ความคิดเห็นที่ 1 ตรงไหน จากคุณ : Go2Better - [ 8 เม.ย. 50 22:21:59 ]

ความคิดเห็นที่ 2              พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงยกปฏิจจสมุปบาทขึ้นพิจารณา http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=10&A=0&Z=1454#39                 ควรพิจารณา มหาปเทส 4              คำว่า มหาปเทส 4 http://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=มหาปเทส_4              วาทะของครูทั้ง ๖ ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ                    วาทะของศาสดาปูรณะ กัสสป                    วาทะของศาสดามักขลิ โคศาล                    วาทะของศาสดาอชิตะ เกสกัมพล                    วาทะของศาสดาปกุธะ กัจจายนะ                    วาทะของศาสดานิครนถ์ นาฏบุตร                    วาทะของศาสดาสญชัย เวลัฏฐบุตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=9&A=1171&w=วาทะของ              บุคคลผู้ปรารถนาความสุขแก่ตนเอง พึงสอบทานทิฏฐิของตน โดยความซื่อตรงต่อตนเองว่า เข้ากันได้กับทิฏฐิใดทิฏฐิหนึ่ง หรือหลายทิฏฐิ ในวาทะของครูทั้ง ๖ เหล่านี้ หรือไม่              หากเห็นว่า เข้ากันได้ สอดคล้อง คล้อยตาม พึงสละทิฏฐิเหล่านั้นเสีย การสละทิฏฐิเหล่านั้น จะเป็นประโยชน์ต่อผู้สละเอง              หากเห็นตามความเป็นจริงว่า ไม่เข้ากัน ไม่สอดคล้อง ไม่คล้องตามทิฏฐิ อันเป็นในทางผิด ก็พึงยินดีได้ในระดับหนึ่งว่า เราไม่ยินดีมิจฉาทิฏฐิเหล่านั้น. แนะนำ :-              อ่าน และค้นพระไตรปิฎก ๔๕ เล่ม              อรรถกถาชาดกทั้งหมด ๕๔๗ เรื่อง              พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์              พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/              พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม              สารบัญประเภทธรรม http://84000.org/tipitaka/dic/d_type_index.php?                              หมวดหนังสือธรรมะ http://84000.org/tipitaka/book/              เรื่อง ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ http://84000.org/tipitaka/book/bookpn02.html              เรื่อง สิ่งที่เป็นมงคล (มงคล ๓๘) http://84000.org/tipitaka/book/bookpn06.html              เรื่อง ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก http://84000.org/tipitaka/book/bookpn01.html              เรื่อง                   ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก                   การใช้ทรัพย์ ๕ ประการ                   มหาทาน                   ทานของสัตบุรุษนัยที่ ๑                   ทานของสัตบุรุษนัยที่ ๒                   กาลทาน ๕ อย่าง                   ให้ทานในที่ใดมีผลมาก                   ทานที่เจาะจงและไม่เจาะจง ๒๑ ประเภท                   สังฆทาน ๗ ประเภท                   ถวายภิกษุรูปเดียว ก็เป็นสังฆทาน                   ทัททัลลวิมาน-แสดงอานิสงส์ของสังฆทาน                   เรื่องเศรษฐีเท้าแมว                   ความบริสุทธิ์แห่งทักษิณาทาน ๔                   อานิสงส์ของทาน ๕ อย่าง                   ทานที่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์มาก ๖                   ทานที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ๑ http://84000.org/tipitaka/book/bookpn01.html จากคุณ : ฐานาฐานะ - [ 8 เม.ย. 50 22:22:55 ]

ความคิดเห็นที่ 3 การที่คุณจะบอกว่าท่านบิดเบือนพระไตรปิฎก แสดงว่าคุณเข้าใจว่าพระไตรปิฎกหมายความว่าอย่างไร คุณก็ตีความเหมือนกัน คุณอาจจะบิดเบือนก็ได้นี่นา จากคุณ : sirnifti - [ 8 เม.ย. 50 22:26:59 ]

