ความคิดเห็นที่ 1 เวลาผ่านไปปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไขแต่อย่างใด ไม่มีแม้แต่การเริ่มต้นแก้ปัญหา พอถามว่าจะเริ่มเมื่อไหร่มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ทนาย A บอกว่าเนื่องจากเขาแค่ขู่ว่าจะปิด ยังไม่ได้ทำการปิดจริง ดังนั้นยังไม่มีเหตุให้ฟ้องร้อง เวลาผ่านไป 4 ปี ถึงปี 2552 ในที่ดินของผมมีโกดังเก็บวัสดุก่อสร้างเก่า ๆ อยู่ จึงทดสอบโดยการเรียกร้านรับซื้อของเก่าเข้าไปทำการเก็บของเก่าออกมาขาย เพื่อดูว่าจะมีปัญหาเรื่องการเข้าไปในที่ดินหรือไม่ ปรากฏว่ามีการปิดกั้นไม่ให้เข้าจริง ๆ ผมจึงไปแจ้งตำรวจ ตำรวจบอกว่าเนื่องจากที่ดินถนนหนทางยังเป็นของเขา เขาจึงมีสิทธิ์ที่จะไม่อนุญาตให้คุณเข้าไปได้ ผมจึงถามทนาย A ว่าตอนนี้มีเหตุให้ฟ้องแล้ว จะทำอย่างไรต่อไป ทนาย A มันบอกมันไม่ว่าง เดี๋ยวจะให้เพื่อนคือทนาย B มาทำคดีให้ และจะให้ทนาย B ติดต่อมาที่ผม จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 11:33:55

ความคิดเห็นที่ 2 (เรื่องนี้ยาว เดี๋ยวจะมาเขียนภาคต่อไปเรื่อย ๆ นะครับ) จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 11:34:28

ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อทนาย B มาคุยกับผม ได้เสนอราคาค่าใช้จ่ายในการเรียกร้องคือ ค่าทำคดี 80,000 บาท และถ้าชนะคดีผมต้องจ่ายอีก 80,000 บาท รวมเป็น  160,000 ไม่รวมค่าอากรศาล ค่าใช้จ่ายในการหาหลักฐาน ฯลฯ วันที่นำใบเสนอราคามาให้ผม ทนาย A และทนาย B มาด้วยกัน โดยในการเจรจามีรายละเอียดคร่าว ๆ คือ ผม : "ทำไมค่าใช้จ่ายแพง ผมซื้อที่ดินมาแค่ล้านนิด ๆ แต่ต้องจ่ายค่าฟ้องร้องตั้งแสนหก ประมาณ 15% ของราคาที่ดิน" ทนาย B : "ผมคิดว่าคุ้มที่คุณจะจ่าย เพราะถ้าฟ้องร้องเปิดทางได้สำเร็จ คุณจะได้ประโยชน์เท่าไหร่" ผม : "ราคานี้เป็นการแก้ปัญหาให้ที่ดินทั้งสองแปลงหรือไม่ เพราะทั้งสองคนก็เกิดปัญหาเหมือนกัน" ทนาย B : "ทนาย A บอกให้ผมแก้ปัญหาให้คุณ ส่วนกรณีของเพื่อนคุณเขาจะทำเอง" ผม : "ในเมื่อเป็นปัญหาเดียวกัน ทำไมไม่ทำพร้อมกันเลย เพราะหลักฐานต่าง ๆ ก็เหมือนกัน จะได้ไม่เสียเวลาด้วย ต้องให้อีกคนรอทำไม" ทนาย A : "เพื่อนคุณไม่รีบ ผมจะทำให้เขาเองถ้าผมว่าง" ผม : "ราคานี้รับประกันไหมว่าจะสำเร็จ" ทนาย B : "ยังไม่รับประกัน" ผม : "ผมขอคิดดูก่อน วันนี้คุยกันแค่นี้แล้วผมจะตอบคุณอีกที" ทนาย B เริ่มเกิดอาการผิดหวังที่ผมไม่รับราคาและไม่ต่อรองราคาด้วย : "คุณคิดดูนะ ถ้าเปิดทางได้สำเร็จคุณจะได้ประโยชน์เท่าไหร่" ผม : "ไม่เป็นไร ผมคิดดูอีกที" ทนาย B เมื่อกำลังจะกลับ : "คดีนี้ไม่ใช่ง่าย ๆ นะ เพราะต้องใช้เทคนิคทางกฏหมายขั้นสูงในการทำงาน" (ตอนที่มันพูดแบบนี้  ไอ้ทนาย A ก็อยู่ด้วย) ผม : "ไม่เป็นไร ผมคิดดูอีกที ถ้าตัดสินใจแล้วจะโทรไปบอก" จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 11:38:27

ความคิดเห็นที่ 4 มารอฟังอยู่ด้วยคน แต่ว่าทนายคุณนะ แสบ จากคุณ : Diesel Engine เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 11:43:30

ความคิดเห็นที่ 5 ผมเอาราคาไปให้ทนายคนอื่นดู เขาบอกราคานี้โอเวอร์ ซึ่งผมก็คิดว่าทนาย A คงจะได้รับส่วนแบ่งจากเงินนี้ด้วย สุดท้ายหลังจากพิจารณาแล้วผมจึงโทรหาทนาย A ผม : "ผมคงไม่จ้างเพื่อนคุณทำคดี" ทนาย A น้ำเสียงแปลกใจและผิดหวัง : "อ้าว ทำไมล่ะ" ผม : "เพราะค่าใช้จ่ายสูงเกินไป" ทนาย A : "ไม่สูงหรอก อย่างที่เขาบอก ถ้าเปิดทางได้คุณจะได้ประโยชน์ตั้งเท่าไหร่" ผม : "จ่ายเงินไปก็ไม่รู้ว่าจะทำ สำเร็จหรือเปล่า" ทนาย A : "สำเร็จแน่คดีง่าย ๆ ฟ้องยังไงก็ชนะแน่" คำพูดสุดท้ายที่ทนาย A พูดกับผมทำให้ผมเข้าใจในทันทีว่าไอ้ทนายทั้งสองคนนี้เชื่อใจไม่ได้ วันนั้นบอกคดียากทำให้ราคาแพง วันนี้มาบอกว่าคดีง่าย ๆ ฟ้องยังไงก็ชนะ สงสัยมันคงผิดหวังและตกใจเลยลืมไปว่าเคยพูดอะไรเอาไว้ จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 11:45:08

ความคิดเห็นที่ 6 ผมเอาปัญหาดังกล่าวแจ้งไปยังธนาคารที่ขายที่ดิน ซึ่งผมยังผ่อนชำระเงินกู้อยู่ด้วย จึงอยู่ในฐานะลูกค้าที่ยังมีหนี้ผ่อนชำระ แจ้งปัญหาไปให้ธนาคารทราบ ธนาคารบอกจะทำการตรวจสอบ แต่เวลาผ่านไป 2 สัปดาห์ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ สุดท้ายผมนำเรื่องนี้ร้องเรียนไปยัง ธปท. มีหน่วยงาน "ศูนย์ประสานงาน ฯ" ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น "ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน" เป็นหน่วยงานที่ดีมากและให้ความช่วยเหลืออย่างดี เจ้าหน้าที่ได้นำเรื่องร้องเรียนของผมส่งไปยังธนาคารเจ้าของเรื่องพร้อมสั่งให้ธนาคารชี้แจงมาที่ผมเป็นลายลักษณ์อักษร จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 11:46:38

ความคิดเห็นที่ 7 ระหว่างที่รอธนาคารตอบจดหมาย ผมได้ทำการค้นหาปัญหาเรื่องการซื้อขายที่ดินในเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้เจอกรณีคล้าย ๆ กับผม จึงได้โทรไปคุยกับผู้เขียนบทความ เขาได้แนะนำทนายคนหนึ่งซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องปัญหาที่ดินมาให้ ผมได้พบกับทนายคนนั้นให้ชื่อทนาย C ได้คุยกันสักพักหนึ่งมีรายละเอียดคร่าว ๆ ตามนี้ ทนาย C : "คุณต้องจ่ายผมก่อน 5,000" ผม : "ค่าอะไร" ทนาย C : "เหมือนเป็นการตรวจโรค คือตรวจดูปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับที่ดินของคุณ" ผม : "แล้วผมจะได้อะไร" ทนาย C : "ยังบอกไม่ได้ เพราะผมยังไม่รู้รายละเอียด" ผม : "ผมคิดดูก่อน" หลังจากนั้นทนาย C ก็พยายามโทรตามผม แต่ผมไม่รับสายเพราะไม่ต้องการถูกทนายหลอกอีกแล้ว ระหว่างนี้ได้คุยกับเพื่อนที่ซื้อที่ดินด้วยกัน ผมบอกเพื่อนว่าผมจะลุยแก้ปัญหาเองแล้ว เพื่อนผมติดปัญหาว่าทนาย A ซึ่งเป็นญาติกันไปขอผู้ใหญ่ว่าเขาต้องการทำคดีนี้เอง เพื่อนผมด้วยความสัมพันธ์ภายในครอบครัวจึงปฏิเสธลำบาก พร้อมกับบอกว่าถ้าผมแก้ปัญหาตัวเองได้ให้ลุยไปก่อนเลย เพราะทนาย A บอกว่าการแก้ปัญหาเองทำไม่ได้ง่าย ๆ  แต่ถ้าผมทำได้ก็จะทำตามแนวทางที่ผมทำเหมือนกัน (ดูไอ้ทนาย A มันพูด คิดเองไม่เป็น ให้คนอื่นทำก่อนเดี๋ยวทำตาม) เพื่อนคนนี้คบกันมานานแล้วตั้งแต่อยู่มัธยม เพื่อนเป็นคนดีครับ มีแต่ทนายที่เป็นญาติเพื่อนไม่ใช่คนดี เวลาผ่านไป 2 เดือน ธนาคารได้มีหนังสือตอบกลับมาถึงผมว่า "เนื่องจากโครงการดังกล่าวเป็นการจัดสรรที่ดินผิดกฏหมาย ผมสามารถใช้สิทธิ์ฟ้องร้องทางศาลเพื่อเปิดทางเข้าออก" นั่นคือสรุปว่าที่ดินมีปัญหาเรื่องทางเข้าออกจริง ให้ผมไปแก้ปัญหาเอง ผมได้โทรคุยกับธนาคาร มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฏหมายของที่ดูแลเรื่องนี้ตอบผมว่า "เนื่องจากเป็นการซื้อทรัพย์กรมบังคับคดี ผู้ซื้อมีหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพของสินทรัพย์ด้วยตัวเอง ธนาคารไม่มีส่วนร่วมรับผิดชอบในปัญหาใด ๆ ที่เกิดขึ้น" จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 11:47:55

