ความคิดเห็นที่ 1 อวิชชาเป็นคติ         เครื่องไป แก่เหล่าสัตว์ผู้พอใจ        ในภพ ลากเกวียนย่ำล้ำไป   แห่งไหน เล่าโค รอยคติเจ้า        ฤาพ้น   จากภพ ทั้งสามฯ แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 50 12:47:36 แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 50 12:40:37 จากคุณ : JitZungkabuai - [ 9 เม.ย. 50 12:33:08 ]

ความคิดเห็นที่ 2 คุณ จิตซังกาบ้วย แต่งเองหรือครับ จากคุณ : F=9b - [ 9 เม.ย. 50 12:45:51 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ยังแต่งไม่จบเลยคับ ท่านF มาแล้ว ฮ่าๆ สวัสดีปีใหม่ไทยๆ ขอรับ :j จากคุณ : JitZungkabuai - [ 9 เม.ย. 50 12:50:06 ]

ความคิดเห็นที่ 4 คติ..ของดิฉันผู้ซึ่งไม่มีความลึกซึ้งในคติธรรมนั้น...คือแนวทางปฏิบัติตนให้มีสติ.....ด้วยมีคติที่ว่า...สัตว์โลกก  กรรม...คือการกระทำนั้น....ทำดีย่อมได้ดี....ทำชั่ว....ย่อมได้ชั่ว.... จากคุณ : aoy1 - [ 9 เม.ย. 50 12:52:19 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เรียนท่านF ครับ สองบรรทัดล่าง ไม่ได้เรียกว่าแต่ง เรียกว่าเอาไปประกอบ ให้โคลงดีกว่าครับ ........................... ถือเป็นตอบคำถามกระทู้นี้ด้วยครับ :) จากคุณ : JitZungkabuai - [ 9 เม.ย. 50 13:11:30 ]

ความคิดเห็นที่ 6 คติน่าจะแปลว่า ทางไป หรือ นำไป หรือเครื่องนำไป มังครับ จากคุณ : พักผ่อน - [ 9 เม.ย. 50 14:09:00 ]

ความคิดเห็นที่ 7 (อวิชชานั้นคือ โมหะเจตสิก ...เจตสิก คือธรรมตัวปรุงแต่งวิญญาณธาตุให้เกิด สมันนาหารจิต ตามที่พระสารีบุตรท่านเสนอไว้ ฯ กำหนดตอนไหนก็ด้ โดยเฉพาะ ก่อนดับจิต ที่หมายถึงตายเข้าโลงนั่นแหละ) ขอเสนอบ้าง แบบเด็กหัดใหม่ นะครับ อวิชชานั้นคือ        โมหะเจตสิก ตรัสว่าเป็นคติ        เครื่องไป แก่จิตที่เพลินย้อม     ติดมี ติดเป็น เพราะไม่เห็นธรรมชื่อ   สุญญตา พระสัทธรรมจึงเกิด    ปฏิรูป เพราะมารลูบพระธรรม  ด้วยตัณหา ทานบนเรือนกลับถ่าย   บนหลังคา เพราะอวิชชาแห่งจิต    ใช่อื่นใด พยายามเน้นย้ำ       สัสสตทิฏฐิ ให้ีมติว่าต้องมี        อัตตาแน่ สวมแบบพระ หากิน    ถิ่นวิไล ใครบรรลัย ช่างมัน    ฉันไม่แคร์ ฯลฯ สวัสดีปีใหม่ไทยๆ เช่นกันครับ คุณจิตซังกาบ้วย และสำหรับทุกท่าน ที่รู้จัก จิตนี้เป็นประภัสสร แต่กลับเศร้าหมองแล้ว เพราะแขกที่ชื่อนิวรณืทั้ง ๕ อันเป็น อาหาร ของอวิชชา จากคุณ : F=9b - [ 9 เม.