|
ภาพที่นำมาแสดง เป็นปริมาณการใช้ก๊าซแอลพีจีใน4กลุ่ม และปริมาณด้านการจัดหาจาก3แหล่งดังนี้
กลุ่มที่ใช้4กลุ่ม ได้แก่ 1)ครัวเรือนใช้ 2.6ล้านตัน 2) กลุ่มยานยนต์ใช้9แสนตัน3) กลุ่มอุตสาหรรรม ปิโตรเคมีใช้ 2.4ล้านตัน 4) กลุ่มอุตสาหกรรมทั่วไปใช้ 7แสนตัน
การจัดหามาจาก3แหล่ง ได้แก่ 1) โรงแยกก๊าซ จากก๊าซในประเทศ 3.5ล้านตัน 2) โรงกลั่นน้ำมัน 1.9ล้านตัน 3) นำเข้า 1.4ล้านตัน
ปริมาณที่ครัวเรือน และ ยานยนต์ ใช้รวมกัน 3.5ล้านตัน ที่เป็นปริมาณที่ผลิตได้จากโรงแยกก๊าซ 3.5ล้านตันพอดี
ถ้ารัฐจะกำหนดนโยบายให้ประชาชนในกลุ่มครัวเรือน และยานยนต์ได้ใช้ก๊าซที่ผลิตได้จากทรัพยากรในประเทศในราคาในประเทศ และให้อุตสาหกรรมทั้งอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมทั่งไป ใช้จากโรงกลั่น และถ้าไม่พอก็นำเข้าและรับราคาตลาดโลกไปเอง
ถ้ารัฐบาลกำหนดนโยบายเช่นนี้ จะไม่เดือดร้อนประชาชนในกลุ่มครัวเรือน และยานยนต์
ปิโตรเคมีใช้ก๊าซแอลพีจีในปี2554 จำนวน2.4ล้านตันในราคา16.20บาทต่อกิโลกรัม ส่วนอุตสาหกรรมทั่วไป ใช้เพียง 7แสนตัน แต่ต้องรับในราคา 24.86บาทต่อกิโลกรัม และในปี2555 ราคาขึ้นไปถึงกิโลกรัมละ 30บาท
การที่มีดินพอกหางหมูก็มาจากการเอาเงินจากกองทุนน้ำมันไปชดเชยให้ปิโตรเคมี และเป็นกลุ่มที่ไม่เคยมีการเอ่ยถึงว่ามีส่วนในการทำให้เกิดดินพอกหางหมูเลย
ปัจจุบันกองทุนน้ำมันมีหนี้อยู่15,000-16,000ล้านบาท ถ้าขายก๊าซแอลพีจีให้ปิโตรเคมีในราคาเดียวกับที่กลุ่มอุตสาหกรรมรับอยู่ ก็ต้องขึ้นมาอีกกิโลละ8.65บาท คูณกับ 2,400ล้านกิโลกรัม ก็จะได้เงินเพิ่มมา 20,760ล้านบาท หนี้กองทุนน้ำมันจะหมดไปทันที โดยไม่ต้องมาขึ้นราคากับกลุ่มครัวเรือนและยานยนต์เลย
จากความเห็น คุณรสนา โตสิตระกูล
จากคุณ |
:
Mighty Reds
|
เขียนเมื่อ |
:
20 ธ.ค. 55 12:25:44
|
|
|
|
|