ความคิดเห็นที่ 8 ผมได้นำเรื่องดังกล่าวไปปรึกษาเจ้าหน้าที่ของ ธปท. ที่ดูแลปัญหาของผม เจ้าหน้าที่บอกว่าได้วิเคราะห์ดูกรณีของผมแล้ว "สิ่งที่ทางธนาคารบอกมาว่าการซื้อขายผ่านกรมบังคับคดีผมต้องรับผิดชอบเองเรื่องนี้จริง แต่ปัญหาคือเมื่อผมกู้เงินธนาคารมาซื้อหลักทรัพย์ก็ต้องผ่านการประเมินหลักทรัพย์ เหตุใดการประเมินหลักทรัพย์จึงไม่เห็นปัญหาดังกล่าว กรณีนี้ไม่ควรปล่อยกู้ ความผิดพลาดของธนาคารคือเรื่องการประเมินหลักทรัพย์ผิดพลาด ไม่ใช่การขาย" ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ ธปท. คนนี้ที่ทำให้ผมตาสว่าง (จริง ๆ แล้วอยากเอ่ยนาม แต่ยังไม่ได้ขออนุญาตเลยละไว้ก่อน)  มองเห็นปัญหาความผิดพลาด ผมถูกธนาคารหลอกไม่ใช่เรื่องการขายที่ดินตาบอด แต่เมื่อผมกู้เงินก็ต้องประเมินหลักทรัพย์ ธนาคารขายเอง ประเมินเอง ยังไงก็ผ่าน จริง ๆ แล้วไม่ควรปล่อยกู้ เพราะถ้าไม่ปล่อยกู้ผมก็ไม่ซื้อก็จะไม่มีปัญหา ซึ่งก็รวมถึงปล่อยกู้ให้กับเจ้าของที่ดินคนเก่าว่าไม่ควรปล่อยกู้โดยรับที่ดินแปลงนี้เป็นหลักประกันตั้งแต่ต้น หรือหากจะยอมรับต้องมีการจดภาระจำยอมให้เรียบร้อยก่อน หากเป็นไปตามกระบวนการที่ถูกต้องแล้ว ปัญหาลักษณะนี้ต้องไม่เกิดขึ้น จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 11:53:31

ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อได้หลักฐานความผิดพลาดในการปฏิบัติงานของธนาคารแล้ว ผมก็อยากฟ้องร้องธนาคารจึงหาทนายคนใหม่ สมมติชื่อทนาย D ได้เจรจากันรายละเอียดคร่าว ๆ ตามนี้ ผม : "ตอนนี้ผมได้หลักฐานแล้วว่าธนาคารทำงานผิดพลาด ผมต้องการฟ้องร้องให้ธนาคารชดใช้ค่าเสียหาย" ทนาย D : "มูลค่าความเสียหายเท่าไหร่" ผม : "ประมาณ 2.2 ล้าน ราคานี้เปรียบเทียบกับราคาที่ดินแปลงข้างเคียงที่ธนาคารกำลังประกาศขายอยู่" ทนาย D : "คุณต้องจ่ายผม 10% ของมูลค่าความเสียหาย" ผม : "ค่าอะไร" ทนาย D : "เวลาเริ่มงานคุณก็ต้องจ่ายผม 10% คือสองแสนสอง ผมก็จะเริ่มดำเนินการให้" ผม : วางสายทันที ไม่คุยแล้ว จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 11:58:07

ความคิดเห็นที่ 10 สุดท้ายผมนำเอกสารที่ธนาคารตอบมาเผยแพร่ในเว็บพันธุ์ทิพย์นี้ เวลาผ่านไป 1 สัปดาห์ผู้บริหารระดับสูงของธนาคารได้ติดต่อมาพร้อมกับนัดผมเข้าไปคุยเพื่อหาทางแก้ปัญหา แต่ปัญหาคือเขาให้เข้าไปเจรจากับฝ่ายกฏหมาย โดยธนาคารเสนอจะทำการฟ้องร้องเปิดทางให้ โดยฝ่ายกฏหมายของธนาคารจะดำเนินการให้ ไปครั้งแรกผู้ใหญ่ฝ่ายกฏหมายไม่อยู่ ส่งลูกทีมมาคุยด้วย ผมเสนอว่ายินดีรับข้อเสนอเรื่องที่จะฟ้องเปิดทาง แต่ต้องระบุว่าจะทำเสร็จเมื่อไหร่ และถ้าไม่เสร็จภายในกำหนดจะรับผิดชอบอย่างไร ลูกทีมบอกว่าคงจะไม่ได้ แต่จะรายงานผู้ใหญ่และนัดคุยอีกครั้ง (ในระหว่างที่ผมนำเรื่องนี้มาโพสในเว็บพันธุ์ทิพย์นี้ ได้มีอยู่คนหนึ่งมาตอบปัญหา เดาว่าเป็นทนายได้ให้ความเห็นว่าอย่างรุนแรงว่าเคสนี้อย่างไรก็ต้องใช้ทนาย เหมือนโรคร้ายที่ต้องหาหมอให้เร็วที่สุด ไม่สบายยอมจ่ายค่าหมอ แต่มีคดีความทำไมไม่ยอมจ่ายค่าหมอความ ตอนนั้นผมก็ขี้เกียจเถียงนะครับ แต่วันนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าเพราะมีทนายเลยแก้ปัญหาไม่ได้ จะแก้ปัญหาต้องไม่มีทนาย) จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 12:00:16

ความคิดเห็นที่ 11 สุดท้ายผมได้คุยกับผู้ใหญ่ฝ่ายกฏหมายหลังจากการนัดพบอีกครั้ง รายละเอียดคร่าว ๆ ตามนี้ ธนาคาร : "คุณรู้ไหมว่าการซื้อทรัพย์กรมบังคับคดี คุณต้องตรวจสอบทรัพย์ให้ดี ธนาคารมีสิทธิ์ไม่รับผิดชอบ" ผม : "ทราบครับ" ธนาคาร : "ดังนั้นเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของธนาคาร" ผม : "ครับ แต่ที่ผมตำหนิไม่ใช่เรื่องการขายทรัพย์ไม่มีคุณภาพ แต่ปัญหาคือเรื่องการประเมินหลักทรัพย์ผิดพลาด พอมีปัญหาบอกให้ผมไปฟ้องศาลแก้ปัญหาเอาเอง ตามหนังสือฉบับนี้ที่ทาง ธปท. บอกให้ธนาคารชี้แจงรายละเอียดมาที่ผม" ธนาคาร : ผู้ใหญ่เกิดอาการงง เพราะยังไม่ได้เห็นจดหมายดังกล่าว (เพราะอยู่คนละฝ่าย ฝ่ายสินเชื่อเป็นคนออกจดหมายฉบับนี้) พอเห็นจดหมายที่ธนาคารส่งให้ผม เขาก็พูดไม่ออกเหมือนกัน ผม : "สิ่งที่ผมต้องการคือถ้าธนาคารจะฟ้องร้องเปิดทางขอให้ระบุด้วยว่าจะทำแล้วเสร็จเมื่อไหร่ และถ้าไม่เสร็จในระยะเวลาที่กำหนดจะรับผิดชอบอย่างไร ผมต้องการให้ธนาคารซื้อที่ดินคืน" ธนาคาร : "ธนาคารอยากจะรับผิดชอบในปัญหาดังกล่าว แต่เนื่องจากติดข้อกฏหมายว่าธนาคารไม่สามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้" ผม : "ผมเคยถาม ธปท. แล้ว เจ้าหน้าที่บอกว่าซื้อได้" ระหว่างการเจรจาได้โทรถามทาง ธปท. โดยคุยกับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบปัญหาของผม และเจ้าหน้าที่ได้ติดต่อไปที่ฝ่ายกฏหมายของ ธปท. โดยตรง สรุปว่าสถาบันการเงินไม่สามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้จริง ยกเว้นสองกรณีคือซื้อเพื่อเปิดสาขาและการโอนทรัพย์ชำระหนี้ ผม : "เมื่อธนาคารสามารถโอนทรัพย์ชำระหนี้ได้ ที่ดินแปลงนี้ยังติดจำนองอยู่ ผมขออนุญาตโอนทรัพย์ชำระหนี้ได้ไหม" ธนาคาร : "ได้" ผม : "และเมื่อโอนทรัพย์ชำระหนี้แล้วมีความเสียหายเกิดขึ้น ขอให้ธนาคารชดเชยค่าเสียหายดังกล่าวให้ผมได้หรือไม่" ธนาคาร : "ได้ แต่ฝ่ายกฏหมายไม่ใช่คนอนุมัติ คนอนุมัติคือฝ่ายสินเชื่อ ให้คุณทำหนังสือถึงฝ่ายสินเชื่อว่าต้องการอะไรบ้างแล้วผมจะให้ลูกน้องเอาหนังสือไปยื่นให้" สุดท้ายต่อมาได้คุยรายละเอียดกับผู้ใหญ่ฝ่ายสินเชื่อ สรุปว่าธนาคารจะโอนทรัพย์ชำระหนี้และชดเชยค่าเสียหายที่เกิดขึ้นให้ ซึ่งก็เหมือนกับการซื้อทรัพย์คืนนั่นเอง เพียงแต่กระบวนการดำเนินการผ่านขั้นตอนการโอนทรัพย์ชำระหนี้ และธนาคารเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการโอนทรัพย์คืนธนาคารทั้งหมด เดือน ก.ย. 2553 ผมได้ทำการโอนที่ดินคืนธนาคารและได้เงินคืนมาทั้งหมดพร้อมปิดหนี้ จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 12:09:29