ย. 50 14:22:21 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ป่านฉะนี้สาวกท่านทาสภิกขุก็ยังสับสน งง งวย หลงยึดติดในอาจารยวาทะของอาจารย์แบบเมามันไม่เลิกเอาซะเลยนะครับ ลองอ่านพุทธวจนะบทนี้ใหม่ซัก ๑๐๐ รอบยังจะดีกว่าการไปอ่านหนังสือของท่านทาสภิกขุเป็นร้อยเล่มที่ยิ่งอ่านยิ่งไกลออกจากคำสอนของพระพุทธองค์ซะงั้น v v  ย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์------>ผู้กำลังจุติ กำลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ----->ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์---->ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ ------>สัตว์เหล่านั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบายทุคคติ วินิบาต นรก<------ ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ ------->สัตว์เหล่านั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ <------ ย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุบัติเลวประณีตมีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ---->ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ ที่มา : http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=8&A=8393&w=อุบัติ จากคุณ : XLmen - [ 9 เม.ย. 50 14:26:01 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ^ ^ อ้อท่านทาสภิกขุนิยมพระสูตรไม่นิยมพระอภิธรรมจ้องจะทิ้งพระอภิธรรมลงทะเลเรื่อย...จะตอบพระวินัยด้านบนที่ผมยกมาอย่างไรดีหละครับ หรือจะทิ้งพุทธวจนะจากพระโอษฐ์ในพระวินัยทิ้งลงทะเลอีกซักสูตรอย่างนั้นหรือครับคุณเซงแถรวาทะ (ศิษย์ก้นกุฎิผู้นิยมชักพระไตรปิฎก นิกายเอออวยทวิปิฎกนิยม) จากคุณ : XLmen - [ 9 เม.ย. 50 14:33:53 ]

ความคิดเห็นที่ 10 พฤกสกผกาษร อีกกุญชรอันปลดปลง โทธน สะเหน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย    สำคัญหมายในกายมี สถิตย์ทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา. จากคุณ : JitZungkabuai - [ 9 เม.ย. 50 14:34:38 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เป็นแล้วหรือท่านXLmen ท่านCopyสบายดีใหมครับ จากคุณ : JitZungkabuai - [ 9 เม.ย. 50 14:38:49 ]

ความคิดเห็นที่ 12 หลานจับผมมานั่งดูอนิเมต การ์ตูน เรื่อง ก้านกล้วย ดูๆก็สนุกดี หลานเค้าบอกว่า งวงแดงเป็นตัวร้าย หรือยังไงจับความไม่ถนัด ผมถามว่าพ่อก้านกล้วยอยู่ไหนล่ะ(แกล้งถาม ตามฉากที่ก้านกล้วยเล่นกับแม่ ไม่เห็นพ่อ) หลานบอกว่าตายแล้ว  อ้าว ยังไม่โผล่มา ตายซะแล้ว ว้า สรุปว่า ไม่ได้ดูหนังการ์ตูน แต่ดูหลาน ให้หลานมีความสุขน่ะครับ ดูกี่รอบแล้วนี่ ผมถาม ร้อยรอบแล้ว เตี๋ยไม่รู้เรื่องเลย เค้าเรียกผมว่าเตี๋ย แปลว่าเป็นเขย เดี๋ยวไปงานวันเกิดหลาน สงกรานต์พอดีครับ ทำไมอยากดูก้านกล้วยก็ไม่รู้แล้ว เล่าให้ฟังนะ :) จากคุณ : JitZungkabuai - [ 9 เม.