ความคิดเห็นที่ 1   ขอยกตัวอย่าง การแสดงความเห็นของท่านพุทธทาส  กรณีที่ท่านไม่เชื่อว่า เทวดา สวรรค์ ที่เป็นภพภูมิ ไม่มีจริง ด้วยอาศัยหลักการของท่านข้างต้น ท่านจึงได้กล่าวตู่พระพุทธองค์ ดังนี้ http://www.buddhadasa.com/index_subj.html เทวดามีจริงหรือ? ทั้งนี้ ก็เพราะว่า ในประเทศอินเดีย สมัยนั้น มีความเชื่อเรื่องเทวดา เรื่อง นรก เรื่องสวรรค์ นี้อยู่โดยสมบูรณ์แล้ว มีรายละเอียดชัดเจน เหมือนที่กล่าวนี้ ทุกอย่างมาแล้ว ตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น พอพระพุทธเจ้า มีขึ้นในโลก เรื่องเหล่านี้ มันมีอยู่แล้ว จะไปเสียเวลาหักล้าง ก็ไม่ไหว พิสูจน์ให้คนโง่ เห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ท่านจึงพลอยตรัส เอออวย ไปตามคำที่พูดๆ กันอยู่ แต่แล้ว ก็ทรงแสดง สิ่งที่ดีกว่า ให้เขาเลิกละ ความสนใจหรือ ติดแน่นในสิ่งนั้นเสีย ให้เลิกละ ความติดแน่น ในนรก ในสวรรค์ ในเทวโลก พรหมโลก เหล่านั้นเสีย โดยมาเอา สิ่งที่ดีกว่า คือ เรื่องโลกุตตระ หรือ นิพพาน; ทั้งๆ ที่ไม่ต้อง เสียเวลา พิสูจน์ เรื่องเทวดา เรื่องนรกสวรรค์ ชนิดนั้น ว่ามันมี ข้อเท็จจริง โดยแท้จริงอย่างไร. มีอยู่ในพระไตรปิฎก บางแห่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า เรื่องเทวดานี้ เขาพูดกันอย่าง เอิกเกริก ทั่วไปอยู่แล้ว เสียเวลา ที่จะไปฝืน ความรู้สึกของเขา; แล้วเราเอง ก็ต้องการ อีกอย่างหนึ่ง ต่างหาก สิ่งที่ต้องการ ไม่ได้เป็นอันเดียวกับ ที่ต้องการให้เขาหลงใหลในสวรรค์ ไม่จำเป็นที่จะต้อง อธิบายเรื่อง นรก สวรรค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่จะ พิสูจน์กัน เดี๋ยวนั้น ไม่ได้. ----------------------------------------------------------------------- ขนาดพระพุทธเจ้า ยังถูกวจารณ์เช่นนี้ (เอออวยกับศาสนาพราหมณ์)  จึงไม่แปลกที่ท่านพุทธทาส จะกล้าวิจารณ์ กล่าวตู่    พระไตรปิฏก  อรรถกถาจารย์  คัมภีร์ ของเถรวาท จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1 เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 52 06:05:03

ความคิดเห็นที่ 2   ไม่จบ ก็แปลว่า ไม่จบ ท่านผู้ถูกพาดพิง......... ก็ไม่มีโอกาส...... ที่จะมาให้ความกระจ่างได้ด้วยตัวเองแล้ว ก็ตัวใครตัวมัน ก็แล้วกันนะ...... ใครเชื่ออย่างไร......... ก็......... ตามนั้น ขอให้ทุก ๆ ท่านโชคดี และเจริญในธรรม จากคุณ : kongsilp2000 เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 52 08:16:54

ความคิดเห็นที่ 3   ขอให้ ท่านสมาชิกดูกระทู้ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8481423/Y8481423.html เนื่องกับ จากกระทู้ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8477252/Y8477252.html คุณเฉลิมศักดิ์ 1 เสนอใน คคห 6 ผม ยกข้อความ บางตอน ดังนี้ ท่านพุทธทาสเสนอไว้ ว่า ...."ถ้าไม่ถึงขนาดนั้นไปลูบคลำอภิธรรมเข้า จะพลัดตกไปสู่ธรรมดำโดยไม่รู้สึกตัวคือ มิจฉาทิฏฐิ คุณ เฉลิมศักดิ์ เสนอไว้ว่า ...."ท่านพุทธทาส (และ ผู้ที่เชื่อในทิฏฐิของท่าน เป็นต้น) ที่ถือว่า  พระอภิธรรมปิฏก อภิธัมมัตถสังคหะ เป็นธรรมดำ" ข้อความไหนครับ ตรงกับ คำว่า ท่านพุทธทาส "ถือว่า"..พระอภิธรรมปิฏก อภิธัมมัตถสังคหะ เป็นธรรมดำ" ผมตั้งกระทู้ให้ คุณเฉลิมศักดิ์ ชี้ จนบัดนี้ 9.30 / 30 ตุลาคม 2525 ยังเพิกเฉย แล้ว ยัง ตั้งกระทู้นี้ขึ้น ตกลง  คุณเฉลิมศักดิ์1 ไม่มีความสามารถ ที่จะ ชี้ ใช่ไหมครับ ตกลง  คุณเฉลิมศักดิ์1 ไม่มีความสามารถ ที่จะ ชี้ ใช่ไหมครับ ตกลง  คุณเฉลิมศักดิ์1 ไม่มีความสามารถ ที่จะ ชี้ ใช่ไหมครับ หมายเหตุ เมื่อ เช่นนี้ "ความน่าเชื่อถือของคุณเฉลิมศักดิ์1 "เป็นอย่างไร?" ท่านสมาชิก พิจารณาครับ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 52 09:22:36

ความคิดเห็นที่ 4   ประเด็น --ขอยกตัวอย่าง การแสดงความเห็นของท่านพุทธทาส  กรณีที่ท่านไม่เชื่อว่า เทวดา สวรรค์ ที่เป็นภพภูมิ ไม่มีจริง ด้วยอาศัยหลักการของท่านข้างต้น ท่านจึงได้กล่าวตู่พระพุทธองค์ ดังนี้ ข้อความข้างบน คุณ เฉลิมศักดิ์1 เสนอ พิสูจน์ กันนะครับ ท่านพุทธทาส ท่านเสนอดังนี้ = หลักฐาน นะครับ ดูจากภาพ ครับ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 52 09:36:50

ความคิดเห็นที่ 5   คุณเฉลิมศักดิ์1 สรุป ว่า----- > ขนาดพระพุทธเจ้า ยังถูกวจารณ์เช่นนี้ (เอออวยกับศาสนาพราหมณ์)  จึงไม่แปลกที่ท่านพุทธทาส จะกล้าวิจารณ์ กล่าวตู่    พระไตรปิฏก  อรรถกถาจารย์  คัมภีร์ ของเถรวาท โดย อ้าง "กรณีที่ท่านไม่เชื่อว่า เทวดา สวรรค์ ที่เป็นภพภูมิ ไม่มีจริง" ผม เสนอหลักฐานว่า "ท่าน ยอมรับ และเชื่อในนรก สวรรค์" ใช่ไหมครับ หมายเหตุ คุณเฉลิมศักดิ์ 1 ว่าไงครับ? เห็น การกระทำของตนเอง เนื่องกับ เจตนา คือ กรรม ไหมครับ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 52 09:40:55