ความคิดเห็นที่ 12 งานนี้ผมได้ประสบการณ์ว่าถ้าเกิดปัญหาขึ้นให้แก้ไขเองก่อน ถ้าไปหาทนายต้องรู้ทันทนาย คงปฏิเสธไม่ได้ว่าทนายส่วนใหญ่ (ไม่ได้หมายรวมถึงทุกคนนะครับ) จ้องคอยสูบเลือดจากผู้เดือดร้อนอย่างเรา อย่างกรณีนี้ทำเรื่องผ่านทนายปัญหาแก้ไม่ได้สักที พอเอาทนายออกแก้ปัญหาเองปรากฏว่าปัญหาทุกอย่างผ่านไปด้วยดี บางครั้งเพราะเราใช้ทนายทำให้เราหาทางออกไม่เจอเนื่องจากบางครั้งทนายคอยปิดบังไม่ให้เราเห็นทางออกของปัญหาเพื่อให้เขาได้ประโยชน์สูงสุด อย่างกรณีนี้เพราะรอทนายและหวังความช่วยเหลือจากทนายทำให้ปัญหาแก้ไม่ได้ ระหว่างที่ผมขอความช่วยเหลือจาก ธปท. คำถามหนึ่งที่ผมตอบไม่ได้คือ แล้วทำไมรอมาตั้ง 4 ปี จริง ๆ คือถูกทนายหลอกนั่นเอง อีกประสบการณ์หนึ่งที่ได้คือเวลาเจรจา วาทศิลป์ในการเจรจาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ผมต้องเข้าไปเจรจากับนักกฏหมายทั้ง ๆ ที่ตัวผมไม่รู้กฏหมาย แต่สามารถเถียงชนะฝ่ายกฏหมายของธนาคารได้ เพราะผมไม่พูดภาษากฏหมาย แต่พูดเรื่องอื่น อาศัยวาทศิลป์ในการเจรจาเท่านั้น อีกเรื่องหนึ่งในการเจรจากับฝ่ายกฎหมาย ผมทำงานด้าน IT จึงพกคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คติดตัว วันที่เจรจากับฝ่ายกฏหมายวันแรกผมเปิดเครื่องโน้ตบุ๊คของผมพร้อมกับบอกในที่ประชุมว่าขออนุญาตบันทึกเสียงการประชุม ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายกฏหมายของธนาคารที่เข้าประชุมมองหน้ากันและบอกว่าลำบากใจ ขอให้อย่าบันทึกเสียง ผมจึงตอบไปว่าผมไม่บันทึกเสียงก็ได้ แต่ผมก็เปิดเครื่องค้างไว้อย่างนั้น ทำให้ทนายไม่กล้าที่จะพูดอะไรมาก ตามลักษณะทั่วไปของผู้รู้กฎหมายที่มักจะทำอะไรแบบปกป้องตัวเองไว้ก่อน ทำให้ผมสามารถชนะในการเจรจาในครั้งนั้น สุดท้ายเรื่องนี้ต้องขอบคุณธนาคารแห่งประเทศไทย โดยเฉพาะหน่วยงาน "ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน" ถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากหน่วยงานดังกล่าวผมคงต้องงมหาทางออกของปัญหาอีกนาน ยังมีอีกเรื่องที่ยังคาใจผมอยู่ เวลาเจรจากับฝ่ายสินเชื่อผมขอดูรายงานการประเมินหลักทรัพย์ ว่าตอนนั้นมีการประเมินหลักทรัพย์ เหตุใดจึงไม่พบปัญหาดังกล่าว แต่ธนาคารปิดเรื่องก่อนทำให้ผมไม่เห็นรายงานดังกล่าว แต่ในขั้นตอนนี้ผมไม่ได้สานต่อเพราะถือว่าปัญหาจบแล้ว ไม่แน่ว่าในรายงานอาจพบปัญหาอยู่แล้วแต่ธนาคารปล่อยกู้เพราะธนาคารคือผู้ได้รับประโยชน์จากการขายนี้เองก็ได้ (เดี๋ยวมีภาค 2 ต่อครับ) จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 12:10:22

ความคิดเห็นที่ 13 รออ่านต่อ จากคุณ : คุณแม่หัวฟู (คุณแม่หัวฟู) เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 12:33:00

ความคิดเห็นที่ 14 (ต่อครับ) แต่ปัญหายังไม่จบบริบูรณ์ครับ ยังมีที่ดินของเพื่อนอีกแปลงที่ซื้อพร้อมกัน ก่อนหน้านี้ผมก็บอกเพื่อนแล้วว่าไอ้ทนาย A ไม่ใช่คนดี นอกจากนี้ยังไม่มีความสามารถพอที่จะแก้ปัญหาได้ แนะนำว่าถ้าจะใช้ทนายให้เปลี่ยนทนาย เพื่อนบอกว่าเป็นญาติกันถ้าเปลี่ยนทนายก็น่าเกลียด อีกอย่างก็เกรงใจผู้ใหญ่ที่ทนาย A ไปขอไว้ว่าจะทำคดีนี้เอง (ตอนนี้ทนาย B,C และ D ออกจากเรื่องไปแล้ว เหลือแต่ทนาย A ที่คอยสร้างความเดือดร้อนให้อยู่) ตอนนี้ปัญหาในที่ดินแปลงที่ 2 ของเพื่อนติดปัญหาใหญ่ ๆ ได้แก่ 1.) หนี้ปิดไปแล้ว ไม่สามารถทำการโอนทรัพย์ชำระหนี้แบบผมได้ แน่นอนว่าธนาคารจะอ้างว่าธนาคารไม่สามารถซื้อที่ดินได้ 2.) ปัญหาครอบครัว เพราะเพื่อนยังเกรงใจทนาย A และเกรงใจผู้ใหญ่ในครอบครัวที่ทนาย A ไปขอให้มาบอกเพื่อนว่าขอทำคดีนี้ เมื่อผมได้เงินคืนจากธนาคารก็โทรบอกเพื่อน เพื่อนไปบอกไอ้ทนาย A ไอ้ทนายมันรีบโทรหาผมถามว่าทำยังไงถึงขายคืนได้ ผมบอกว่าขายคืนตรง ๆ ไม่ได้ แต่ผมใช้วิธี "โอนทรัพย์ชำระหนี้" แต่ปัญหาคือเพื่อนผมได้ไปปิดหนี้เรียบร้อยแล้ว นั่นคือชำระหนี้หมดแล้วและไถ่โฉนดคืนออกมา ทำให้ที่ดินหลุดจากการจำนอง ไม่สามารถทำการโอนทรัพย์ชำระหนี้ได้แบบเดียวกับผม แถมทนายมันบอกว่าให้ผมช่วยทำเรื่องให้เพื่อนผมด้วย ผมไปเล่าให้เพื่อนฟังพร้อมกับถามว่า ตกลงใครเป็นทนายใครเป็นลูกความกันแน่  จริง ๆ แล้วผมก็ยอมทำเรื่องให้เพื่อนนะ แต่มีข้อแม้ว่าไอ้ทนาย A ต้องออกไปจากเรื่องนี้ ไม่อยากช่วยเพื่อนแต่ให้ไอ้ทนาย A ได้หน้า ส่วนเพื่อนผมก็เริ่มรู้แล้วว่าไอ้ทนาย A ไม่ได้เรื่อง แต่เพราะความเป็นญาติกันและทนาย A มันไปบอกผู้ใหญ่ในครอบครัวว่าขอให้มันทำคดีนี้ให้ เพื่อนจึงอยู่ในฐานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 12:47:13

หลังจากรอไอ้ทนาย A มานานก็ไม่มีความคืบหน้า มันไม่รู้จะเริ่มต้นการแก้ปัญหาอย่างไร สุดท้ายผมจึงแนะนำเพื่อนว่ากรณีของผมได้พิสูจน์แล้วว่าความผิดพลาดของธนาคารคือการประเมินหลักทรัพย์ผิดพลาด จึงให้เพื่อนลองทำเรื่องกู้ธนาคารโดยใช้ที่ดินแปลงนี้เป็นหลักประกัน โดยให้ครอบคลุมเงินที่จ่ายไปทั้งหมด ซึ่งคำตอบจากธนาคารก็จะมี 3 ทางได้แก่ 1.) ธนาคารยอมปล่อยกู้ ถ้าได้ก็ดีก็ทำเรื่องโอนทรัพย์ชำระหนี้แบบเดียวกับผมก็จบเรื่อง 2.) ธนาคารไม่ปล่อยกู้เพราะที่ดินมีปัญหาเรื่องทางเข้าออก ถ้าเป็นแบบนี้ก็ดี มีหลักฐานแล้วว่าการประเมินหลักทรัพย์ครั้งแรกผิดพลาดทำให้เราเสียหาย 3.) ธนาคารปล่อยกู้ 3 ล้านบาทแบบครั้งแรก ถ้าเรื่องออกมาเป็นแบบนี้ล่ะก็ ผมหาทางออกของปัญหาไม่เจอเหมือนกัน จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 12:47:51

ความคิดเห็นที่ 16 ดีใจด้วยครับ ที่ผ่านมาได้ เฮ๊อออ ..เหนื่อยแทนครับ จากคุณ : พี (peh_chai) เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 13:02:22

ความคิดเห็นที่ 17 สุดท้ายก็เข้าล็อค เพราะธนาคารไม่ปล่อยกู้เนื่องจากประเมินหลักทรัพย์ไม่ผ่านเพราะหลักทรัพย์เป็นที่ดินตาบอด จึงถามธนาคารไปว่าแล้วตอนแรกทำไมจึงปล่อยกู้ได้ เงียบไม่มีคำตอบ ตอนนี้เรามีหลักฐานแล้วว่าธนาคารทำงานผิดพลาดทำให้เราเสียหาย แต่จะดำเนินการต่อไปอย่างไร เพื่อนจึงไปปรึกษาไอ้ทนาย A (ยังไว้หน้ามันอยู่) ผ่านไปหลายเดือนทนายก็ยังไม่รู้จะทำยังไง ผมจึงแนะนำเพื่อนว่าให้ทำเรื่องถึง ธปท. ตอนแรกเพื่อนก็ยังเกรงใจทนายไม่กล้าทำอะไรเกินเลย แต่สุดท้ายทนรอไม่ไหวก็เลยทำเรื่องถึง ธปท. เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ธปท. ก็นำเรื่องนี้แจ้งไปที่ธนาคารให้ช่วยชี้แจงปัญหาดังกล่าวด้วย จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 13:03:27