ย. 50 14:53:50 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เรียน เจ้าของกระทู้      ขอโทษครับ ผมอ่านกระทู้ไม่ค่อยเข้าใจ เลยขอยกความหมาย คติ มาจาก พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของพระธรรมปิฎก (ปยุตฺโต) ละกัน คติ    1. การไป, ทางไป, ความเป็นไป, ทางดำเนิน, วิธี, แนวทาง, แบบอย่าง        2. ที่ไปเกิดของสัตว์, ภพที่สัตว์ไปเกิด, แบบการดำเนินชีวิต มี ๕ คือ ๑. นิรยะ นรก ๒. ติรัจฉานโยนิ กำเนิดดิรัจฉาน ๓. เปตติวิสัย แดนเปรต ๔. มนุษย์ สัตว์มีใจสูงรู้คิดเหตุผล ๕. เทพ ชาวสวรรค์ ตั้งแต่ชั้นจาตุมหาราชิกา ถึงอกนิษฐพรหม (ท่านว่าในที่นี้ จัดอสูรเข้าในเปตติวิสัยด้วย) ๓ คติแรกเป็น ทุคติ (ที่เกิดอันชั่วหรือแบบดำเนินชีวิตที่ไม่ดี) ๒ คติหลังเป็นสุคติ (ที่ไปเกิดอันดี หรือแบบดำเนินชีวิตที่ดี) http://www.dhammathai.org/buddhistdic/kwai-chor.php แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 50 23:28:10 จากคุณ : adial (adial) - [ 9 เม.ย. 50 23:26:55 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ความจริง กระทู้นี้ ถามง่ายๆ ว่า ตกลง คติ ตามที่ท่านเข้าใจ เข้าใจแบบไหน + อ้างอิงอะไร แต่ที่เสนออะไรมากมาย ก็เพื่อ (พอมีเหตุผลไหม ลองพิจารณาดู) (๑) เสนอข้อมูล ให้ พิจารณากันให้ทั่วถึง แบบ เบริด์อายวิว แบบโหมโรง (๒) เพื่อให้กำหนด สภาวะธรรม ขณะอ่านคือ ตัวแสบที่ คือ สัญญาขันธ์ ที่ได้แก่..ความสำคัญหมายมั่นเพราะหมายรู้พร้อมได้ที่มีอยู่ในสิ่งใด อันเป็นอนุสัย (เมื่อ เกี่ยวข้องกับ อารมณ์ ในที่นี้คือ กระทู้นี้ หรือ คือเรื่อง คติ)มีชนิด ต่างๆ อันเป็นเครื่องทำความเนิ่นช้า แก่การละอนุสัย ตามมธุปิณฑิกสูตร นั่นแหละครับ ..ใครไม่รู้จักสภาวะนี้ แปลว่า ฯลฯ (๓) ข้อที่ ๒ นั่นแหละคือ เรื่องสติปัฏฐาน ณ ปัจจุบัน ขณะ แบบหนึ่ง (ตามแบบเซนเถรวาท ครับ) คือ มีสติ ตั้งที่ ฐาน คือ สัญญา ตามที่ตรัสในมธุปิณฑิกสูตร นั่นเอง ...ใครเป็นนักปฏิบัติ แล้วกลับไปสอบทาน จากพระโอษฐ์ ..ย่อม ส่งกลิ่น ให้ผม รับรู้ได้ ..ส่วนที่ยังใบลานเปล่า ก็รู้ได้ว่า สายไหน แบบไหน ฯ รู้ไม่ใช่เพื่ออะไรอื่น ..แต่ในฐานะเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย สาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้เหมือนๆ กัน (๔) ตรัสไว้ว่า ฉันทะราคะในขันธ์ใด ฉันทะราคะ คือตัวสังโยชน์ ดังนั้น ผมเอง ก็สามารถ สอบตนเองได้ว่า ยังมี ฉันทะราคะ หรือไม่ เรียกว่า ..มีท่านที่เข้ามาแสดงความเห็น เป็นครูสอบอารมณ์...โดยมีพระพุทะองค์คือพระบาลีแปลไทย เป้นประมุข ..