ความคิดเห็นที่ 6   ขอออกความเห็นบ้าง     "ขนาดพระพุทธเจ้า ยังถูกวจารณ์เช่นนี้ (เอออวยกับศาสนาพราหมณ์)"  ผมเชื่อว่า พระพุทธเจ้า ตรัสเช่นนั้นไมได้  เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลายในโลกนี้   "จะต้องตรัสแต่คำจริงเสมอ"   หากตรัสไม่ได้เพราะขัดกับความรู้สึกคนในสมัยนั้น  พระพุทธเจ้าย่อมไม่ตรัส จากคุณ : คนวัด (Terawat) เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 52 10:29:09

ความคิดเห็นที่ 7   ท่านพุทธทาส กล่าวคำว่า .......ท่านจึงพลอยตรัส เอออวย ไปตามคำที่พูดๆ กันอยู่ แต่แล้ว ก็ทรงแสดง สิ่งที่ดีกว่า ให้เขาเลิกละ ความสนใจหรือ ติดแน่นในสิ่งนั้นเสีย ให้เลิกละ ความติดแน่น ในนรก ในสวรรค์ ในเทวโลก พรหมโลก เหล่านั้นเสีย โดยมาเอา สิ่งที่ดีกว่า คือ เรื่องโลกุตตระ หรือ นิพพาน; ทั้งๆ ที่ไม่ต้อง เสียเวลา พิสูจน์ เรื่องเทวดา เรื่องนรกสวรรค์ ชนิดนั้น ว่ามันมี ข้อเท็จจริง โดยแท้จริงอย่างไร. ทำไม  ใครบางคน จึง เสนอว่า = วิจารณ์ พระบรมศาสดา นายของท่านพุทธทาส ละ พิจารณาดีดี ครับ อย่าสับสน ฯลฯ *************************************************** วิจารณ์ แปลว่า อะไรครับ *************************************************** หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เสนอไว้ว่า (หน้า ๓๖ หลวงปู่ฝากไว้) คำพุทธพจน์ตอนหนึ่งที่พระบรมศาสดาตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดอันบัณฑิตทั้งหลายในโลก กล่าวว่ามีอยู่ (ด้วยอวิชชา ใช่ไหม) แม้เราตถาคต ก็กล่าวสิ่งนั้นว่ามีอยู่ ฯลฯ---- พระบรมศาสดาตรัสแบบนี้ แปลว่า อะไรครับ แปลว่า ----ท่านจึงพลอยตรัส เอออวย ไปตามคำที่พูดๆ กันอยู่ แต่แล้ว ก็ทรงแสดง สิ่งที่ดีกว่า ให้เขาเลิกละ ความสนใจหรือ ติดแน่นในสิ่งนั้นเสีย ------ได้ ----มั๊ยครับ ท่านสมาชิก พิจาณณาครับ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 52 10:36:50

ความคิดเห็นที่ 8   เอาอีกแล้ว  หมอนี่  อ่านหนังสือไม่แตกแล้วยกมาอ้างมั่วซั่วประจำ พระพุทธเจ้าไม่มีเอออวยกับใครหรอก  ท่านเปรียบพระองค์เองเหมือนดอกบัว เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ แต่ไม่เปื้อนน้ำ มีแต่ท่านจะครอบงำโลก  จะไปเอออวยกับโลกซี้ซั้วไม่มีหรอกครับ ที่ว่าท่านกล่าวตรงกับบัณฑิตก็เพราะบัณฑิตเห็นตรงตามจริง แต่ท่านไม่มีวันเห็นตรงหรือเอออวยกับคนพาลหรอก  อย่ามามั่ว เอ้า!  ศึกษาซะใหม่ให้ดีๆ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙ สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ๒. ปุปผสูตร ว่าด้วยพระพุทธองค์ไม่ขัดแย้งกับโลก             [๒๓๙] พระนครสาวัตถี ฯลฯ สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย มาแล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่ขัดแย้งกับโลก. แต่โลกย่อมขัดแย้งกับเรา. ผู้ กล่าวเป็นธรรมย่อมไม่ขัดแย้งกับใครๆ ในโลก สิ่งใดที่บัณฑิตในโลกสมมติว่า ไม่มี แม้เรา ก็กล่าวสิ่งนั้นว่า ไม่มี. สิ่งใดที่บัณฑิตในโลก สมมติว่า มี แม้เราก็กล่าวสิ่งนั้นว่า มี ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่บัณฑิตในโลกสมมติว่า ไม่มี ซึ่งเราก็กล่าวว่าไม่มีนั้น คืออะไร? คือ รูปที่ เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง มีความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา บัณฑิตในโลกสมมติว่า ไม่มี แม้เรา ก็กล่าวรูปนั้นว่า ไม่มี. เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง มีความไม่ แปรปรวนเป็นธรรมดา โลกสมมติว่า ไม่มี แม้เราก็กล่าววิญญาณนั้นว่า ไม่มี. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แหละที่เป็นบัณฑิตในโลกสมมติว่า ไม่มี ซึ่งเราก็กล่าวว่า ไม่มี. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่ บัณฑิตในโลกสมมติว่า  มี ซึ่งเราก็กล่าวว่ามีนั้น คืออะไร. ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ที่บัณฑิตในโลกสมมติว่า มี แม้เราก็กล่าวรูปนั้นว่า มี. เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ที่บัณฑิต ในโลกสมมุติว่า มี แม้เราก็กล่าววิญญาณนั้นว่า มี. ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แหละที่บัณฑิตใน โลกสมมุติว่า มี ซึ่งเราก็กล่าวว่า มี.             [๒๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย โลกธรรมมีอยู่ในโลก พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ทราบชัด โลกธรรมนั้น ครั้นแล้วย่อมบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น. ก็โลกธรรมในโลก พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ทราบชัดโลกธรรม ครั้นแล้ว ย่อมบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก  กระทำให้ตื้นนั้น คืออะไร? ดูกรภิกษุทั้งหลาย คือ รูป เป็นโลกธรรมในโลก พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ทราบชัดโลกธรรมนั้น ฯลฯ กระทำให้ตื้น. ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บุคคลใด เมื่อพระตถาคตบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้นอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่รู้ ไม่เห็น เราจะกระทำอะไรได้กะบุคคลนั้น ผู้เป็นปุถุชนคนพาล บอด ไม่มีจักษุ ไม่รู้ ไม่เห็น. เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นโลกธรรมในโลก พระตถาคตย่อมตรัสรู้ ทราบชัดโลกธรรมนั้น ครั้นแล้ว ย่อมบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น. บุคคลใด เมื่อพระตถาคตบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้นอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่รู้ ไม่เห็น เราจะกระทำอะไรได้กะบุคคลนั้น ผู้เป็นปุถุชนคนพาล บอด ไม่มีจักษุ ไม่รู้ ไม่เห็น.             [๒๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุบลก็ดี ปทุมก็ดี บุณฑริกก็ดี เกิดแล้วในน้ำ เจริญแล้ว ในน้ำ ขึ้นพ้นจากน้ำตั้งอยู่ แต่น้ำไม่ติด แม้ฉันใด. พระตถาคตเกิดแล้วในโลก เจริญแล้วใน โลก ย่อมครอบงำโลกอยู่ แต่โลกฉาบทาไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกันแล. จบ สูตรที่ ๒. http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=17&A=3100&Z=3131&pagebreak=0 จากคุณ : ม้าไม่มีชื่อ เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 52 11:13:34