ความคิดเห็นที่ 18 หลังจากนั้นธนาคารก็มีหนังสือชี้แจงมา โดยระบุว่าเนื่องจากโครงการดังกล่าวจัดสรรที่ดินผิดกฏหมาย โดยทางธนาคารยินดีเป็นธุระในการฟ้องร้องให้ (ซึ่งต่างจากของผมที่บอกให้ไปฟ้องเอง) ซึ่งในจดหมายก็หมายความว่าที่ดินมีปัญหาเรื่องทางเข้าออกจริง ๆ เพราะถ้าไม่มีทำไมต้องฟ้องเปิดทาง เพื่อนเอาจดหมายให้ทนาย A ดู ทนายก็ทำอะไรไม่ถูก ตอนแรกมันวางแผนว่ามันจะฟ้องเปิดทางให้ แต่เมื่อธนาคารเสนอตัวเองแบบนี้ ตัวมันยิ่งหมดประโยชน์ และเรื่องการฟ้องธนาคารให้ซื้อคืนยิ่งเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนไม่ได้เรื่องแบบไอ้ทนาย A ซึ่งตอนที่เป็นคดีของผมมันพาเพื่อนของมันคือทนาย B มาทำคดีให้ผม ผมคิดว่านอกจากมันจะได้ส่วนแบ่งจากทนาย B แล้ว ยังวางแผนจะลอกการบ้านทนาย B ด้วย คือให้ทนาย B ทำคดีให้ผม และดูว่าทนาย B ทำอะไรบ้าง หาหลักฐานอะไรมาบ้าง แล้วจะทำคดีให้เพื่อนผมตามหลักฐานที่ทนาย B หาไว้แล้ว พร้อมกับดำเนินการตามทนาย B ทุกอย่าง แต่เมื่อผมปฏิเสธไปทำให้ผิดแผน จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 13:05:07

ความคิดเห็นที่ 19 เพื่อนมาปรึกษาผม ผมจึงบอกว่าผมจะช่วยแต่มีเงื่อนไขว่าให้ทนาย A ออกไปจากเรื่องนี้ เพราะไม่อย่างนั้นไม่มีทางแก้ปัญหาได้ เรื่องนี้เป็นปัญหาภายในครอบครัวเพื่อนที่จะไม่ให้ทนาย A มาวุ่นวาย แต่สรุปว่าในที่สุดทนาย A ก็ถูกกันออกจากปัญหานี้เรียบร้อย ผมจึงแต่งจดหมายตอบธนาคารให้เพื่อน โดยบอกว่าเรายินดีรับข้อเสนอที่ว่าธนาคารจะฟ้องเปิดทางให้ แต่ภายใต้เงื่อนไขที่ต้องระบุว่าจะทำแล้วเสร็จเมื่อไหร่ และหากไม่สำเร็จภายในเวลาที่กำหนดจะรับผิดชอบอย่างไร อีกทั้งยังขออนุญาตทางธนาคารเผยแพร่กรณีศึกษาดังกล่าวเพื่อเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม แต่เมื่อดูชื่อคนที่ส่งหนังสือมาให้ก็รู้ว่าตำแหน่งไม่สูงมาก อาจไม่สนใจหากธนาคารจะเสียชื่อ ผมจึงเพิ่มรายชื่อว่าเอกสารนี้สำเนาถึง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคาร ไม่รู้ว่ากรรมการผู้จัดการใหญ่จะได้อ่านเอกสารนี้หรือไม่ แต่อย่างน้อยให้คนที่ส่งจดหมายได้รู้ว่าเอกสารนี้ได้สำเนาถึงผู้ใหญ่แล้ว จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 13:09:14

ความคิดเห็นที่ 20 ได้ผลครับ 1 สัปดาห์ผ่านไปผู้ใหญ่ฝ่ายกฏหมายของธนาคารได้ติดต่อมา (เจ้าหน้าที่ที่ตอบจดหมายได้หายออกไปจากเรื่องนี้แล้ว) ขอนัดพบเพื่อเจรจาหาทางออกของปัญหา เพื่อนผมจึงมาปรึกษาว่าจะทำอย่างไร ผมแนะนำว่าเขาเป็นผู้รู้กฏหมาย เราไม่รู้กฏหมาย วิธีเดียวที่จะชนะได้คือการใช้วาทศิลป์ในการเจรจาเท่านั้น อย่าไปคุยภาษากฏหมาย และก็ดีแล้วที่เราไม่รู้กฏหมายจะได้ฟังภาษากฏหมายไม่รู้เรื่อง และการเจรจาในครั้งนี้ยากกว่าการเจรจาครั้งก่อน เพราะครั้งก่อนที่ดินยังเป็นหลักประกันเงินกู้ สามารถทำการ "โอนทรัพย์ชำระหนี้" ได้ แต่ครั้งนี้ที่ดินหลุดจำนองแล้ว จะทำอย่างไร เพื่อนผมไปเล่าให้ทนาย A ฟังว่าทางธนาคารขอนัดคุยวันจันทร์ ทนาย A บอกว่าจะไปด้วย ผมบอกเพื่อนว่าเราไม่รู้กฏหมายก็ดีแล้วจะได้คุยภาษากฏหมายไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าทนาย A ไปด้วยเดี๋ยวจะเป็นการคุยภาษากฏหมายและแน่นอนทนาย A ไม่มีความรู้ความสามารถ เมื่อคุยภาษากฏหมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งกฏหมายสถาบันการเงินซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะทางแล้ว ทนาย A สู้ไม่ได้แน่ ๆ และจะกลายเป็นจุดอ่อนในการเจรจา เมื่อทนาย A แพ้จะหันมาบอกเราว่ายอมเขาเถอะ ดังนั้นอย่าให้ทนายไปด้วย เพื่อนผมขอให้ผมไปด้วย ผมบอกว่าไปก็ได้แต่มีข้อแม้ว่าทนาย A ต้องไม่ไป เพราะถ้าทนาย A ไปด้วยเจรจาไม่สำเร็จแน่นอน ตอนนี้เพื่อนเริ่มเชื่อผมแล้ว (จริง ๆ ก็เชื่อตั้งแต่ผมขายที่ดินคืนธนาคารได้แต่ยังเกรงใจทนาย ตอนนี้เริ่มหมดความอดทนแล้ว) เขาจึงโทรไปหาทนายหลอกมันว่าธนาคารเลื่อนการเจรจาจากวันจันทร์เป็นวันศุกร์ ทนายก็คงจะงง ๆ แต่ก็รับตามนั้น ผมกับเพื่อนจึงไปเจรจากับธนาคารเอง ในการเจรจาเน้นการใช้วาทศิลป์ในการเจรจาเท่านั้น ข้อกฏหมายต่าง ๆ ไม่พูดถึง และคงคุยไม่รู้เรื่องเพราะเราไม่รู้ภาษากฏหมาย สุดท้ายผู้ใหญ่ฝ่ายกฏหมายจึงเสนอทางออกว่าให้เราทำการกู้เงินจากธนาคาร โดยใช้ที่ดินดังกล่าวเป็นหลักประกัน และทำการโอนทรัพย์ชำระหนี้แบบที่ผมเคยทำ แน่นอนเรายอมรับเงื่อนไขดังกล่าว ขั้นตอนต่อมาต้องดูว่าธนาคารจะอนุมัติเงินกู้ให้เท่าไหร่ จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 13:10:34

ความคิดเห็นที่ 21 สุดท้ายผ่านไปประมาณ 3 เดือนหลังจากเจรจากันที่เดือน เม.ย. เดือน ก.ค. 2555 ธนาคารบอกว่าอนุมัติเงินกู้ให้ 4 ล้าน ซึ่งต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 4.4 ล้าน รวมค่าใช้จ่ายและดอกเบี้ยที่เสียไประหว่างผ่อนชำระเพื่อนบอกว่าถึงขาดทุน 4 แสนก็ดีกว่าไม่ได้อะไร ผมจึงเสนอเพื่อนให้ถามว่าแล้วค่าใช้จ่ายในการโอนทรัพย์คืนธนาคารใครออก ธนาคารบอกว่าธนาคารจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ ตรงนี้เข้าทางเรา เพราะกรณีของผมในครั้งแรกผมได้ศึกษาว่าค่าภาษีและค่าโอนสามารถเอาคืนได้อย่างไร ปรากฏว่าถ้ามีสัญญาปรับปรุงโครงสร้างนี้แล้วจะสามารถเอาเงินส่วนนี้คืนได้หมด แต่ของผมผ่านขั้นตอนนั้นไปแล้วจึงทำอะไรไม่ได้ แต่ครั้งนี้ผมจึงเสนอเพื่อนว่าให้เปลี่ยนเป็นธนาคารเพิ่มวงเงินให้โดยเพื่อนเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการโอนเองสุดท้ายธนาคารยอมเพิ่มวงเงิน โดยเปลี่ยนเงื่อนไขว่าปล่อยกู้ 4.6 ล้านบาท แต่เพื่อนผมเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดเอง ได้แก่ค่าจดจำนอง ค่าโอน และค่าภาษี และต่อมาก็มีประกาศจาก กทม. ว่าบ้านที่ประสบอุทกภัยจะสามารถลดค่าจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% และที่ดินแปลงนี้มีบ้านที่มีเลขที่อยู่ด้วย และประสบอุทกภัยในช่วงปี 2554 ฃ อย่างไรก็ดี แผนการดังกล่าวก็สะดุดลงเนื่องจากทางผู้บริหารของธนาคารอนุมัติเงินกู้ให้แค่ 4 ล้าน แต่ธนาคารจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการโอนเอง โดยอ้างว่ากรณีของผมทำอย่างไร ก็ต้องดำเนินการแบบเดียวกัน ซึ่งขั้นตอนแรกเรายอมรับเงื่อนไขก่อน เพราะไม่อยากกลับไปที่จุดเริ่มต้น เนื่องจากมีประสบการณ์กว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ใช้เวลาถึง 6 เดือน และหากไปเริ่มต้นใหม่ก็ไม่รู้จะเสียเวลาอีกเท่าไหร่และผลจะเป็นอย่างไร หลังจากได้รับเงิน 4 ล้านมาเรียบร้อยแล้ว ทางเราได้พยายามดำเนินการต่อในส่วนของเงิน 6 แสนบาทที่เหลือ แต่เจ้าหน้าที่ที่ติดต่อไม่อยากส่งปัญหาผ่านขึ้นไปข้างบนอีก ผมก็เข้าใจว่าเป็นธรรมดาของพนักงานธนาคารที่ไม่กล้าคุยกับผู้บริหาร แต่ก็น่าเสียดายที่ผู้บริหารที่ตัดสินใจอยู่ในห้องประชุม ไม่ยอมลงมารับรู้ปัญหา เพราะหากแค่ผู้บริหารยอมรับฟังปัญหาจากผู้เดือดร้อนสักนิด คิดว่าน่าจะมีทางออกที่ดีกว่านี้แน่ จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 13:15:09

