แก้ไขเมื่อ 04 พ.ย. 52 10:32:20 จากคุณ : น้องเรย์น่า เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 10:31:58

ความคิดเห็นที่ 59   555 จากคุณ : -APEM เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 14:21:51

ความคิดเห็นที่ 60   เรื่อง กิโยติน ใน คห.6 ข้อมูลที่ผมเคยอ่านมา (ขออภัยที่หามาอ้างอิงไม่ได้ครับ) ผู้ช่วยเพชรฆาตตอนนั้น ตบ หน้า สาวที่ถูกประหารเพราะว่า สาวผู้นั้นไปลอบสังหาร นักการเมืองที่อยู่ในกลุ่มผู้ปฏิวัติฝรั่งเศส คนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนที่ประชาชนรักมากๆ แต่ประชาชน ที่ยืนดูการประหาร ก็ไม่ได้ยินดีในสิ่งที่ผู้ช่วยเพชรฆาตทำเท่าไหร่... จากคุณ : สุมาโจจี้ เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 14:52:34

ความคิดเห็นที่ 61   คุณยายดูจากรายการทีวี เค้าบอกว่าถ้าให้เด็กอ่อน ๆ ฟังเพลงโมสาร์ทจะได้ฉลาด แต่ยายไม่รู้จักหรอกโมส่ง โมสาร์ท รู้จักแต่หมอลำ เปิดให้หลานฟังทู๊กวัน แต่ก็ได้ผลแฮะ พอเข้า รร.อนุบาล ครูชมเปาะ ลูกเราฉลาดเหลือเกิน แก้ไขเมื่อ 04 พ.ย. 52 15:38:18 จากคุณ : theao_1 เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 15:36:59

ความคิดเห็นที่ 62   เดี๋ยวคงมีกระทู้ หมอลำปะทะโมสาร์ท แน่ๆเจ้า ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆค่ะ จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 17:16:34

ความคิดเห็นที่ 63   แรมมนุษย์ จากคุณ : moshita เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 17:19:52

ความคิดเห็นที่ 64   โหวตค่ะ จากคุณ : หัวใจถวายวัด เขียนเมื่อ : 4 พ.ย. 52 22:50:31

ความคิดเห็นที่ 65   จะว่าไป เราก็มีความเชื่อในเรื่องผิดๆ หลายเรื่องนะเนี่ย จากคุณ : samapapa เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 00:49:43

ความคิดเห็นที่ 66   ขอบคุณสำหรับความรู้ใหม่ๆ ค่ะ จากคุณ : ลำยองน้อย เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 10:54:48

ความคิดเห็นที่ 67   คห 8 หมายถึงยาเสพย์ติดหรือเปล่าคะ จากคุณ : proudtobethai เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 14:05:40

ความคิดเห็นที่ 68   ขอเวลาไปอ่านก่อนนะครับ เด๋วมาเมนต์ต่อ... ปล. ผมก็ชอบ neuro เหมือนกัน สนุกออก... (หลายคนบอกไม่ชอบ) จากคุณ : dip kid เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 14:27:11

ความคิดเห็นที่ 69   ขอบคุณสำหรับความรู้นะจ๊า   ^/\^ จากคุณ : LoOkPlA3*12 เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 19:17:36

ความคิดเห็นที่ 70   เป็ฯบทความที่ดีมากๆเลยคะ ขอบคุณนะค่ะ จากคุณ : jingle_n_ เขียนเมื่อ : 5 พ.ย. 52 22:38:32

ความคิดเห็นที่ 71   ขอบคุณค่ะ ^^ สงสัยเรื่อง subliminal message เหมือนกันค่ะ ตกลงแล้วผลการทดลองต่างๆมากมายที่เราเคยอ่านๆมากัน มันโกหกหมดเลยหรือคะ??? จากคุณ : ข้าวปั้นตัวอ้วนกลม เขียนเมื่อ : 6 พ.ย. 52 11:30:52