ความคิดเห็นที่ 9   คุณเฉลิมศักดิ์1 ครับ.......ขอแนะนำนิดนะ ขอแนะนำว่า   ให้อ่านหนังสือ  บทความ  หรือ  ความคิดเห็นต่างๆ ของท่านพุทธทาส ......ให้ละเอียด  ลึกซึ้ง สักนิดนะครับ   แล้วก็ทำใจกว้างๆ  เอาอัตตาตัวตน ของตัวเองทิ้งไปเสียชั่วคราว แล้วพิจารณาโดยถี่ถ้วน  ในคำบรรยาย หรือการอธิบายความในทุกๆเรื่อง ที่คุณอยากรู้ เพราะโดยทั่วไปแล้ว หลายคนที่ได้ฟัง  ได้อ่าน งานของท่านพุทธทาส จะหูตาสว่างไสวในพุทธธรรมอย่างแจ่มชัด เพราะท่านพุทธทาสใช้ถ้อยคำ และสำนวนง่ายๆ เป็นภาษาชาวบ้านทั่วไป มาบอก  มาเล่า  มาอธิบาย ใจความเหล่านั้น และที่สำคัญสิ่งที่ท่านพุทธทาส ย้ำอยู่เสมอในเรื่องที่พระพุทธองค์ตรัสสอนผู้คนทุกหมู่เหล่า   ในการที่พระพุทธองค์ทรงใช้ภาษาถึง 2 ภาษา คือ ภาษาคน  และ  ภาษาธรรม ภาษาคนใช้ในการบอกเล่าที่เป็นรูปธรรม  มีเรา  มีเขา   มีสิ่งนั้น  มีสิ่งนี้ เพื่อการสื่อสารให้เป็นที่เข้าใจในระดับบุคคลนั้นๆ ภาษาธรรมพูดในเรื่องเดียวกัน  แต่ กลับไม่มีอะไรเลย ตัวเราก็ไม่มี  ตัวเขา  ตัวอะไรมันก็ไม่มี  ไม่ใช่     มันเป็นของมันอย่างนั้น มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยปรุงแต่ง เป็นขั้นเป็นตอนไป ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา ได้ยินได้ฟัง  งง  มั้ยครับ... ผมเชื่อว่า  มึนตึ๊บ  แน่นอน ตรงนี้แหละครับ  อยากให้คุณเฉลิมศักดิ์1 พิจารณาให้ดี ท่านพุทธทาส อธิบาย ขยายความได้อย่างชัดเจน  ในเรื่องของการแยกแยะ ในระหว่างภาษาคน กับภาษาธรรม  ของพระพุทธองค์ ตั้งสติให้ดีนะครับคุณ เฉลิมศักดิ์1.................. ต่อไปจะได้ไม่มี  เฉลิมศักดิ์ 2, 3, หรือ 4 จากคุณ : ~นายเฉิ่มศักดิ์~ เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 52 13:43:57

ความคิดเห็นที่ 10   นี้คือ  อัตตโนมติ ง่าย ๆ  ของ  ของท่านพุทธทาส  ตามที่คุณเฉิ่มศักดิ์ พูดถึง คติ ๘ ภาษาคน-ภาษาธรรม http://www.buddhadasa.com/dhamanukom/language30.html จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1 เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 52 17:14:15