ความคิดเห็นที่ 22 สุดท้ายนี้อยากแนะนำว่าหากเกิดปัญหาขึ้นลองปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่ไว้ใจได้ อย่าใช้ทนายสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะบางครั้งอาจเป็นการทำให้ปัญหายิ่งหนักขึ้น เพราะไม่เพียงแต่คุณจะต้องเผชิญกับปัญหาแล้ว ยังต้องเจอกับปัญหาจากทนายอีกด้วย หวังว่าเรื่องของผมน่าจะเป็นประโยชน์แก่บางคนที่กำลังประสบปัญหา และเป็นข้อเตือนใจในการเลือกใช้ทนาย ที่สำคัญคือเวลาใช้ทนายต้องรู้ทันทนาย อย่าให้ทนายมาหลอกเราได้เด็ดขาด (จบแล้วครับ) จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 13:16:02

ความคิดเห็นที่ 23 อ่านจบขอสรุปว่า เจ้า A มึนมาก เพื่อน จขกท. เกรงใจญาติก็มึนๆ ยังดีที่ จขกท.ฉลาด ยินดีด้วยนะครับ จากคุณ : แอ๊บแบ๊ว เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 13:37:06 A:125.25.73.246 X: TicketID:294750

ความคิดเห็นที่ 24 จขกท เก่งมากครับ จากคุณ : ปกอ่อน เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 14:31:29

ความคิดเห็นที่ 25 ผมไม่มีความรู้ด้านกฏหมายเลยขอบคุณที่เล่าประสบการณ์สำคัญๆให้ฟังครับ จากคุณ : Katana_Soul เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 14:40:43

ความคิดเห็นที่ 26 ดีใจด้วยนะคะ ที่ทุกอย่างผ่านมาได้  เราเองก็คิดอยู่ว่า ที่ดินของกรมบังคับคดี เหมือนมีอาถรรพ์  คุณเก่งมากๆเลยคะ ที่แก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง   จากคุณ : Diesel Engine เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 14:49:59

ความคิดเห็นที่ 27 สวดยวด จากคุณ : BOPI เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 15:06:11

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณค่ะ  ได้ประโยชน์มากค่ะ  เหตุการณ์นี้บ่งบอกได้ว่าคุณเป็นคนที่ใช้สติแก้ปัญหาอย่างแท้จริง จากคุณ : ตำข้าวโพดพริกเม็ดเดียว (wildstrawberry) เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 16:08:32

ความคิดเห็นที่ 29 ชื่นชมเจ้าของกระทู้ค่ะ  คุณเก่งไม่พอยังเปี่ยมไปด้วยน้ำใจต่อเพื่อน กระทู้นี้ ควรได้รับการโหวต  และกดเก็บเข้าคลังกระทู้มากค่ะ ขอบคุณที่นำเรื่องราวที่มีประโยชน์อย่างนี้มาแชร์กันค่ะ จากคุณ : ดอกหญ้าสีม่วง เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 16:15:53

ความคิดเห็นที่ 30 ดีใจด้วยที่สะสางปัญหาของตัวเองไปได้ด้วยดี.   และที่สำคัญด้วยตัวเองเสียด้วยซิ.  ตรงนี้แหละที่น่าจดจำไว้เป็นแนวทาง ติดตามการตอบกระทู้. จขกท. มาตลอด.   นึกว่าเป็นทนายเสียอีก.   ที่แท้เป็น ทะแนะ.   อิอิ ขอบคุณมากๆครับที่นำมาเปิดเผย.   เป็นเรื่องแรกที่ผมได้อ่านและรับทราบเกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้ . จากคุณ : samr เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 16:15:56

ความคิดเห็นที่ 31 TLL01 ^ ^ สุดยอดมากค่ะ....น่ารับถือจริงๆค่ะ อ่านแล้วได้ความรู้ไม่เบาเลยค่ะ....ต้องแบบนี้สิคะ เป็นกรณีศึกษาที่ดีมากๆ เลยค่ะ จากคุณ : nAHMLeMoN เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 16:20:41

ความคิดเห็นที่ 32 ขอบคุณมากๆ ค่ะ จากคุณ : Lovely Creature เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 16:21:03

ความคิดเห็นที่ 33 มิน่า  ทนายมันถึงมีเงิน ชนะยังได้เงิน ไม่ชนะก็ยังได้เงิน  ขูดเอาจากลูกความนี่เอง อยากมีเพื่อนแบบ จขกท ทันคนดีครับ จากคุณ : Megalo เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 16:32:10

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบคุณมากนะคะที่มาเล่าประสบการณ์ให้ฟัง มีประโยชน์มากค่ะ ถ้ามีโครงการจะซื้อที่ดิน หรือ บ้าน ที่ขายทอดตลาด ต้องตรวจสอบให้ดีๆ จะได้ไม่ต้องถูกหลอก เสียเวลานานแบบนี้ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ คุณเป็นคนถี่ถ้วน มีความเฉลียว ใช้สติในการพิจารณาแก้ปัญหาได้ดีจริงๆ จากคุณ : BuaKwan เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 16:34:02

ความคิดเห็นที่ 35 อ่านกระทู้นี้แล้วได้ความรู้เลยครับ ขอบคุณ จขกท. มากครับที่เล่าประสบการณ์ให้ฟัง แต่ที่ผมพอจะเห็นใจความสำคัญในเรื่องนี้นอกจากความสามารถของเราเองแล้ว การเข้าถึงหน่วยงานที่กำกับดูแลเรื่องนั้นได้โดยตรง สามารถช่วยเราได้เยอะทีเดียว จากคุณ : พลอยอนันท์ เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 18:10:17

ความคิดเห็นที่ 38 ชอบคนแบบ จขกท.มากเลย อิอิ ^_^ เราเรียนการเงินจบ เราว่าจะไปเรียนนิติต่ออีก 1 ใบ อยากทำงานว่าความควบคู่ไปด้วย (แต่ทำให้คนยากคนจนนะ คิดไม่แพง อิอิ ^^) สมัยก่อน บ้านเราเคยมีปัญหาเรื่องการเงินและที่ดินนี่แหละ พ่อกับแม่เราไม่รู้เรื่องกฎหมายเลย >< เราไปเปิดในเน็ต หาดูข้อกฎหมายเรื่องการกู้ยืมเงิน ใครจะต้องเป็นคนจ่าย ยอดหนี้จะตกถึงรุ่นลูกไหม ?? (มีคนมายืมโฉนดที่ดินของแม่เรา ไปกู้เงิน โดยทำสัญญากู้ยืมเงินกับแม่เราอีกทอดหนึ่ง) ตอนนั้น เราเข้าไปอ่านเรื่องการกู้ยืมเงิน และการใช้โฉนดที่ดินค้ำประกันเงินกู้ เสร็จแล้ว เราก็ตามอ่านพวก "ประสบการณ์ เรื่องเล่า ของคนที่เขาเคยมีเหตุการณ์คล้ายๆกับเรา" แล้วเราก็ไปบอกพ่อกับแม่ ถ้าเราไม่ไปกระตุ้น พ่อกับแม่ก็จะไม่ทำอะไรเลย พ่อกับแม่ชอบอ้างว่า ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้กฎหมาย เราไปกระตุ้นพ่อกับแม่ว่า.. โฉนดที่ดินของเรา ไปค้ำประกันเงินกู้ให้เขา แต่เขากับเรา มีสัญญากู้ยืมเงินกันอยู่ 1 ฉบับ และการกู้ยืมเงินนี้ หากผิดสัญญา หรือผู้กู้ตายไป หนี้จะตกไปที่รุ่นลูกจากลูกถ้าตายจะไปรุ่นหลาน (อันนี้เราจำไม่ค่อยได้นะ ตอนนั้นมันนานแล้ว ตอนั้นเพิ่งอยู่ ม.4 แต่ตอนนี้ อายุ 27 ปีแล้ว 55555+ ^0^) พอพ่อกับแม่เราฟังเราอธิบายแล้ว พ่อกับแม่เราก็เลย ดำเนินเรื่อง ไปฟ้องศาลเลย >< ขึ้นศาลเลย สุดท้ายเรื่องก็จบลงด้วยดี คือ ไอ่คนที่กู้เงินกับแม่เรา มันเลยเอาโฉนดที่ดินบ้านมันไปเข้าธนาคาร แล้วเอาเงินมาคืนแม่เรา แล้วแม่เราก็เอาเงินก้อนนี้ ไปให้เจ้าหนี้เพื่อเอาโฉนดที่ดินของบ้านเราคืนอีกทอดหนึ่ง จบไป 1 เรื่อง อีกหนึ่งเรื่อง คือเราทำกับ สคบ. เรื่องการซื้อ Computer แล้วไม่คุ้มค่าเงิน เราก็ทำเหมือนเดิม ศึกษากฎหมาย หาหลักฐาน และดูประสบการณ์ (เรารู้ จุดอ่อน ของพวกบริษัทดังๆ ก็คือ เขาจะกลัวเสียเชื่อเสียงมากกกกกกก!!!) ทีแรกเขาจะไม่รับผิดชอบ แต่ถ้าเรายืนยัน ว่า เราฟ้องคุณแน่ ได้ขึ้นศาลแน่ จะต้องเสียค่าทนายค่าศาลเท่าไหร่ เราก็ยอม เราฟ้องแน่!! เท่านั้นแหละ!! บริษัทนั้น รีบบบบ โทรมาหาเรา และรับผิดชอบทุกอย่าง!!! เราว่า ถ้าคิดจะสู้คดีกับใคร หรือคดีอะไร มี 2 อย่างที่ควรศึกษา นั่นก็คือ 1.ศึกษาข้อกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ และ 2.ศึกษาประสบการณ์คดีนั้นๆ เช่น การอ่านประสบการณ์ของคนที่เขาเคยโดนคดีแบบนี้มาก่อน เป็นต้น จากคุณ : Gretchen เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 21:34:46