น่าจะ = ไม่ประมาท ฯ สรุป คุณadial (adial)เสนอ คคห 13 แปลว่า มีฉันทะขั้นหนึ่ง ในการ สนทนาธรรม .... ที่อ้างอิงทั้ง ๒ ข้อ ..โดยเฉพาะข้อที่ ๒ ...ไม่ = คติ แปลว่า สถานที่ ที่ไป ของสัตว์....หรือครับ แต่ผมเสนอว่า คติ ไม่ใช่แปลว่า สถานที่ ที่ไป ของสัตว์....นะครับ อีกทั้งได้เสนอให้พิจารณา ตามที่ตรัสว่า อวิชชานั่นแหละ เป็นคติ ของสัตว์เหล่านั้น (คติ จึงแปลว่า เครื่องไป ไม่ใช่ ที่ ที่จะไป) กลับมาดู ข้อที่ ๒ อีกที 2. ที่ไปเกิดของสัตว์, ภพที่สัตว์ไปเกิด, แบบการดำเนินชีวิต มี ๕ คือ ๑. นิรยะ นรก ๒. ติรัจฉานโยนิ กำเนิดดิรัจฉาน ๓. เปตติวิสัย แดนเปรต ๔. มนุษย์ สัตว์มีใจสูงรู้คิดเหตุผล ๕. เทพ ชาวสวรรค์ ตั้งแต่ชั้นจาตุมหาราชิกา ถึงอกนิษฐพรหม นั้น กำหนด อวิชชานั่นแหละ เป็นคติ ของสัตว์เหล่านั้น ด้วยนะครับ ตกลง ที่ไปเกิด มันอยู่ ตรงไหนละครับ? .. สรุป ..คุณadial (adial) จะอธิบาย ข้อที่ ๒ อย่างไร? (คำถามใหม่ ไม่ใช่คำถามกระทู้แล้วนะครับ) ครับว่า คติ ที่หมายถึง "ที่ไปเกิดของสัตว์, ภพที่สัตว์ไปเกิด," นั้น จะอธิบายนแบบไหน คือ ในชีวิตประจำวัน ตราบจน ก่อนจะดีบจิต แล้ว หลังจากดับจิตคือตายเข้าโลง..แล้ว สอดคล้องกับ พุทธปัญญาคือ ไม่เป็นสัสสตทิฏฐิ ตรงตามที่ตรัสว่า อวิชชานั่นแหละ เป้น คติ ของสัตว์เหล่านั้น ไม่ งง นะครับ ลองพิจารณาเล่นๆ ครับ ดีกว่าดูหนังฟังเพลงมั๊งครับ ขอแสดงความนับถือ จากคุณ : เซนเถรวาท (F=9b) - [ 10 เม.ย. 50 10:35:04 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คุณเซนเป็นพระอริยบุคคลแล้วหรือ...?  จึงได้กล่าวอะไรอย่างนั้น...?   คุณจะเข้าใจโดยถือมั่นทิฏฐิเรื่องคติอย่างไร  ตัวคุณเองก็ยังต้องเวียนว่ายในวัฏฏะสงสารหลังตายแน่นอน  ทำไมไม่เข้าใจความเป็นจริงว่า  สัสสตะไม่ได้แปลว่าต้องไม่มีชีวิตหลังตาย(ตายแล้วเกิดอีก)หรือไม่ก็ทำเป็นไปสนใจเรื่องหลังตาย  การมีชีวิตหลังความตายเป็นความจริงอย่างหนึ่งของสัตว์ที่มีกิเลสอวิชชาเป็นเครื่องไป  ต่อให้ไม่พูด หรือทำเป็นไม่พูด  เลี่ยงไปใช้คำพูดแบบอื่น  คุณโชติเซนหรือใครๆ ที่ยังมีอวิชชาก็ยังต้องตายแล้วเกิดอีกอยู่นั่นเอง  เลิกยึดถือทิฏฐิตนเสียทีเถิด  คุณทำให้คนที่เขาไม่เข้าใจยิ่งงงกับกระทู้ที่คุณตั้งมากขึ้นอีก  ตัวคุณเองก็อธิบายแนวพุทธทาสนิยมแล้วก็มานั่งอ้างว่าถูกตรงพุทธพจน์  ถามว่าเมื่อคนมีกิเลสตายแล้วต้องเกิดอีก  คุณโชติเซนจะอธิบายชีวิตหลังความตายของคนมีกิเลสอย่างไร  เอาเฉพาะช่วงหลังตาย  คนมีกิเลสยังต้องเกิดอีก  เกิดได้อย่างไร  เกิดอีกเพราะอะไร  เกิดในภพภูมิอื่นๆ ได้อย่างไร  ลองตอบให้ชัดๆ แทนที่จะกล่าวแต่ประโยคซ้ำๆ เดิมๆ ว่าอวิชชาเป็นคติ  โดยไม่สามารถอธิบายคำกล่าวนี้ให้ชัดเจนในเรื่องชีวิตหลังความตายของสัตว์ที่ยังมีกิเลสอยู่...