ความคิดเห็นที่ 4 (๑)อ่านหนังสือของท่านพุทธทาสให้เพียงพอ (อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 100 เล่ม) ็ก็จะไม่ต้องตั้งกระทู้ถามแบบที่ตั้ง ครับ (๒) แปลพระบาลีพุทธวจนะ ได้อย่างที่ท่านพุทธทาสแปลไว้ เสียก่อน แล้วค่อย เสนอว่า ...คุณมีความคิดเห็นอย่างไรกับการตีความพระไตรปิฎกของท่านพุทธทาสบ้างคะ (๓) เจริญสมาธิภาวนา(ตามหลักฐาน คือลายมือที่ท่านเขียนเองเมื่อ พ.ศ.2477)ได้อย่างที่ท่านพุทธทาสท่านเจริญ เสียก่อน แล้วค่อย เสนอว่า ...โดยส่วนตัวผมคิดว่า.....คำสอนของท่านในยุคหลังๆ เสมือนการบิดเบือนคำสอนพุทธศาสนาให้ผิดเพี้ยนไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้า   รู้สึกเหมือนจะเปลี่ยนคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เป็นคำสอนของศาสนาอื่น จากคุณ : เซนเถรวาท (F=9b) - [ 8 เม.ย. 50 22:34:01 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ไม่เห็นเป็นเช่นนั้น จากคุณ : ตาแช่ม - [ 8 เม.ย. 50 22:36:35 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อย่าไปมองโลกในแง่ร้ายอย่างนั้นเลยครับ เอาเป็นว่าท่านพยายามปรุงธรรมให้เสพได้สำหรับคนต่างศาสนิก ซึ่งผมถือว่าเป็นมิติใหม่สำหรับคำสอนในพุทธศาสนา แต่สำหรับผมเองแล้ว คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นของลึกซึ้งแต่เข้าถึงง่าย ท่านสอนชัดเจนเรื่องนรกสวรรค์ พระองค์ไหนสอนไม่ตรงหรือจะพยายามตีความให้เป็นปรัชญาสนองนโยบายใครก็แล้วแต่ ผมก็เคารพ แต่คงจะไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่ครับ จากคุณ : ไม่สูบไม่ดื่ม - [ 8 เม.ย. 50 22:42:15 ]

ความคิดเห็นที่ 7 สิ่งที่ผมคิด หรือคนอื่นๆคิด มันสำคัญมากตรงไหนหว่า? จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง - [ 8 เม.ย. 50 22:48:08 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ผมขอบอกตรงๆๆ นะครับว่าหนังสือของท่านพุทธทาส แต่งเหมาะสำหรับ คนต่างศาสนา มากกว่า แต่สำหรับคนที่นับถือพุทธอยู่แล้วจะต้องอ่านหนังสือของท่านมา มากๆๆ ถึงจะรู้ว่าท่านคิดอะไรอยู่ ผมเชื่อนะครับว่าท่าน เป็นพระอรหันต์ แน่นอน จากคุณ : muk_22 - [ 8 เม.ย. 50 23:09:37 ]

ความคิดเห็นที่ 9 พระอาลาหันหละสิท่า....เก่งสุดขีดถึงขั้นจูงควายหมดพยศไปนิพพานได้เฉยเลย... โอ้แม้เจ้าพระเจ้าจอร์ชมันยอดมากเลย....วัว ควาย ก็นิพพานได้แบบนี้ท่านทาสภิกขุคงจาเป็งอาลาหันชัวร์ครับ จากคุณ : XLmen - [ 8 เม.ย. 50 23:29:24 ]

ความคิดเห็นที่ 10 กรรม .................. ....................(ไม่แบ)จริงๆ ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 8 เม.ย. 50 23:46:16 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ตรงไหน จากคุณ : Go2Better - [ 8 เม.ย. 50 23:55:00 ]

ความคิดเห็นที่ 12 อะไรนะ คคห 9 นะ จากคุณ : ตาแช่ม - [ 9 เม.ย. 50 00:03:26 ]

ความคิดเห็นที่ 13 "เรื่องปฏิจจสมุปบาท ที่ท่านไม่เชื่อเรื่องชีวิตหลายภพหลายชาติ  แต่ตีความให้เข้าทางศาสนาคริสต์ว่าคนเราเกิดมามีชาติภพเดียวเท่านั้น" ช่วยนำข้อความที่คุณคิดว่าเป็นเช่นนั้นมาแสดวงให้ดูหน่อยครับ จากคุณ : นายไวรัส - [ 9 เม.ย. 50 00:39:17 ]