ความคิดเห็นที่ 39 อยากบอกว่า ธปท เป็นที่พีงให้ประชาชนได้จริงๆๆ ตอนที่เรายื่นกู้บ้านแล้วโดนธนาคารบังคับทำประกันทั้งๆที่เราไม่อยากทำ และจริงๆๆเราได้ดอกเบี้ย softloan ซึ่งเป็นวงเงินที่ ธปท จัดสรรให้ ธนาคารไม่มีสิทธิบังคับเรา แต่ถ้าเราไม่เอาประกันเค้าจะไม่ปล่อยกู้ เราเลยยอมทำไปก่อน หลังจากนั้นเราก็ส่งเรื่องไป ธปท จริงๆๆ ตอนแรกเราไม่หวังอะไรมากนะ ไม่คิดว่าเค้าจะมาดูดำดูดีเรา แต่ที่ไหนได้ เค้าตามเรื่องให้ตลอด จน จนท สินเชื่อร้อนตัวเลยแหละ สุดท้ายจากท่ามาก ยกเลิกไม่ได้ บังคับอย่างโน้นอย่างนี้ จะหักเงินค่านั่นนี่อีก 20000 สุดท้ายคืนเรามาเต็มวงเงินเลย ทำให้เราปิดหนี้ส่วนประกันไปได้ ต้องของคุณ ธปท จริงๆๆ อยากประชาสัมพันธ์เลย ว่าถ้าทำอะไรแล้วโดนเอาเปรียบจากสถาบันทางการเงินให้ร้องเรียนไปที่นี่เลย ช่วยได้มากๆๆ ถึงมากที่สุด จากคุณ : I know who am i เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 22:09:43

ความคิดเห็นที่ 40 คุณ TLL01 เก่งจริง ๆ เลยค่ะ อ่านแล้วเหมือนกับกำลังอ่านตำราให้ความรู้อยู่เลย ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ จากคุณ : paripan เขียนเมื่อ : 19 พ.ย. 55 23:18:31

ความคิดเห็นที่ 41 ขออณุญาตกดเก็บเข้าคลังเผื่อวันข้างหน้าสมาชิกท่านอื่นได้ใช้เป็นฐานข้อมูลครับ  ^^ จากคุณ : Zenmaster_T เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 55 01:14:32

ความคิดเห็นที่ 42 ขอบคุณจริงๆค่ะ จากคุณ : Valily เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 55 05:33:39

ความคิดเห็นที่ 43 จขกท.เก่งมาก อ่านแล้วได้ประโยชน์จากกระทู้นี้มากเลย จากคุณ : kev12 เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 55 06:52:55

ความคิดเห็นที่ 44 กระทู้นี้เป็นอะไรที่ตั้งใจอ่านมาก จากคุณ : ดาวสีส้ม เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 55 08:24:17

ความคิดเห็นที่ 45 ขอบคุณ จขกท. จากใจจริงๆ ค่ะ  ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ จากคุณ : หว่าหวาจัง เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 55 09:16:04

ความคิดเห็นที่ 59 ชื่นชม เจ้าของกระทู้คะ นอกจากต้องแก้ปัญหาตัวเองแล้ว ยังมีน้ำใจกับเพื่อนด้วยคะ จากคุณ : กระจ่างเนตร เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 55 18:23:34

ความคิดเห็นที่ 60 "ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน" โปรดใช้บริการ. เมื่อมีปัญหากับธนาคาร บังคับทำบัตรเมื่อเปิดบัญชี บังคับทำประกันเมื่อขอกู้เงิน จากคุณ : Senee (senee) เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 55 19:12:02

ความคิดเห็นที่ 61 กดเก็บลงคลังกระทู้เลยด่วนๆค้่่า จากคุณ : DekArtKvc เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 55 20:25:42

ความคิดเห็นที่ 62 เป็นกระทู้แรกที่ผมอ่านทุกตัวอักษรชื่นชมจขกท.ที่กล้าหาญอย่างฉลาด ขอบคุณครับกับความรู้ จากคุณ : Wairoon เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 55 20:30:30

ความคิดเห็นที่ 63 vote ครับ ยอดเยี่ยมมาก ได้ความรู้เพิ่มด้วย ^^ จากคุณ : นายบังเอิญ (sarafluke) เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 55 20:53:48

ความคิดเห็นที่ 64 ขอชมว่าเจ้าของกระทู้เรียบเรียงเรื่องได้เข้าใจง่าย อ่านง่ายมากค่ะ จากคุณ : Cuddle เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 55 20:57:16

ความคิดเห็นที่ 65 จริงๆแล้วที่มธ.มีศูนย์นิติศาสตร์ที่ให้คำปรึกษาฟรีอยู่นะครับ และเรื่องที่ดินตาบอดเนี่ย มันมีข้อกฏหมายรองรับการฟ้องเปิดทางอยู่แล้วด้วย จากคุณ : tnhero เขียนเมื่อ : 20 พ.ย. 55 22:22:55

ความคิดเห็นที่ 66 เป็นประโยชน์จริงๆค่ะ อ่านแล้วเกลียดทนาย จากคุณ : pixp เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 55 10:45:35

ความคิดเห็นที่ 67 ไม่ใช่ จขกท คนเดียวหรอกครับ ที่ห้องชายคา ก็เคยมีปัญหาเรื่อง ที่ดินถูกบังคับคดี ขายทอดตลาดไปแล้ว แต่เค้าไม่ยอมออก สุดท้ายถูกบังคับออกก็พยายามมาก่อกวนตลอดเวลา แล้วก็มายืนยันว่า ธนาคารซื้อ ครอบครองที่ดินไม่ได้ เว้นแต่... มีกฎหมายบัญญัติไว้ครับ เหมือนว่าเค้าไม่ต้องการให้ธนาคาร กว้านซื้อที่ดิน หรือมีที่ดิยไว้เพื่อเก็งกำไรอะไรประมาณนี้มั้งครับ(เดาเอา) จากคุณ : darkness2 เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 55 17:56:02

ความคิดเห็นที่ 68 จขกท เจ๋งมากค่ะ ส่วนตัวก็มีความรู้สึกที่ไม่ดีกับทนาย ทนายในพันทิปเองก็เถอะ อย่าได้ไว้ใจ ทนายเจ้าเล่ห์ทั้งนั้น จะทำอะไรทีขอตังที จากคุณ : angelzpuu เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 55 19:11:30

ความคิดเห็นที่ 69 ขอบคุณมากครับ ที่มาแชร์   แต่ที่แย่จริงๆคือทนาย ซึ่งเคยเจอมาเหมือนกัน จากคุณ : อ่ำ (RKA_abrasive) เขียนเมื่อ : 21 พ.ย. 55 20:47:35

ความคิดเห็นที่ 70 จริงค่ะ จะใช้ทนายต้องใช้อย่างมีสติ และใช้เท่าที่จำเป็นก็พอ จากที่เคยทำงานที่กรมบังคับคดี อยากบอกกับคนที่เป็นลูกหนี้คดีล้มละลายหรือมีญาติที่ประสบปัญหาในคดีล้มละลายในขั้นตอนหลังถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วไม่ควรจ้างทนายให้ดำเนินการให้ ยกเว้นว่าจะตั้งใจล้มฯ เช่น ลูกหนี้บางคนจำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศ จ้างทนายมาดำเนินการให้ (เพื่อ? ถึงอย่างไรคุณก็ต้องมาด้วยตัวเองอยู่ดี) จริง ๆ แค่คุณเขียนคำร้อง(มีตัวอย่าง, ให้เจ้าหน้าที่บอกจดก็ได้) นั่งรอสัก ๑ ชัวโมงก็เสร็จ(จริง ๆ เขาบังคับว่า ๑๘ นาที แต่มักจะไม่เสร็จ) เคยลองถามคนที่เขาจ้างทนายมาช่วยดำเนินการให้ เฉลี่ยอยู่ที่ครั้งละ ๑,๐๐๐ บาท คำร้องต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องให้ทนายเขียนให้ เพราะส่วนใหญ่มักจะไม่ถูกต้อง ๙๙% ต้องทำใหม่ ตัวอย่างเช่นคำขอประนอมหนี้ แค่แผ่นเดียวเรียกกันเป็นหมื่น ๆ แถมใช้ไม่ได้อีก ถ้าคุณมาพบ จพท. ก็ไม่ต้องเสียเงิน เขาจะชี้แนะคุณเอง(ทำไม่ได้จริง ๆ จพท.จะบอกจด  แต่ขอร้องว่าอย่าพยายามขอให้ จพท. เขาเขียนให้) ปล. ๑. ถ้าโดนเจ้าหน้าที่เหวี่ยง ขอพบ ผอ. ๒. อย่าให้เงินเจ้าหน้าที่ เพราะส่วนใหญ่จะเคืองมาก จากคุณ : orapook เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 55 13:08:29

ความคิดเห็นที่ 71 ทนายเป็นแบบนี้ทุกคนหรือปล่าวหว่า....ชักสงสัย เจอมา 100 ทนาย ก็เป็นเหมือนกันหมด แถวบ้านเรียกว่า "เหลี่ยมจัด" จากคุณ : nAHMLeMoN เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 55 15:05:19

ความคิดเห็นที่ 72 ขอบคุณ คุณ จขกท ครับ เป็นข้อมูลที่ดีมาก ถ้าผมเจอเองกับตัวนี่ไปไม่เป็นแน่ๆ อ่ะ จากคุณ : Sith Lord Nindle เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 55 11:18:28

ความคิดเห็นที่ 73 สุดยอดมากครับ ขอ save เก็บเข้าคลังกระทู้ครับ จากคุณ : pj0001 เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 55 13:06:49

ความคิดเห็นที่ 74 อ่านกระทู้นี้แล้ว รู้ได้ถึง มิตรภาพของเพื่อน  กับ ทนายที่เป็นถึงญาติ   เขาถึงบอกไงว่า แม้แต่ญาติบางคนก็เชื่อไม่ได้่ ยิ่งเป็นทนายด้วยแล้ว  เหอ ๆ  เพื่อนดี ๆ  หวังดีมีอีกมาก ดีกว่าญาติเห็นแก่ิเงินเป็นไหน ๆ  ขอบคุณสำหรับน้ำใจที่นำมาให้เป็นความรู้ดี ๆ ค่ะ จากคุณ : Khun Fern เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 55 14:19:28

ความคิดเห็นที่ 75 ขอบคุณมากๆ ครับ ขอเก็บเข้าคอม ไว้ให้ลูกๆ หลานๆ รุ่นต่อๆ ไปเลยครับ จากคุณ : niky02 เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 55 14:42:46