ความคิดเห็นที่ 11   หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เสนอไว้ว่า (หน้า ๓๖ หลวงปู่ฝากไว้) คำพุทธพจน์ตอนหนึ่งที่พระบรมศาสดาตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดอันบัณฑิตทั้งหลายในโลก กล่าวว่ามีอยู่ (ด้วยอวิชชา ใช่ไหม) แม้เราตถาคต ก็กล่าวสิ่งนั้นว่ามีอยู่ ฯลฯ---- ฯลฯ  -------- > แม้เราตถาคต ก็กล่าวสิ่งนั้นว่ามีอยู่  <---------- ยกตัวอย่าง (๑) บัณฑิตลัทธิอื่น กล่าวว่า "เทวดามีจริง" = สิ่งใดอันบัณฑิตทั้งหลายในโลก กล่าวว่ามีอยู่ พระบรมศาสดา ก็ตรัสว่า ----แม้เราตถาคต ก็กล่าวสิ่งนั้นว่ามีอยู่ (๒) "แต่บัณฑิตลัทธิอื่น ไม่รู้จัก ฉผัสสายตกสวรรค์" ตามที่ตรัสแก่ภิกษุ ว่า "เราเห็นแล้ว" (จากความจำ) (๓) ในกรณีเช่นนี้ จะกล่าวว่า พระบรมศาสดา ตรัส มุสา (หรือครับ) หรือว่า พระบรมศาสดาตรัสเช่นนั้น  = ท่านจึงพลอยตรัส เอออวย ไปตามคำที่พูดๆ กันอยู่ แต่แล้ว ก็ทรงแสดง สิ่งที่ดีกว่า ให้เขาเลิกละ ความสนใจหรือ ติดแน่นในสิ่งนั้นเสีย ------(ก็ได้ มิใช่หรือ) ท่านสมาชิก ลองพิจารณาดู พระพุทธองค์ตรัส ฉผัสสายติกนรก / ฉผัสสายติกสวรรค์ไว้ หาอ่าน พิจารณาเองครับ ********************************************** หลักฐาน เรื่อง เทวดา (แบบบนฟ้า กระมัง) มีจริงหรือ ดู http://www.buddhadasa.com/dhamanukom/tevada83.html เทวดามีจริงหรือ? ปัญหามีอยู่ว่า: ตามบาลีมีอยู่ว่า เทวดาที่ปรารถนาสุคติ ปรารถนามาเกิดในโลกมนุษย์นั้น ย่อมเป็นการรับรองว่า เทวดามีตัวจริง และ สวรรค์ก็มีตัวจริง. ถ้าเชื่อว่ามีจริงเช่นนี้ จะไม่เป็นเรื่องเหลวไหล ตามคติในยุคปัจจุบันไปหรือ? ปัญหานี้ ผู้ถามได้ยึดเอาหลักที่อาตมาได้บรรยายไปในวันก่อนๆ ถึงตอนที่กล่าวว่า เทวดาที่ปรารถนาสุคติ หาที่อื่นไม่ได้ ไม่พบ ต้องมาหาในมนุษยโลก ซึ่งมีพระรัตนตรัย; เลยยึดเอาว่า ถ้าอย่างนั้น บาลีก็ยืนยันว่า ตัวเทวดามีจริง สวรรค์มีจริง? อาตมาอยากจะขอตอบว่า ในบาลี มีกล่าวเช่นนั้นจริง และมีในรูปพระพุทธภาษิตจริง; แต่ความหมายนั้น หมายถึง เทวดาเป็นตัวบุคคลาธิษฐาน เช่นนั้นจริงหรือไม่ เป็นอีกปัญหาหนึ่ง. เรื่องเทวดานี้ ก็อยู่ในหลักเกณฑ์เดียวกันที่ว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า ถ้าไม่ "มองเห็น" ได้ด้วยตนเองแล้ว อย่าไปเชื่อตามดีกว่า เพราะฉะนั้น ส่วนที่พูดถึงตัวเทวดา หรือ สวรรค์นั้น ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ. ประเด็นสำคัญ มันอยู่ที่ว่า คนที่มัวเมาอยู่ด้วยกามคุณอย่างเทวดา และ จะเป็นเทวดาอยู่ที่ไหนก็ตาม ผู้ที่มัวเมาอยู่แล้ว ยากที่จะมีจิตใจที่โปร่งหรือแจ่มใสเพียงพอ ที่จะเข้าใจเรื่องดับทุกข์ หรือ เรื่องนิพพาน เพราะฉะนั้น เทวดาเมื่อสำนึกถึงความที่ตนมัวเมาอยู่ในกามคุณ หรือในสวรรค์ได้ ก็เกิดความสลดสังเวชตัวเอง ว่าที่นี่ ไม่ใช่ที่เอาตัวรอดเสียแล้ว; ควรจะเป็นในที่ที่ไม่มัวเมา ในกามคุณมากถึงเช่นนั้น; ควรจะเป็นที่ที่จะหาเรื่องราวของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเรื่องดับทุกข์นั้นได้โดยง่าย. เพราะฉะนั้น โลกที่ดีที่น่าเกิด ก็ควรจะเป็นมนุษยโลก แทนที่จะเป็นเทวโลก. เพราะฉะนั้น ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ควรจะอยู่ในที่ที่หาพบพระรัตนตรัยได้ง่าย หรือ ทำการดับทุกข์ได้ง่าย; เลิกพูดถึงมนุษยโลกหรือเทวโลก ซึ่งไม่ใช่ประเด็นสำคัญ. ทีนี้ อาตมา อยากจะชี้แจงต่อ ถึงข้อที่ว่า ทำไม คำว่า เทวดา หรือ คำว่า สวรรค์นี้ มามีอยู่ในพระพุทธภาษิต และอยู่ในพระไตรปิฎก โดยตรง. ทั้งนี้ ก็เพราะว่า ในประเทศอินเดีย สมัยนั้น มีความเชื่อเรื่องเทวดา เรื่อง นรก เรื่องสวรรค์ นี้อยู่โดยสมบูรณ์แล้ว มีรายละเอียดชัดเจน เหมือนที่กล่าวนี้ ทุกอย่างมาแล้ว ตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น พอพระพุทธเจ้า มีขึ้นในโลก เรื่องเหล่านี้ มันมีอยู่แล้ว จะไปเสียเวลาหักล้าง ก็ไม่ไหว พิสูจน์ให้คนโง่ เห็นไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ท่านจึงพลอยตรัส เอออวย ไปตามคำที่พูดๆ กันอยู่ แต่แล้ว ก็ทรงแสดง สิ่งที่ดีกว่า ให้เขาเลิกละ ความสนใจหรือ ติดแน่นในสิ่งนั้นเสีย ให้เลิกละ ความติดแน่น ในนรก ในสวรรค์ ในเทวโลก พรหมโลก เหล่านั้นเสีย โดยมาเอา สิ่งที่ดีกว่า คือ เรื่องโลกุตตระ หรือ นิพพาน; ทั้งๆ ที่ไม่ต้อง เสียเวลา พิสูจน์ เรื่องเทวดา เรื่องนรกสวรรค์ ชนิดนั้น ว่ามันมี ข้อเท็จจริง โดยแท้จริงอย่างไร. มีอยู่ในพระไตรปิฎก บางแห่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า เรื่องเทวดานี้ เขาพูดกันอย่าง เอิกเกริก ทั่วไปอยู่แล้ว เสียเวลา ที่จะไปฝืน ความรู้สึกของเขา; แล้วเราเอง ก็ต้องการ อีกอย่างหนึ่ง ต่างหาก สิ่งที่ต้องการ ไม่ได้เป็นอันเดียวกับ ที่ต้องการให้เขาหลงใหลในสวรรค์ ไม่จำเป็นที่จะต้อง อธิบายเรื่อง นรก สวรรค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่จะ พิสูจน์กัน เดี๋ยวนั้น ไม่ได้. ฯลฯ เพ่ง ข้อความ มีอยู่ในพระไตรปิฎก บางแห่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า เรื่องเทวดานี้ เขาพูดกันอย่าง เอิกเกริก ทั่วไปอยู่แล้ว เสียเวลา ที่จะไปฝืน ความรู้สึกของเขา; แล้วเราเอง ก็ต้องการ อีกอย่างหนึ่ง ต่างหาก สิ่งที่ต้องการ ไม่ได้เป็นอันเดียวกับ ที่ต้องการให้เขาหลงใหลในสวรรค์ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 52 19:23:43

ความคิดเห็นที่ 12   คุณเซ็นฯตอบไว้ถี่ถ้วนแล้วครับ(ในหลายๆคำตอบด้านบน) ขออนุญาตเห็นด้วยครับ จากคุณ : 44SFA1 เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 52 19:47:48

ความคิดเห็นที่ 13   น่าสงสารท่านเจ้าของกระทู้จริงๆครับ มานะ  มันครอบงําจนมองอะไรไม่เห็น จากคุณ : swinger (swinger) เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 52 19:56:37

ความคิดเห็นที่ 14   ความเห็น 11 ผมยกพระพุทธพจน์มาทั้งพระสูตร พร้อมลิงค์ยืนยัน คุณกลับเอาคำพูดสาวกมาแย้งคำตรัสพระศาสดา เพียงแค่คำสาวกบอกว่า มีบางแห่งตรัสงี้ๆๆๆ เนี่ยนะ? แค่นี้ก็แย้งพระสูตรได้แล้ว?  ไย้!! ถามจริงๆ เถอะ  คุณโชติ นี่คุณเห็นคำพูดท่านพุทธทาสสำคัญกว่าคำตรัสจากพระโอษฐ์จริงๆ หรือครับ? คุณเคารพนับถือพระพุทธเจ้าจริงๆ หรือครับ? จากคุณ : ม้าไม่มีชื่อ เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 52 20:28:47