ความคิดเห็นที่ 72   ขอแย้งนิดหน่อยนะครับ ว่า subliminal message น่าจะได้ผลจริงๆนะครับ เท่าที่ผมอ่านมา อ่านได้จาก http://www.meetingsupport.org/node/874 นะครับ ในนี้เค้าพูดถึงเรื่องการสร้างผลการทดลองเท็จของ James Vicary เหมือนกัน สมองของเราฉลาดน่ะใช่ครับ แต่เท่าที่ผมเข้าใจคือจิตใต้สำนึกเราถูกควบคุมด้วยสมองส่วนสัตว์เลื้อยคลาน (Reptilian brain) นะครับ ซึ่งมันไม่ใช่สมองส่วนที่ฉลาดของเรา สรุป จากการทดลองใน link ที่ผมให้นะครับ subliminal message นั้นได้ผลครับ แต่จะได้ผลก็ต่อเมื่อข้อความใน subliminal message นั้นเกี่ยวเนื่องกับความต้องการของผู้รับข้อความ ในการทดลองเค้าจะทำให้อาสาสมัครหิวน้ำก่อน แล้วจึงให้อาสาสมัครรับข้อความ subliminal message ซึ่งโชว์ยี่ห้อของเครื่องดื่มยี่ห้อหนึ่ง จากนั้นก็ให้เลือกเครื่องดื่มสองยี่ห้อ ว่าจะดื่มอันไหน ซึ่งแน่นอนว่า กว่า 80% ของอาสาสมัครเลือกเครื่องดื่มยี่ห้อเดียวกับใน subliminal message จริงๆแล้ว เทคนิค subliminal message นั้นไม่ได้มีรูปแบบแค่การแทรกภาพเข้าไปในช่วงเวลาไม่กี่ มิลลิวินาทีของภาพเคลื่อนไหวเท่านั้น แต่ยังมีวิธีการอันแยบยลหลายวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในสมัยนี้ เช่น แทรกเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องทางเพศเ้ข้าไปในสื่อของเค้าเพื่อดึงดูดความสนใจ ซึ่งเรื่องทางเพศนี้เป็นหนึ่งในแรงกระตุ้นที่รุนแรงที่สุดของมนุษย์เรา ยกตัวอย่างเช่น พวกภาพยั่วยวนในหนังสือต่างๆ หรือฉากวาบหวิวในหนัง หรือกระทั่งการออกแบบสินค้าที่มีรูปร่างค่อนไปทางอวัยวะเพศ(ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าไม่สังเกตุดีๆจะดูไม่ออก และอาจจะมาจากจิตใต้สำนึกของคนออกแบบที่หมกมุ่นด้วยก็ได้) ล้วนทำมาเพื่อดึงดูดความสนใจเราทั้งสิ้น แม้ว่าบางอย่างอาจจะเรียกว่า subliminal message ไม่ได้ แต่ก็มีหลักการและเป้าหมายคล้ายๆกัน คือการแทรกสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เรากำลังสนใจอยู่เข้าไปเพื่อหวังผลบางอย่างซึ่งสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องนี้บางทีสติเรารับรู้ได้แต่ไม่ได้สนใจมากนักหรือไม่ทันคิด แต่จิตใต้สำนึกเรารับรู้ได้แน่ ถ้าอยากเห็นตัวอย่างชัดเจนขึ้นอีกก็ลองดู วิน มายาจิต ก็ได้ครับเพราะการแสดงของเค้าส่วนใหญ่จะใช้วิธีการเล่นกับจิตใต้สำนึกของอีกฝ่ายและชักนำให้ทำตามที่เค้ากำหนดไว้(ซึ่งผมคิดว่าเค้าไม่ได้เตี๊ยมกันมานะ) ก็ลองใช้วิจารณญานกันดูนะครับ ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยนะครับ แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 52 18:39:02 จากคุณ : QuickBG (QuickBG) เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 13:41:17

ความคิดเห็นที่ 73   ผมว่า ถ้าจะทดลอง subliminal message ควรจะเป็น ให้อาสาสมัครหิวน้ำ แล้วเข้าไปชมภาพยนตร์ ตอนออกมา วางน้ำเปล่า แต่แปะยี่ห้อต่างกัน ให้เลือก ถ้ามันได้ผลจริง คนจะดื่มน้ำเปล่าที่ปะยี่ห้อ subliminal message เพื่อตัดความเป็นไปได้ว่า ผู้ทดลอง ส่วนใหญ่ชอบกินยี่ห้อเป้าหมายอยู่แล้ว เลยเลือกดื่มเพราะชอบ ไม่ได้เกี่ยวกับ subliminal message จนทำให้การวิจัยผิดเพี้ยนไป ขั้นต่อไป อาจให้มีหลายยี่ห้อ ที่แค่โทนสี โลโก้ คล้ายยี่ห้อเป้าหมายแต่ไม่เหมือน เพื่อดูว่า สมองตีความ subliminal message ได้ละเอียดขนาดไหน ----- แต่ subliminal message แบบอื่น ไม่เคยสังเกตุเลยแฮะ เพราะผมจะจำนางแบบมากกว่ายี่ห้อสินค้า (ฮา) จากคุณ : Hoo เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 14:10:56

ความคิดเห็นที่ 74   นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างของ subliminal message ครับ เป็นโชว์ของ Derren Brown ที่ใช้การแสดงในรูปแบบ mind trick คือจะเล่นกับจิตใต้สำนึกคน คล้ายๆกับ วิน มายาจิต ครับ แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 52 22:41:44 แก้ไขเมื่อ 07 พ.ย. 52 22:40:53 จากคุณ : QuickBG เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 22:40:12

ความคิดเห็นที่ 75   จากด้านบนนะครับ จากคุณ : QuickBG เขียนเมื่อ : 7 พ.ย. 52 22:41:25

ความคิดเห็นที่ 76   สุดยอด จากคุณ : เอ็มเด็กปลอดสารพิษ เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 16:53:51

ความคิดเห็นที่ 77   คำว่าสมองทำงานแค่ 10% ไม่ได้หมายความว่า สมองทั้งก้อน ทำงานอยู่หย่อมเดียว แต่หมายถึง เวลาทำอะไรสักอย่าง สมองใช้เนื้อที่ในการทำงานนั้นประมาณ 10% น่ะครับ เช่น เวลาเรามองเห็น จะใช้สมองส่วนด้านหลังเท่านั้น เวลาขยับแขน ก็ใช้สมองส่วนตรงกลางๆเท่านั้น แต่ถ้าทำหลายๆอย่าง ก็จะทำพร้อมๆกัน แบ่งโซนกันทำ คล้ายๆกับโรงงานผลิตรถยนต์อ่ะแหล่ะ คนไขหมุดล้อ ก็ไขแต่หมุดล้อ คนประกอบประตู ก็ประกอบแต่ประตู แต่ทั้งโรงงานก็ออกมาเป็นรถได้ แต่บทความที่เอามาจากเวบที่อ้างอิงนั้น เชื่อถือ ได้แค่ไหนครับ บางอันอ่านแล้วเหมือนกับ ติ๊ต่างเอาเอง.. จากคุณ : Agent Molder เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 52 17:42:15