ขอให้ตอบชัดๆ ทีเถิด..... จากคุณ : สมถะ - [ 10 เม.ย. 50 21:24:50 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เรียน คุณเซนเถรวาทที่นับถือ              เจอคำถามของคุณ ผมต้องไปนั่งคิดอยู่ 3 รอบ        ผมขออธิบายเพิ่มความหมายที่ 2 ของคติ ที่แปลว่า  ที่ไปเกิดของสัตว์, ภพที่สัตว์ไปเกิด, แบบการดำเนินชีวิต....ผู้แปลน่าจะอาศัยคำว่า คติในที่ต่างๆ เช่น คำว่า ทุคติ และ สุคติ ในพระไตรปิฏก มาอธิบายความหมายของ คติ ให้ครบถ้วน         ส่วนที่ท่านเซนเสนอเพิ่มว่า อวิชชาเป็นคติของสัตว์เหล่านั้น โดยแปล คติว่าเป็นเครื่องไป....อวิชชาเป็นเครื่องไป นะพอฟังได้ ถ้าหมายถึงเงื่อนไขของเหตุปัจจัยให้เกิด ตัณหา อุปาทาน...ภพ ชาติ นั้นยังคงอยู่          แต่ถ้าให้คติ แปลว่า เป็นเครื่องไปด้วย จะสับสน (งง) เพราะคติไม่ได้เข้าไปประกอบหรือเป็นเงื่อนไขของจิตเลย คุณไปหาความหมายของคตินี้มาจากไหน ถ้าหาได้ ผมจะไปแจ้งลูกศิษย์ของเจ้าคุณประยุตต ให้ท่านเพิ่ม จากคุณ : adial (adial) - [ 12 เม.ย. 50 00:52:31 ]

ความคิดเห็นที่ 17 [๓๙๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าจะพึงมีผู้ถามว่า การพิจารณาเห็นธรรม เป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบเนืองๆ พึงมีโดยปริยายอย่างอื่นบ้างไหม ควรตอบ เขาว่า พึงมี ถ้าเขาถามว่า พึงมีอย่างไรเล่า พึงตอบเขาว่า การพิจารณาเห็น เนืองๆ ว่า ทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย นี้เป็นข้อที่ ๑ การพิจารณาเห็นเนืองๆ ว่า เพราะอวิชชานั่นเองดับไปเพราะ สำรอกโดยไม่มีเหลือ ทุกข์จึงไม่เกิด นี้เป็นข้อที่ ๒ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งธรรมเป็นธรรม ๒ อย่างโดยชอบอย่างนี้ ฯลฯ จึงได้ตรัส คาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า         อวิชชานั้นเอง เป็นคติของสัตว์ทั้งหลายผู้เข้าถึงชาติมรณะ         และสงสารอันมีความเป็นอย่างนี้ และความเป็นอย่างอื่น        บ่อยๆ อวิชชา คือ ความหลงใหญ่นี้ เป็นความเที่ยงอยู่สิ้น         กาลนาน สัตว์ทั้งหลายผู้ไปด้วยวิชชาเท่านั้น ย่อมไม่ไปสู่         ภพใหม่ ฯ ..... http://larndham.net/cgi-bin/tread.pl?start_book=25&start_byte=589393 จากคุณ : JitZungkabuai - [ 12 เม.ย. 50 20:16:53 ]