ความคิดเห็นที่ 15   ผม (ม้าไม่มีชื่อ) ยกพระพุทธพจน์มาทั้งพระสูตร ผมก็ยก พระสูตรมาทั้งพระสูตร เสนอ เช่นกัน อ่านนะครับ *************************************************** ยกจากพระไตรปิฎกฉบับประชาชนนะครับ หน้า ๕๑๐ ตรัสแสดงะรรมแก่ชาวนิคมเกสปุตตะ แคว้นกาลามะ ผู้ทูลถามถึงสมณพราหณ์ต่างๆ ที่ยกย่องวาทะของตนข่มผู้อื่น ตรัสสอนมิให้เชื่อ ๑ โดยฟังตามกันมา ๒ โดยนำสืบกันมา ๓ โดยตื่นข่าวลือ ๔ โดยอ้างตำรา <------------- ข้อนี้ เข้าใจนะครับ ๕ โดยนึกเดาเอา ๖ โดยคาดคะเน ๗ โดยตรึกตามอาการ ๘ โดยพอใจว่า ชอบแก่ความเห็นของตน <------------- ข้อนี้ เข้าใจนะครับ ๙ โดยเห็นว่าพอเชื่อได้ ๑๐ โดยเห็นว่าสมณะผู้นี้ เป็นครูของเรา แต่ให้ สอบสวน จนรู้ได้ด้วยตนเอง  <------------- ข้อนี้ เข้าใจนะครับ แล้วตรัสถามให้เห็นความจริง ในโทษของความโลภ ความคิดประทุษร้าย ความหลง และคุณของความไม่โลภ ฯลฯ ************************************************** ตกลง ถามจริงๆ เถอะ  คุณม้าไม่มีชื่อ นี่คุณม้าไม่มีชื่อเห็นคำพูด เห็นารตั้งกระทู้ วิธีใช้ภาษา ของคุณเฉลิมศักดิ์1 เช่น คคห 1 นั้น สำคัญกว่าคำตรัสจากพระโอษฐ์จริงๆ หรือครับ? คุณเคารพนับถือพระพุทธเจ้าจริงๆ หรือครับ? ************************************************** "อย่าเพิ่งชื่ออย่าง อนุเสติ คือ ฝังจิต (ที่ยังมีอวิชชา) ลงไปในสิ่งใดนั้น" เพราะ ๔ โดยอ้างตำรา <------------- ข้อนี้ เข้าใจนะครับ ๑๐ โดยเห็นว่าสมณะผู้นี้ เป็นครูของเรา  <------------- ข้อนี้ เข้าใจนะครับ แต่ให้ สอบสวน จนรู้ได้ด้วยตนเอง  <------------- ข้อนี้ เข้าใจนะครับ แปลว่า ข้อความในพระไตรปิฎกฉบับบาลีสยามรัฐ ที่ ปากฎในเวลานี้ ต้นฉบับมาจากไหน ภาษาอะไร นั่น คุณม้าไม่มีชื่อ รู้ + หลักฐานใดนั้น แล้ว นะครับ ทีนี้ เรื่อง เทวดา ก็เช่นกัน ท่านพุทธทาส ท่าน ก็เสนอของท่าน ส่วนท่านจะมีหลักฐานอะไร จึงกล่าวเช่นนั้น ผมไม่ทราบได้ หรือคุณม้าไม่มีชื่อ ทราบครับ ว่า ท่านกล่าวลอยๆ หรือ กล่าวโดยไม่มีหลักฐาน ประกอบ ฯ ส่วน ผมเสนอ ตามหลักฐาน ที่ปรากฎ ว่า ท่านพุทธทาส เสนออะไร ฯลฯ ส่วนผม จะ เชื่อ หรือ เห็นด้วย หรือไม่นั้น "ธุระของผม ไม่ใช่ของบุคคลอื่น" แต่ ไม่ว่าผมจะเชื่อ แล้ว ผมจะเห็นด้วย เพราะเชื่อ ผม ต้องอาสัยการตรัสรู้ของพระบรมศาสดา โดยเฉพาะ กาลามสูตร ข้อ ๔ โดยอ้างตำรา <------------- ข้อนี้ เข้าใจนะครับ ๑๐ โดยเห็นว่าสมณะผู้นี้ เป็นครูของเรา  <------------- ข้อนี้ เข้าใจนะครับ แต่ให้ สอบสวน จนรู้ได้ด้วยตนเอง  <------------- ข้อนี้ เข้าใจนะครับ *************************************************** สรุปในสรุป วาทะกรรม อ้างมีในพระไตรปิฎก นั้น อ้างดีดี เพราะ ผมก้อ้าง กาลามสูตร ในพระไตรปิฎก โดยเฉพาะ แต่ให้ สอบสวน จนรู้ได้ด้วยตนเอง  <------------- ข้อนี้ เข้าใจนะครับ ดังนั้น ถ้า คุณม้าไม่มีชื่อ หรือ ใครอื่น ไม่รู้จริง +หลักฐานชัดว่า ท่านพุทธทาสได้ "สอบสวน จนรู้ได้ด้วยตนเอง " แล้ว หรือไม่ อย่า ตั้งตัวเป็นอะไร ดีกว่าครับ หรือรับจ๊อบอะไรมาครับ  คงไม่นะครับ *************************************************** เหตุผลของคุณม้าไม่มีชื่อ ตาม คคห 14 สอดคล้องกับ พระพุทธวจนะ ที่พระพุทธเจ้าที่ คุณม้าไม่มีชื่อ เคารพอย่างสุดๆ ยอมเป็นทาสของพระองค์ เช่น ท่านพุทธทาส หรือไม่ ผมไม่ทราบ และไม่มีเหตุ หรือความจำเป็นต้องทราบให้ได้ด้วย แต่ ไม่แน่ใจว่า เหตุผล ตาม คคห 14 จะสอดคล้องกับ จากพระโอษฐ์ คือ ๔ โดยอ้างตำรา <------------- ข้อนี้ เข้าใจนะครับ ๑๐ โดยเห็นว่าสมณะผู้นี้ เป็นครูของเรา  <------------- ข้อนี้ เข้าใจนะครับ แต่ให้ สอบสวน จนรู้ได้ด้วยตนเอง ..หรือไม่ ผมไม่แน่ใจ แต่ผม ก็ เชื่อว่า คุณม้าไม่มีชื่อ จะ เข้าใจ ตามที่ตรัสนั่นได้ เพราะ ผมเดาเล่นๆ ว่า คุณม้าไม่มีชื่อ น่าจะเคารพพระบรมศาสดา มากกว่า พระพุทธโฆษาจารย์ หรือ ท่านใดอื่น ฯลฯ คง ไม่มีประเด็นอะไรๆ ต่อความอีกนะครับคุณม้าไม่มีชื่อ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 52 21:44:02