ความคิดเห็นที่ 76 ไม่ได้อ่านจนจบครบทุกกระบวนความ เพราะตาลายอ่านไม่ไหว แต่ขอบอกว่า การซื้อที่ดินหากเป็นที่ดินที่ไม่ได้ติดถนนสาธารณะ ก็ต้องตรวจสอบกับกรมที่ดินก่อนโอน ว่ามีการจดภาระจำยอมหรือสิทธิ์ในการใช้เป็นทางเข้าออกตามกฏหมายหรือไม่ ไม่ใช่สักแต่ว่า อยากจะได้ของถูกอย่างเดียว บางที่เป็นที่ตสบอดยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ซื้อเสร็จต้องจ่ายค่าผ่านทางอีกเป็นเท่าตัวของราคา จากคุณ : คนที่ราบสูง เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 55 01:35:56 A:70.241.74.21 X: TicketID:255841

ความคิดเห็นที่ 77 ผมงงตรงที่ว่า คุณ เจ้าของกระทู้ ต้องการอะไร หลังจากซื้อที่ดินตาบอด 1 ใช้ประโยชน์ที่ดิน โดยหาทางออกที่ดินอย่างถาวร 2 ขายคืนธนาคาร 3 ฟ้องเรียกค่าเสียหายธนาคาร คุณเองก็ไม่ทราบความต้องการ ใครจะทำงานให้คุณได้ล่ะครับ แล้วมาบอกว่าไม่พอใจทนายบอกว่า แพง งง แต่ก็ยินดีด้วยที่คุณพอใจในสิ่งที่คุณดำเนินการเอง แต่จริงๆก่อนซื้อน่าจะไปหาทนายจัดการก่อนก็ได้นะครับ ไปดู พื้นที่ ตรวจสัญญา ค่าใช้จ่ายพันปลายๆถึงหมื่นครับ ป.ล. ค่าจ้างทนายที่เจ้าของกระทู้ว่ามาตามปัญหาของคุณ ถ้าคุณต้องการใช้ที่ดินนั้น ปกติค่าใช้จ่ายราวๆ แสนกว่าบาทนั่นแหละครับ จากคุณ : pull เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 55 10:33:14 A:125.26.60.254 X: TicketID:383238

ความคิดเห็นที่ 78 จขกท. เขามาเล่าประสบการณ์ว่ามีทางเลือก ไม่ต้องใช้ทนายดำเนินการก็ได้ไงครับคุณ pull สิ่งที่เขาต้องการก็คือไม้ต้องเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ไม่ว่าจะฟ้องเปิดทางหรือขายคืนก็ได้ทั้งนั้น  ผมคิดว่าไม่น่าเข้าใจยากอะไร และเขาก็เดินเรื่องจนสำเร็จตามจุดประสงค์โดยไม่ต้องเสียค่าดำเนินการตามจำนวนที่คุณ ปล. ไว้ด้านล่าง   ซึ่งก็น่าเห็นใจถ้าจะกระทบกระเทือนอาชีพของคุณ  แต่สำหรับคนทั่วไปนับว่ามีประโยชน์มากครับ ขอบคุณ จขกท. และชื่นชมอีกแรงครับ จากคุณ : Automate เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 55 12:56:10

ความคิดเห็นที่ 79 ^ไม่ล่ะมั้งครับ ถ้าต้องการเงินคืน ก็อย่าง ต้องการใช้ที่ดิน ก็อย่าง เรียกค่าเสียหายก็อย่าง ครับ... คือ คนอย่าง จขกท ไม่ต้องการเสียเงินกับค่าทนาย ก็จบครับ ติดต่องานคุยด้วยยากแล้วล่ะครับ แต่ไม่จ้างคือไม่จ้าง ไม่กระทบใดๆกับทนายหรอกครับ เจ้าของกระทู้หาทางออกให้ตัวเอง ทั้งที่ไม่รู้ว่าต้องการอะไร รู้แต่ทนายจะเอาแต่เงิน ก็จบครับอีกล่ะครับ เค้าเดินเรื่องเองพอใจในผลสิ่งที่ จขกท ได้รับก็ดีนี่ครับไม่แปลก เรื่องของเรื่องที่ผมจั่วไว้ก็คือ ถ้าไม่รู้ว่าต้องการอะไร มันก็คุยไม่รู้เรื่องอยู่ดี ยิ่งติทนายแพงก็จบครับ ถามว่าดีหรือไม่ ถ้า จขกท พอใจ ผมก็ว่าดีครับ ^_^ จากคุณ : pull เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 55 20:07:12 A:125.26.94.225 X: TicketID:383238

ความคิดเห็นที่ 80 ตอบคุณ pull คห.77 นะครับ ไม่ทราบว่าเป็นคนเดียวกับที่เคยคอมเม้นต์กระทู้ของผมเมื่อ 2 ปีก่อนหรือเปล่า เขียนไสตล์เดียวกันว่าต้องใช้ทนาย  แต่คราวที่แล้วเป็นล็อกอิน คราวนี้เป็นบัตรผ่าน - หลังจากที่รู้ปัญหา จุดประสงค์หลักก็คือต้องการคืนของคืนเงิน ซึ่งในช่วงแรกสามารถฟ้องเพิกถอนการขายได้ หรืออย่างน้อยก็สามารถเจรจากับกรมบังคับคดีให้เรียกธนาคารเข้ามาคุยเพื่อยกเลิการขายได้ แต่ทนาย A ไม่ได้แนะนำอะไรเลย เสนออย่างเดียวว่าฟ้องเปิดทาง แต่สุดท้ายแล้วตัวทนายเองก็ทำอะไรไม่เป็น แค่หลอกว่าตัวเองเก่งทำให้เราหลงเชื่อแค่นั้น จนเสียเวลามาหลายปี - ส่วนเรื่องจุดประสงค์จริง ๆ แล้ว ในฐานะคนที่ไม่มีความรู้อะไรในตอนนั้น เมื่อเชิญทนายเข้ามาสิ่งที่ต้องการคือเป็นที่ปรึกษาว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร แต่กลายเป็นว่าในฐานะคนที่ไม่รู้อะไร เชิญทนายเข้ามาเหมือนเชิญเสือหิวมากินเหยื่ออย่างเรา ดีกว่าสุดท้ายเราไม่หลงกล - เวลาทำนิติกรรมใด ๆ รวมทั้งการซื้อที่ดิน เรื่องพวกนี้ควรมีความรู้ แต่เมื่อไม่มีความรู้เราก็ต้องศึกษา อาจมีการลองผิดลองถูก ถึงจะเจอปัญหาแต่เราก็ได้ความรู้จากปัญหานั้น รวมทั้งการแก้ปัญหานั้น ๆ แต่ไม่ใช่ว่าจะทำอะไรก็เรียกทนายหมด จะไปธนาคารถอนเงินก็ต้องเรียกทนายเผื่อมีปัญหา ถ้าคุณคิดอย่างนี้ล่ะก็ ผิดครับ - เรื่องค่าทนายแสนกว่าบาทนั้น ผมไม่ติดใจว่าราคาเท่าไหร่ แต่ที่ทำให้รู้สึกไม่ดีกับทนายคือบอกว่าคดียากเลยแพง และไม่รับรองผล พอผมบอกว่าไม่รับราคา ทนายบอกว่าคดีง่าย ๆ ฟ้องยังไงก็ชนะแน่ จ้างเถอะ แบบนี้ไม่เรียกว่าทนายไว้ใจไม่ได้แล้วเรียกว่าอะไร - ที่คุณบอกว่าก่อนซื้อที่ดินควรจ้างทนาย จากประสบการณ์ครั้งนี้ผมคิดว่ากรณีนี้ทนายจะสร้างปัญหามากกว่า กลัวทนายจะบอกว่าซื้อได้ พอซื้อแล้วมีปัญหา เสนอตัวฟ้องเปิดทางให้อีกแสนกว่าบาท - คราวที่แล้วมีคนมาคอมเม้นต์ผมตอนที่ผมนำเรื่องมาเผยแพร่เมื่อ 2 ปีก่อน (ผมไม่แน่ใจว่าเป็นตัวคุณหรือเปล่า) เขียนว่าทนายเป็นวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมา ควรให้คุณค่ากับทนาย เหมือนเวลาป่วยไข้ก็ยอมจ่ายค่าหมอ แต่ทำไมมีปัญหาคดีความกลับไม่ยอมจ่ายค่าทนาย แต่ทนายที่มีความรู้มีพฤติกรรมอย่างนี้ เอาความเป็นทนาย (ไม่ใช่ความรู้นะครับ เพราะไม่มีความรู้อะไรเลย) มาใช้ในทางที่ผิดหลอกผู้เดือดร้อน ไม่สมควรได้รับการยกย่องครับ ไม่สบายไปหาหมอ หมอช่วยรักษาโรค แต่ทนายเข้ามายุ่งกับเรา พยายามไม่ให้เราเห็นทางออกของปัญหาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง คนแบบนี้สมควรโดนด่าหรือเปล่า - ที่ผมบอกไว้ว่าเวลาจะใช้ทนายต้องรู้ทันทนาย อย่าไว้ใจทนายจนหมด จริง ๆ แล้วในระหว่างนี้ผมก็เจอทนายดี ๆ นะครับ เพียงแต่ไม่ได้เล่าให้ฟังเท่านั้น แต่จะขอเล่าในจังหวะนี้ก็แล้วกัน - ทนายคนที่ 1 หลังจากผมเห็นค่าฟ้องร้องแสนหกจากไอ้ทนาย A และ B แล้ว ผมลองปรึกษาทนายคนนี้ ทนายคนนี้เป็นทนายอยู่ต่างจังหวัดเขาบอกไม่สะดวกที่จะรับคดีนี้ แต่เขาแนะนำผมว่ากรณีนี้ก่อนจ้างทนายทำไมไม่ปรึกษา สคบ. หรือ ธปท. หรือให้ธนาคารฟ้องให้ก็ได้ เพราะธนาคารต้องมีฝ่ายกฏหมายแน่นอน จริง ๆ แล้วต้องขอบคุณทนายคนนี้เหมือนกันที่แนะนำแนวทา - ทนายคนที่ 2 เป็นเพื่อนบ้านที่ผมเอาใบเสนอราคาของไอ้ทนาย B ไปให้เขาดู ที่เขาบอกว่าราคาแสนกว่าบาทนี่โอเว่อร์มาก - ทายคนที่ 3 หลังจากที่ได้หลักฐานการกระทำความผิดของธนาคารแล้ว ผมได้ติดต่อทายคนหนึ่ง เมื่อเขาได้ดูปัญหาและเปิดดูข้อกฏหมายแล้ว เขาบอกว่าไม่มีกฏหมายห้ามรับจำนองที่ดินตาบอด แต่เรื่องกฏหมายสถาบันการเงินเขาไม่มีความรู้ ดังนั้นเขาคงไม่รับทำคดีนี้ ซึ่งกรณีแบบนี้พูดกันตรง ๆ เลยว่าทำไม่ได้ก็โอเคครับ ไม่เหมือนไอ้ทนาย A ทำอะไรไม่เป็นแต่คอยกันท่า - จากที่เล่าให้ฟังว่าทนาย A เป็นญาติกับเพื่อน เสนอมาตัวแก้ปัญหา แต่จนแล้วจนรอดก็แก้ปัญหาไม่สำเร็จเสียที จนสุดท้ายต้องกันทนาย A ออกจากปัญหา แก้ปัญหาเองจึงจะลุล่วง แน่นอนว่าตอนนี้ภาพพจน์ของทนาย A ในสายตาครอบครัวเพื่อนผม คงไม่ดีแล้ว ซึ่งก็เป็นผลกรรมที่ตัวเองก่อไว้เอง จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 55 21:02:47