ความคิดเห็นที่ 18 (๑) คุณเซนเป็นพระอริยบุคคลแล้วหรือ...?  จึงได้กล่าวอะไรอย่างนั้น...?   สำคัญอะไรนักหนาครับคุณสมถะ เพราะไม่ว่า ผมจะเป็นอะไร หรือไม่เป้นอะไร ...คุณสมถะ เมื่อไม่มีเจโตปริยญาณ ย่อม เดา หรือเก็งความจริง เอาตาม กิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่คุรสมถะ มี หรือ ยังมี หรือ เท่าที่มี ..จริงไหมครับ ดังนั้น คำถามแบบนี้ บ่งชี้ สังโยชน์ตัวไหน กรุณาดูเอง นะครับ ที่สำคัญ ...ยังไม่ต้องบรรลุ หรือไม่ ก้ยังสามารถ วินิจฉัยได้ ด้วย สุตมยปัญญา + กาลามสูตร + สัมมาทิฏฐิขั้นที่ว่า ธรรมทั้งปวง อนัตตา ..วึ่งต้องสอดคล้องกับที่ตรัสว่า ธรรมทั้งปวงอันใครๆ ไม่ควรยึดมั่น(ว่าตัว ของตัว) (๒) เลิกยึดถือทิฏฐิตนเสียทีเถิด คุณสมถะ เองละครับ ที่เข้ามา เสนอ คคห 15  ..จะไม่ เลิกยึดถือทิฏฐิตนเสียทีเถิด เหมือนที่ เสนอถึงผมหรือครับ (๓) ตัวคุณเองก็อธิบายแนวพุทธทาสนิยม ข้อนี้ เป็นความเห้นส่วนตัวของคุณสมถะ ที่ ยังยึดมั่นถือมั่นว่า ผมอธิบายแนวพุทธทาสนิยม..แล้วคุณสมถะ ...แนวไหนนิยมครับ แล้ว อ้างพระพุทธวจนะ ไหมครับ ..ตกลง "เหมือน หรือ ต่างกันตรงไหนครับ" (๔) ลองตอบให้ชัดๆ แทนที่จะกล่าวแต่ประโยคซ้ำๆ เดิมๆ ว่าอวิชชาเป็นคติ (ของสัตว์เหล่านั้น ..ทำไม พิมพืหล่น ละครับ) โดยไม่สามารถอธิบายคำกล่าวนี้ให้ชัดเจนในเรื่องชีวิตหลังความตายของสัตว์ที่ยังมีกิเลสอยู่...ขอให้ตอบชัดๆ ทีเถิด..... ประโยคนั้น เป็นพุทธวจนะ ...ที่พระเถระท่านรักษาสือมา ..ไม่ใช่ อาจารวาทะ ใช่ไหมครับคุณสมถะ เซนเถรวาท แปลว่า เพ่ง ตามที่พระเถรวาท กล่าวว่า ไม่ใช่ เซนอาจารวาท คือ เพ่ง ตามที่พระอาจารย์ กล่าวว่า ตอบสั้นๆ นะครับ ..หวังว่า จะเข้าใจได้ เมื่อ ผมไม่ อาจารยวาทนิยม แต่เป็นเถรวาทนิยม ..จึงไม่ใช่ พุทธทาสนิยม ..ก็ต้อง เน้นยำพระพุทธวจนะ ที่ตรัสว่า อวิชชานั่นแหละ เป็นคติ ของสัตว์เหล่านั้น ถ้าเข้าใจไม่ได้ ก็เพ่งเอาเองซิครับ ผมไม่ได้ เข้ามาเพื่อ แสดงตนว่า รู้อะไร นะครับ ..เข้ามาแสดงความคิดเห็น + อ้างอิง ..ถ้า ใครสรุปว่า = รู้ นั่นเป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับผม   ที่สำคัญ ผมจะอธิบาย ก็ต่อเมื่อ "มีธาตุตรงกัน" เช่น ผมเป็นนักอานาปานสติสมาธิ มีอาจารย์คลำเป็นอาจารย์ มี แผนที่ คือ พระบาลีอานาปานสติสูตร ตามที่ท่านพุทธทาส เมตตา แปลไว้ให้ ..ซึ่งไม่มีเกจิอาจารญืใด แปล ...หรือมี บอกด้วย เพราะผมยังหาไม่เจอ แต่ไม่ประมาท นะครับ ..อยากเจอ เพื่อ ฯ สรุป ผมตอบคุณสมถะ ชัดๆ แล้ว ...แต่คุณสมถะ อาจะจะ รู้สึก รู้หมาย รู้คิด รู้แจ้ง แต่ยังไม่รู้ยิ่ง ยังไม่รู้พร้อม ยังไม่รู้วิเศษ ตรงตามที่พระพุทธองค์ทรงรู็ แล้ว ตรัสไว้ ตามที่ เถรวาท รักษาไว้ ..ก้จะเป็นปัจจัยว่า ผมยังไม่ได้ตาม ถ้าผมตอบอีกแบบว่า ..ผู้ใดเห็นธรรม (คือ อวิชชานั่นแหละ เป็นคติของสัตว์เหล่านั้น) ผู้นั้นเห็นเรา ..