ความคิดเห็นที่ 16   ทำเล่นลิ้นปลิ้นปล้อนแถกแถไปวันๆ ตามเคยนะ คุณโชติ ในความเห็น 7 คุณอ้างพระพุทธพจน์มาสนับสนุนคำพูดท่านพุทธทาส ที่กล่าวหาว่าพระพุทธเจ้าตรัสเอออวยไปตามคำที่เค้าพูดๆ กัน พอผมยกพระพุทธพจน์มาแย้งว่าไม่มีหรอกที่ท่านจะตรัสเอออวยกับความเท็จ คุณกลับยกคำท่านพุทธทาสมาย้ำอีกว่าพระพุทธองค์ตรัสงี้ๆๆๆ ตกลงพูดไปพูดมาก็มีแต่อ้างคำท่านพุทธทาสทั้งนั้น อย่างกาลามสูตร คุณก็อ้างเพื่อไม่เชื่อไม่ฟังพระดำรัสในพระไตรปิฏก แต่กับคำกล่าวหาลอยๆ ไร้หลักฐานอ้างอิงของท่านพุทธทาส คุณกลับเอากาลามสูตรเก็บลงลิ้นชักแล้วเชื่ออย่างไม่สงสัยเลยสักนิด สรุปก็คือคุณไม่ได้ฟังพระพุทธพจน์ คุณพอใจจะฟังก็เฉพาะเพื่อเอามาอ้างให้ทิฏฐิมั่วซั่วของคุณดูชอบธรรมขึ้นมาแค่นั้น คุณไม่ได้นับถือพระพุทธเจ้าและคำตรัสจากพระโอษฐ์ในพระไตรปิฎก แต่จะเชื่อก็ต่อเมื่อออกจากโอษฐ์ท่านพุทธทาสเท่านั้น เห็นชัดว่าคุณเชื่อท่านพุทธทาสมากกว่าพระพุทธเจ้า ดูท่าคุณคงสับสนอยู่ว่าใครเป็นสาวกใครเป็นพระศาสดาในพระพุทธศาสนากันแน่ อาการหนักหนาสาหัสขนาดนี้ผมก็ไม่มีประเด็นอะไรจะพูดแล้วเหมือนกันครับ สวัสดี จากคุณ : ม้าไม่มีชื่อ เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 52 22:24:58

ความคิดเห็นที่ 17   ตกลง ถามจริงๆ เถอะ  คุณม้าไม่มีชื่อ นี่คุณม้าไม่มีชื่อเห็นคำพูด เห็นการตั้งกระทู้ วิธีใช้ภาษา ของคุณเฉลิมศักดิ์1 เช่น คคห 1 นั้น สำคัญกว่าคำตรัสจากพระโอษฐ์จริงๆ หรือครับ? คุณเคารพนับถือพระพุทธเจ้าจริงๆ หรือครับ? คุณถามผมได้ ผม ย่อมสมควรถามกลับได้ จริงไหมครับ เล่นลิ้นอะไรครับ ************************************************* ความคิดเห็นที่ 7   [ถูกใจ]  [แจ้งลบ]   ท่านพุทธทาส กล่าวคำว่า .......ท่านจึงพลอยตรัส เอออวย ไปตามคำที่พูดๆ กันอยู่ แต่แล้ว ก็ทรงแสดง สิ่งที่ดีกว่า ให้เขาเลิกละ ความสนใจหรือ ติดแน่นในสิ่งนั้นเสีย ให้เลิกละ ความติดแน่น ในนรก ในสวรรค์ ในเทวโลก พรหมโลก เหล่านั้นเสีย โดยมาเอา สิ่งที่ดีกว่า คือ เรื่องโลกุตตระ หรือ นิพพาน; ทั้งๆ ที่ไม่ต้อง เสียเวลา พิสูจน์ เรื่องเทวดา เรื่องนรกสวรรค์ ชนิดนั้น ว่ามันมี ข้อเท็จจริง โดยแท้จริงอย่างไร. ทำไม  ใครบางคน จึง เสนอว่า = วิจารณ์ พระบรมศาสดา นายของท่านพุทธทาส ละ พิจารณาดีดี ครับ อย่าสับสน ฯลฯ *************************************************** วิจารณ์ แปลว่า อะไรครับ *************************************************** หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เสนอไว้ว่า (หน้า ๓๖ หลวงปู่ฝากไว้) คำพุทธพจน์ตอนหนึ่งที่พระบรมศาสดาตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดอันบัณฑิตทั้งหลายในโลก กล่าวว่ามีอยู่ (ด้วยอวิชชา ใช่ไหม) แม้เราตถาคต ก็กล่าวสิ่งนั้นว่ามีอยู่ ฯลฯ---- พระบรมศาสดาตรัสแบบนี้ แปลว่า อะไรครับ แปลว่า ----ท่านจึงพลอยตรัส เอออวย ไปตามคำที่พูดๆ กันอยู่ แต่แล้ว ก็ทรงแสดง สิ่งที่ดีกว่า ให้เขาเลิกละ ความสนใจหรือ ติดแน่นในสิ่งนั้นเสีย ------ได้ ----มั๊ยครับ ท่านสมาชิก พิจาณณาครับ หลักฐาน ที่ผมเสนอ ************************************************** คุณม้าไม่มีชื่อ เสนอว่า ..ในความเห็น 7 คุณอ้างพระพุทธพจน์มาสนับสนุนคำพูดท่านพุทธทาส คุณสรุปเอง มั๊งครับ ผมเสนอให้ ท่านสมาชิก พิจารณา เท่านั้น เพราะ ผมเคารพ เสรีภาพในการพิจารณาของท่านสมาชิก + กาลามสูตร จากพระโอษฐ์ คือ ๔ โดยอ้างตำรา <------------- ข้อนี้ เข้าใจนะครับ ๑๐ โดยเห็นว่าสมณะผู้นี้ เป็นครูของเรา  <------------- ข้อนี้ เข้าใจนะครับ แต่ให้ สอบสวน จนรู้ได้ด้วยตนเอง แต่ให้ สอบสวน จนรู้ได้ด้วยตนเอง แต่ให้ สอบสวน จนรู้ได้ด้วยตนเอง แต่ให้ สอบสวน จนรู้ได้ด้วยตนเอง สรุป (๑) คุณม้าไม่มีชื่อ ไม่ทำตาม พุทธพจน์ ..แต่ให้ สอบสวน จนรู้ได้ด้วยตนเอง ..หรือ???? (๒) ส่วนใครจะเชื่อ + เห็นชัด ตาม ข้อความของคุณม้าไม่มีชื่อ หรือ ไม่ ผม ไม่มีปัญหา อะไรครับ (๓) ถ้าเกี่ยวกับ เชื่อ ละก้ ขอให้ทำตามที่ตรัสไว้ ทั้ง ๑๐ ข้อ โดยเฉพาะ ข้อที่ว่า ๔ (อย่าเพิ่งเชื่ออย่างฝังใจลงไปหมด) โดยอ้างตำรา (หรือปิฎก) ข้อนี้ เข้าใจนะครับ ๑๐ (อย่าเพิ่งเชื่ออย่างฝังใจลงไปหมด) โดยเห็นว่าสมณะผู้นี้ เป็นครูของเรา   ข้อนี้ เข้าใจนะครับ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 52 22:42:02