ความคิดเห็นที่ 81 ผมก็เคลียร์แล้วครับ คือ ผมแยกที่คุณ จขกท สรุปได้อยู่สี่ประการคือ 1.ทนายแพง 2.ทนายพึ่งให้คำแนะนำไม่ได้ 3.ทนายสร้างปัญหาเพิ่มได้อีก 4.ดำเนินการเองก็ได้ เท่าที่ดูตั้งแต่ต้น จวบจนคุณพิมพ์โต้ผมอีกครั้ง คุณเจ้าของกระทู้ก็ไม่ได้ระบุความต้องการนี่ครับ แล้วคุณก็ลุยทำเองผมเห็นแบบนี้จริงๆ (คุณไม่ผิดนะครับ สิทธิของคุณทำได้ 100%) ส่วนเรื่องตัวทนายคนที่ 123...ใครก็ตามแต่ และข้อ กม เกี่ยวข้องผมไม่ขอกล่าวถึงครับ เรื่องแบบนี้ฟังหูต้องไว้หูครับ ผมก็เห็นมุมผมเหมือนกัน และอีกครั้ง ถามผม ว่าที่คุณทำดีไม๊ ผมก็ไม่เห็นข้อเสียหายนี่ครับ คุณ จขกท พอใจ ผมก็ว่าดีทั้งนั้น ^_^ ปล ผมตอบคุณครั้งแรกครับ ไม่เคยตอบคุณมาก่อนครับ จากคุณ : pull เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 55 21:30:49 A:125.26.94.225 X: TicketID:383238

ความคิดเห็นที่ 82 หวังว่าคุณ pull คงไม่ใช่ทนาย A ปลอมตัวมาตอบคำถามนะครับ จากเรื่องนี้ผมนำมาแบ่งปันนี้ ต้องการบอกว่าทนายไว้ใจไม่ได้ จะใช้งานทนายให้ระวัง และเป็นตัวอย่างของทนายเลว ๆ คนหนึ่ง สำหรับกรณีทนาย A ยังมีอีกประเด็นที่คุณไม่ได้กล่าวถึง คือ "ทนายบางคนไม่มีความรู้ แต่แกล้งใช้ความเป็นทนายมาหลอกผู้ไม่รู้กฏหมายอย่างเราว่าตัวเองมีความรู้" จึงกลายเป็นที่มาของ 4 ประเด็นที่คุณบอกคือ 1.ทนายแพง : แพงแน่ ไม่มีความรู้คิดราคาแสนหก เงินแสนหกถ้าทำได้จริง ๆ ยอมจ่าย แต่ถ้าจ่ายไปโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นค่าอะไรแบบนี้ไม่ยอมจ่าย ยิ่งตอนหลังมารู้ว่าทนายไม่มีความรู้ยิ่งเสียความรู้สึก ถ้าวันนั้นจ่ายไปมีหวังจ่ายฟรีแน่ ๆ (จริง ๆ แล้วมีอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ได้เล่าให้ฟัง คือเพื่อนผมจ่ายเงินค่าทนายให้ไอ้ทนาย A ไปแล้ว ตัวเลขหลักหมื่น เพื่อให้เริ่มดำเนินคดี แต่ผ่านไป 2 ปีแล้ว แต่ไม่มีความคืบหน้า สุดท้ายไล่ทนาย A ออกไปดำเนินเรื่องเองได้หมด แบบนี้จะเรียกทนายแบบนี้ว่าอะไร และผมเชื่อว่ายังมีทนายอีกหลายคนเป็นแบบนี้) 2.ทนายพึ่งให้คำแนะนำไม่ได้ : พยายามแนะนำให้ใช้ทางออกที่ทนายได้ประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่ลูกความได้ประโยชน์สูงสุด 3.ทนายสร้างปัญหาเพิ่มได้อีก 4.ดำเนินการเองก็ได้ : ดำเนินการเองดีกว่าแน่นอน ดีกว่าเป็นเหยื่อของทนายเสือหิว จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 55 21:50:22

ความคิดเห็นที่ 83 อย่าไปใส่ใจนาย pull เลยค่ะ จขกท พวกทนายน่ารังเกียจ ่ จากคุณ : angelzpuu เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 55 21:54:52

ความคิดเห็นที่ 84 ตามนั้นครับ...ผมเข้าใจครับ ^_^ ...แต่ผมเข้าใจมุมของผมนะครับ โชคดีครับ จขกท จากคุณ : pull เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 55 21:58:51 A:125.26.94.225 X: TicketID:383238

ความคิดเห็นที่ 85 ขอบคุณ คุณ angelzpuu ผมลองเอา TicketID:383238 ไปเสิร์ชดูใน pantip แล้วปรากฏว่าไม่มีการตอบกระทู้ใด ๆ มาก่อน คิดว่าน่าจะเป็นคนเก่าในนี้ที่ปลอมตัวมา อาจจะเป็นคนที่เสียผลประโยชน์จากกระทู้ของผม หรือเป็นทนายที่หากินอยู่กับลูกความที่ไม่มีความรู้ก็ได้ ดูจากที่บอกว่า "ค่าทนายแสนกว่าบาท เป็นเรื่องปรกติ" นี่แหละครับ ตัวอย่างทนายที่สร้างความเสียหายให้กับลูกความ ใครเผลอไปใช้บริการมีหวังกลายเป็นเหยื่อทนายเสือหิวแน่นอน จากคุณ : TLL01 เขียนเมื่อ : 25 พ.ย. 55 22:01:13

ความคิดเห็นที่ 86 กลัีบมาอ่านอีกที เราชอบแนวการตอบเป็นข้อ ๆ อธิบายอย่างเข้าใจ ใจเย็น ละเอียดละออ มีสติในการคุยอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เรานับถือน้ำใจของคุณ จขกท. มาก ที่เอาเรื่องราวมาเล่าให้ฟังค่ะ อย่างที่อ่านข้างบน จขกท.ก็บอกอยู่ชัดเจนว่า ทนายทุกคนไม่ได้เหมือนกันซะทุกคน ที่อธิบายมาก็มีทั้งทนายสูบเงิน ทนายน้ำใจงาม มันเหมือนเป็นทุก ๆ สังคม ทุกอาชีพในโลก ที่มีทั้งดี และเลว จริงไหม   ขอให้คุณ จขกท. ประสบแต่ความโชคดีตลอดไป สิ่งที่ท่านได้แบ่งปัน เราจะนำไประแวดระวังในการเลือกใช้ทนาย ว่าสมควรใช้หรือไม่อย่างไร ขอบคุณมาก ๆ อีกครั้งค่ะ จากคุณ : Khun Fern เขียนเมื่อ : 26 พ.ย. 55 15:09:03

ความคิดเห็นที่ 87 ด่ากันไปด่ากันมาได้อะไรกันเนี่ย จ้างคนทำงานมันก็เงี้ยแหละครับ ถูกแพงก็แล้วแต่จะคิด ไม่พอใจก็ต้องทำเอง ก็ตามนั้นแหละ ... จากคุณ : pull เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 55 18:37:17 A:125.26.67.156 X: TicketID:383238

ความคิดเห็นที่ 88 คาดว่า คุณ Pull จะไม่ค่อยเข้าใจ หรือมี "อคิติ" การจ้างคนทำงาน "เฉพาะทาง" จะถูกจะแพง นี่เป็นเรื่องราคา แต่ที่เจ้าของกระทู้ สื่อคือเรื่อง "จริยธรรม" ไม่งั้น แพทย์ เภสัช วิศวกร จะต้องมีใบประกอบวิทยฐานะทำไม เพื่อที่จะได้แสดงให้เห็นว่า เค้ามีคุณสมบัติทั้งทางด้านความรู้และจริยธรรมเพียงพอ ถ้าขาดข้อใดข้อหนึ่ง ก็ต้องถูกยกเลิกใบประกอบฯ นั้นๆ ไม่ทราบว่า คุณ Pull ทำงานด้านไหน แต่การตอบของคุณ ช่างไม่รอบด้าน ไม่มีความคิด ถ้าเป็นทนายคงแย่ จากคุณ : สายฝนในสายหมอก เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 20:18:21

ความคิดเห็นที่ 89 แย่ไม่แย่ไม่รู้ แต่จ้างคนอื่นต้องจ่ายเงินครับ และ ค่าจ้างทนายรวมๆทุกที่ถือว่าแพงครับ เรื่องอื่นขอไม่อธิบายดีกว่าครับ ^_^ จากคุณ : pull เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 55 14:21:36 A:125.26.56.133 X: TicketID:383238

ความคิดเห็นที่ 90 ถ้าคุณ pull จะต้องการความเห็นไปในทางเดียวกัน ก็เชิญไปคุยกับพวกทนาย(แบบคุณ)ด้วยกันเถอะค่ะ รับรอง ว่าคงได้ยกยอกันจนคุณสบายใจแน่นอน จากคุณ : แม่หมูตัวเล็ก เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 55 13:08:59

ความคิดเห็นที่ 91 อุ๊วว เพิ่งเห็น คคห 90 ผมว่านะถ้าจะต้องการความเห็นไปในทางเดียวกัน ก็เชิญไปโพสที่อื่นอ่ะครับ ไม่ใช่พันทิพย์อ่ะครับ ^_^ ที่นี่บอร์ดสาธารณะ จากคุณ : pull เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 55 07:47:17 A:125.26.57.25 X: TicketID:383238