คุณสมถะ ก็อาจจะหมั่นใส้ยิ่งขึ้นไปอีก หรือยังจะถามว่า ..ุณเซนเป็นพระอริยบุคคลแล้วหรือ...?  จึงได้กล่าวอะไรอย่างนั้น... ไม่เป็นอะไร ดีที่สุดครับ ...แล้วก็ยังสามารรถ เสนอหรือกล่าว ตามที่กล่าวหรือเสนอนั้นได้ คุณ ภาษาไทย กำกวม หรือ? คำว่า..กำหนด อวิชชานั่นแหละ เป็นคติ ของสัตว์เหล่านั้น ด้วยนะครับ ตกลง ที่ไปเกิด มันอยู่ ตรงไหนละครับ? ..ผมไม่ได้สื่อสาร ตรงกับคำว่า "แต่ถ้าให้คติ แปลว่า เป็นเครื่องไปด้วย " นะครับ หมายความมว่า อวิชชานั่นแหละ เป็นคติ คือ เครื่องทำให้เป็น ไป สู่ อะไรเหล่านั้น ที่คือคำว่า ที่ไปเกิดของสัตว์, ภพที่สัตว์ไปเกิด "ด้วย" ..ไม่งง นะครับ บุญแค่ไหนแล้ว ที่ ในสมัยพุทธกาล ภาษาไทย ยังไม่มีใช้กัน จากคุณ : เซนเถรวาท (F=9b) - [ 12 เม.ย. 50 22:52:25 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ต่อ เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมี สังขารทั้งหลาย ฯลฯ ฯลฯ กองทุกข์ทั้งสิ้นย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ ปฏิจจสมุปบาท ๑๑ อาการนี้ = อวิชชา นั่นแหละเป็นคติของสัตว์(เหล่า)นั้น (ที่ยังไม่มีวิชชาอาสวักขยญาณ) ที่นี้ คำว่า ...ที่ไปเกิดของสัตว์, ภพที่สัตว์ไปเกิด, นั้น มันสามารถ อยู่ในลักษณะ เป็นสัสสตทิฏฐิ ได้ เพราะ ..อวิชชา นั่นแหละเป็นคติของสัตว์(เหล่า)นั้น ...."ด้วย" ไม่ งง นะครับ คุณadial (adial) (รู้ ไม่ต้องคิด เพราะคิด ไม่ใช่รู้) ส่วนจะรู้แบบไหน เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เช่น "รู้" (เพราะ)"เห็น" (ในฐานะอนุพุทธสาวก) (เพราะทำ) "เป็น" (ตามธรรมอันเอก จึง)"มี" จากคุณ : เซนเถรวาท (F=9b) - [ 12 เม.ย. 50 23:01:58 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณครับคุณเซนเถรวาท ผมเข้าใจความหมายของคำว่า เครื่องไป แล้ว แต่ความหมายของคำว่า ที่ไปเกิด นั้น ต้อง ยอมให้คำว่า คติ กินความกว้างกว่าความหมายเฉพาะ ของคุณเซนแล้วครับ ดังนั้น จะไม่ได้ข้อยุติ แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 50 01:20:33 จากคุณ : adial (adial) - [ วันมหาสงกรานต์ (13) 01:14:20 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ขอโทษที่ตอบช้าครับ ผมไม่ได้เสนอนะครับว่า คติ แปลว่า ที่ไปเกิด ความหมายว่า ที่ไปเกิด ผมก็ไม่ได้ บัญญัติเองด้วยนะครับ ผม ชี้ให้เห็นเหลี่ยมมุมว่า คติ เครื่องไปนั้น ถ้ามันเนื่องกับ ภพ ๓ ไม่ว่ากำหนดแบบไหน ต้องไม่ขัดกับ อนัตตา แล้วก็ต้องไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ คือสัสสตทิฏฐิ ครับ จากคุณ : เซนเถรวาท (F=9b) - [ 16 เม.ย. 50 14:54:09 ]