ความคิดเห็นที่ 18   เพื่อป้องกันความสับสน สำหรับผู้เริ่มศึกษา พระพุทธศาสนา พระศาสดาองค์ปัจจุบันของพระพุทธศาสนา คือ เจ้าชายสิทธัตถะ ย้ำ คือ เจ้าชายสิทธัตถะ ไม่ใช่ใครอื่น ตามคัมภีร์ฝ่ายพุทธ ถือกันว่า พระพุทธเจ้า (พระโคตมพุทธเจ้า) พระองค์ ดำรงพระชนม์ชีพอยู่ระหว่าง 80 ปีก่อนพุทธศักราช จนถึงเริ่มพุทธศักราชซึ่ง เป็นวันปรินิพพาน ตรงกับ 543 ปีก่อนคริสตกาลตามตำราไทยอ้างอิงปฏิทิน สุริยคติไทยและปฏิทินจันทรคติไทย และ 483 ปีก่อนคริสตกาลตามปฏิทิน สากล พระพุทธเจ้าทรงเทศนา สั่งสอนพุทธบริษัทเรียกว่า พระธรรมวินัย พระธรรม คือคำสอนในสิ่งที่เป็นจริงของชีวิต เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตไปสู่จุดหมายสูง สุด คือ นิพพาน พระธรรมนั้นแบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ คำสอนที่เกี่ยวเนื่องกับ ชีวิตประจำวัน ของ ผู้คนทั่วไป เรียกว่าพระสูตร และคำสอนที่เป็น หัวข้อธรรมล้วนๆ เช่น ขันธ์ 5 ปัจจยา การ 12 เป็นต้นเรียกว่าพระอภิธรรม ส่วนวินัยสำหรับพระ ภิกษุและภิกษุณี ได้แก่กฎระเบียบข้อปฏิบัติ หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ได้ 7 วัน พุทธบริษัทได้ ร่วมกันรวบรวม พระสูตร พระอภิธรรมและพระวินัย จัดเข้าเป็น หมวดหมู่ได้ 84,000 หมวด รวมเรียกว่า พระไตรปิฎก จากคุณ : Inquirer เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 52 23:23:30

ความคิดเห็นที่ 19   พระพุทธเจ้าไม่ตรัสเอออวยไปกับใครหรอกครับ ท่านไม่เคยตรัสขัดแย้งกัน เองเลย  ตรวจสอบในพระไตรปิฏกได้ คนอื่นละก็ไม่แน่ จากคุณ : นิแรน เขียนเมื่อ : 30 ต.ค. 52 23:31:33

ความคิดเห็นที่ 20   มีคำถามหลังไมค์  แต่ขอตอบหน้าไมค์ นะครับ บีคนเมืองนคร [30 ตุลาคม 2552 17:46]         สวัสดีครับคุณ เฉลิมศักดิ์1 ผมเห็นคุณพยายามตั้งกระทู้ซ้ำซากมากเลย ไม่ทราบว่าคุณมีเจตนาเพื่ออะไรครับ ผมอยากทราบเจตนาของคุณเพื่อสิ่งที่ได้อาจจะมีประโยชน์กับชีวิตผมบ้าง รบกวนตอบด้วยนะครับ เพราะผมเรียนถามอย่างที่สุภาพชนเค้าพึงกระทำกัน ท่านก็เป็นสุภาพชนแบบนั้นที่ควรจะต้องตอบคำถามด้วยนะครับ และให้คลี่คลายด้วยนะครับ จึงเรียนมาเพื่อทราบนะครับ ผมอยากรู้จริงๆนะท่าน....   --------------------------------------------- คุณบีครับ  เพราะผมศรัทธา ในพระไตรปิฏก อรรถกถา วิสุทธิมรรค อภิธัมมัตถสังคหะ  และคัมภีร์ ของเถรวาท วาทะ ของท่านพุทธทาสนั้น คอยแต่จะบิดเบือน กล่าวตู่   ผมจึงขอโอกาสาชี้แจงบ้าง คุณบี สังเกตศิษย์ท่านพุทธทาส   หรือ ผู้ที่มีทิฏฐิตามท่าน  ไหมครับ เช่น คุณเซนเถรวาทฯ เป็นต้น  ตอนนี้นับถือ คำสอนของท่านพุทธทาส  ยิ่งกว่า พระไตรปิฏกเถรวาท เสียอีก ( ไม่ต้องกล่าวถึง อรรถกถา วิสุทธิมรรค อภิธัมมัตถสังคหะ  และคัมภีร์ ของเถรวาท ) คุณบีครับ  ผมต้องการให้ พุทธบริษัท ได้เห็นความสำคัญและการศึกษา พระสัทธรรม   ได้เกิดโลกียสัมมาทิฏฐิ และ ศรัทธา ๔ ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านไม่เห็นด้วย และทำลายลง http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=สัทธา_๔ สัทธา ความเชื่อ;       ในทางธรรม หมายถึง เชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ, ความเชื่อที่ประกอบด้วยเหตุผล, ความมั่นใจในความจริงความดีสิ่งดีงามและในการทำความดีไม่ลู่ไหลตื่นตูมไปตามลักษณะอาการภายนอก       ท่านแสดงสืบๆ กันมาว่า ๔ อย่างคือ           ๑. กัมมสัทธา เชื่อกรรม           ๒. วิปากสัทธา เชื่อผลของกรรม           ๓. กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตัว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว           ๔. ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคต; -------------------------------------------- คุณบี ครับ  มีความเห็นไหนของท่านพุทธทาส ที่ส่งเสริม ศรัทธา ในเรื่อง กรรม และ วิบาก ให้ผู้ศึกษาได้เกิด หิริ โอตตัปปะ (อายชั่ว กลัวบาป) ช่วยนำมาแสดงด้วยนะครับ จากคุณ : เฉลิมศักดิ์1 เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 05:26:56

ความคิดเห็นที่ 21   คุณเฉลิมศักดิ์1 ตกลงใจ "หนี" คือ จะไม่เข้าไปตอบ ที่กระทู้" ttp://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8481423/Y8481423.html ใช่ไหมครับ ? ************************************************* ประเด็นในกระทู้นั้นคือ ท่านพุทธทาสเสนอไว้ ว่า ...."ถ้าไม่ถึงขนาดนั้นไปลูบคลำอภิธรรมเข้า จะพลัดตกไปสู่ธรรมดำโดยไม่รู้สึกตัวคือ มิจฉาทิฏฐิ คุณ เฉลิมศักดิ์ เสนอไว้ว่า ...."ท่านพุทธทาส (และ ผู้ที่เชื่อในทิฏฐิของท่าน เป็นต้น) ที่ถือว่า  พระอภิธรรมปิฏก อภิธัมมัตถสังคหะ เป็นธรรมดำ" ข้อความไหนครับ ตรงกับ คำว่า ท่านพุทธทาส "ถือว่า"  พระอภิธรรมปิฏก อภิธัมมัตถสังคหะ เป็นธรรมดำ" จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 10:25:11

ความคิดเห็นที่ 22   ด้วยความเคารพนะครับ ผมมองว่าสิ่งที่ท่านพุทธทาสท่านมองเห็นมากกว่าคนอื่นคือสิ่งที่หุ้มเปลือกคำสอนของท่านพุทธโฆษาจารย์ สิ่งที่ท่านทำคือการลอกเปลือกออกเพื่อให้เห็นคุณค่าของท่านพุทธโฆษาจารย์นะ สิ่ง หนึ่งที่อยากให้ทำความเข้าใจ คือสิ่งที่ท่านพุทธทาส คิด พูด สอน เขียน เทศน์ คือสิ่งที่ท่านค้นคว้า ทดลอง ปฏิบัติมาแล้วอย่างเข้มข้น ท่านบันทึกไว้ให้คนรุ่นหลังที่อาจสงสัยในข้อปฏิบัติของท่านไว้ด้วยนะครับ ลองค้นดู ท่านไม่เคยยกตัวเองว่า ท่านถูกต้องเสมอไป ท่านเคยบอกไว้ด้วยซ้ำหลายเรื่องของท่าน ท่านเคยเข้าใจผิด รุ้ผิด เคยสอนผิดด้วยซ้ำไป คำสอนของท่านคือการนำธรรมะมาประยุกต์ใช้กับสังคมปัจจุบันได้อย่างชัดเจนนะครับ คนเราถ้าพุ่งตรงไปที่การดับทุกข์ได้แล้ว การเรียนรู้อภิธรรมก็ไม่มีความหมายแล้วครับ ผมว่าเราน่าจะถือว่าโชคดีนะครับที่ได้เกิดมาร่วมสมัยกับปราชญ์อย่างท่าน ขอบคุณครับ จากคุณ : เหมียวออก้า (orcahappy) เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 14:23:57

ความคิดเห็นที่ 23   คำสอนของ พุทธทาส คือ การนำธรรมะมาประยุกต์ใช้กับสังคมปัจจุบัน ควร ตั้งหลักคิด เสียใหม่ ธรรม คือ อกาลิโก ไม่ขึ้นกับกาล (กาล-อวกาศ) ข้อรู้ ของพระพุทธองค์ เป็นจริงอยู่เสมอ ทันสมัยอยู่ทุกยุค ทุกสม้ย โดยไม่ต้องมีใคร ยืนยัน ว่าจริงหรือไม่ ไม่มี อดีต อนาคต ปัจจุบัน ธรรม คือ ข้อรู้ ของพระพุทธองค์ ธรรม เป็น ความจริง และทันสมัยอยู่เสมอ อย่า กระเแด๊ะ ว่า นำธรรมะมาประยุกต์ใช้กับสังคมปัจจุบัน อะไร !!! จากคุณ : Inquirer เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 16:51:52

ความคิดเห็นที่ 24   เห็นด้วยกับคุณ  เหมียวออก้า (orcahappy)  ครับ ในประเด็น ผมมองว่าสิ่งที่ท่านพุทธทาสท่านมองเห็นมากกว่าคนอื่นคือสิ่งที่หุ้มเปลือกคำสอนของท่านพุทธโฆษาจารย์ สิ่งที่ท่านทำคือการลอกเปลือกออกเพื่อให้เห็นคุณค่าของท่านพุทธโฆษาจารย์นะ เห็นด้วยกับคุณ  เหมียวออก้า (orcahappy)  ครับ ในประเด็น สิ่ง หนึ่งที่อยากให้ทำความเข้าใจ คือสิ่งที่ท่านพุทธทาส คิด พูด สอน เขียน เทศน์ คือสิ่งที่ท่านค้นคว้า ทดลอง ปฏิบัติมาแล้วอย่างเข้มข้น ท่านบันทึกไว้ให้คนรุ่นหลังที่อาจสงสัยในข้อปฏิบัติของท่านไว้ด้วยนะครับ ลองค้นดู เห็นด้วยกับคุณ  เหมียวออก้า (orcahappy)  ครับ ในประเด็น ท่านไม่เคยยกตัวเองว่า ท่านถูกต้องเสมอไป ท่านเคยบอกไว้ด้วยซ้ำหลายเรื่องของท่าน ท่านเคยเข้าใจผิด รุ้ผิด เคยสอนผิดด้วยซ้ำไป ข้อนี้ จากความจำ ท่าน กล่าวว่า ท่านสอน ปฏิจจฯ ผิด เพราะสอน แบบ คร่อม ๓ ภพ ๓ ชาติ ๓ กาล อะไรนั่น แล้ว ท่านสอนปฏิจจสมุปบาทใหม่ หลังจาก ค้นพระพุทธวจนะ ที่ตรัสเรื่องปฏิจจสมุปบาท ในพระไตรปืฎกฉบับบาลีสยามรัฐ (45 เล่ม)  ท่านใช้ รุ่นอนุสรณ์รัชกาลที่ ๗ ถ้าจำไม่ผิด ดังปรากฎผลงานคือ ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ ชนิดที่ "พุทธบุตรใด รวมทั้ง พระพุทธโฆษาจารย์" ไม่ได้ ค้น รวบรวม แปล จัดหมวดหมู่ ดัง ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ ตกลง ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ นี้ ท่านพุทธทาส ท่าน สมกับ ทาสของพระบรมศาสดา มั๊ยครับ ชาวพุทธทั้งหลาย เห็นด้วยกับคุณ  เหมียวออก้า (orcahappy)  ครับ ในประเด็น คำสอนของท่านคือการนำธรรมะมาประยุกต์ใช้กับสังคมปัจจุบันได้อย่างชัดเจนนะครับ คนเราถ้าพุ่งตรงไปที่การดับทุกข์ได้แล้ว การเรียนรู้อภิธรรมก็ไม่มีความหมายแล้วครับ เช่น ที่ท่านเสนอ ฯลฯ นึกไม่ออก ครับ เห็นด้วยครับ ที่เสนอว่า ผม (เหมียวออก้า (orcahappy) ว่าเราน่าจะถือว่าโชคดีนะครับที่ได้เกิดมาร่วมสมัยกับปราชญ์อย่างท่าน ผม ขอชื่นชม ใน มุมมอง +หลักฐาน + วิจารณญาณของคุณเหมียวออก้า (orcahappy)  แล้ว เสนอ ข้อความใน คคห 22 ครับ ผมตั้งกระทู้ใหม่ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8494358/Y8494358.html สนใจ ลองดูนะครับคุณ เหมียวออก้า (orcahappy ขอแสดงความนับถือ จากคุณ : เซนเถรวาทปฐมสังคายนานิยม (F=9b) เขียนเมื่อ : 31 ต.ค. 52 18:44:17