ความคิดเห็นที่ 14 มรดกที่ ๑๐๑. ชาติในปฏิจจสมุปบาท คือ การเกิดทางจิต - ทางวิญญาณ อันจะมีขึ้น ทุกคราว ที่มีความรู้สึกเป็น ตัวกู - ของกู เกิดขึ้นมาในจิต และเป็นทุกข์ทางใจ อย่างหนักหน่วง ทุกคราวที่เกิด; ส่วนชาติทางกายนั้น มีครั้งเดียว มีครั้งเดียว จนกว่าจะเข้าโลง และ มีทุกข์ทางกาย พอสถานประมาณ ไม่ทรมานมาก เหมือนทางจิต มรดกที่ ๑๐๖. อนันตริยสมาธิ เป็นสิ่งที่ควรรู้จัก ในฐานะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเอง อย่างเพียงพอ ทุกคราวที่เรามีความต้องการ และทำอะไร ด้วยสติปัญญา สัมมาทิฎฐิอย่างเต็มที่ แต่ไม่มีใครสนใจ. http://www.buddhadasa.com/heritage/heritage11.html มรดกที่ ๑๓๐. โดยปรมัตถ์แล้ว ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครอยู่ ไม่มีใครตาย มีแต่ กระแสแห่งสังขาร การปรุงแต่ง ตามกฏอิทัปปัจจยตา ของธาตุ ตามธรรมชาติ เมื่อไม่มีใครตาย แล้วจะมีใครไปเกิด ดังนั้น ---->ตามหลักพุทธศาสนา จึงไม่มีวิญญาณนี้ หรือ วิญญาณไหนสำหรับไปเกิดใหม่, <---- เว้นเสียแต่จะพูด โดยภาษาคน ของมนุษย์ ในสมัยที่ ยังไม่มีความรู้เรื่องนี้ แล้วก็พูดตามๆ กันมา. http://www.buddhadasa.com/heritage/heritage13.html นิพพานของสัตว์เดรัจฉาน สุนัข วัว ควาย หมู หมา กา ไก่ ช้าง ม้า อะไรก็ตามแต่ ; ถ้าสัตว์ตัวใดถูกมนุษย์เอามาฝึกจนหมดพยศร้ายโดยสิ้นเชิง ; ความหมดพยศร้ายนั้นท่านเรียกว่านิพพาน, ---->นิพพานของสัตว์เดรัจฉาน คือความที่พยศร้ายดับหมดสูญสิ้นไป เรียกว่า นิพพานของสัตว์เดรัจฉาน, คือหมดพยศ.<---- http://www.buddhadasa.org/html/life-work/dhammakot/37-dhammabutra/03.html มรดกที่ ๑๒๑. การจัดพระไตรปิฏก เท่าที่มีอยู่ทั้งหมด ให้เหมาะสม สำหรับยุคปรมาณู โดยเฉพาะ คือ --->ชักออก ๓๐% สำหรับนักศึกษาปัญญาชน, ---->ชักออกอีก ๓๐% สำหรับนักวิทยาศาสตร์ และนักโบราณคดีตัวยง; --->ที่เหลืออยู่ ๔๐% เป็นเรื่องดับทุกข์โดยตรง ก็ยังมากกว่า คัมภีร์ในศาสนาอื่นๆ อีกมากมาย หลายเท่า. ทั้งหมดนี้ มิได้เป็น การจ้วงจาบ พระไตรปิฏก แต่เป็นการปรับ ให้เหมาะสม สำหรับยุค. http://www.buddhadasa.com/heritage/heritage13.html เออหนอ....ทิฐิแปลกๆ ของพระเด็กเสือไก่อาลาหันจริงๆ นะเนี่ย เหอะๆๆ แปลกแต่จริงอาลาหันชวนคนชักพระไตรปิฎกออกแบบชิวๆ ซะแล้วไหมหละ หุหุหุ ทำไปได้ จากคุณ : XLmen - [ 9 เม.ย. 50 01:40:48 ]

ความคิดเห็นที่ 15 อ๋อ... แล้วขัดกับพระไตรปิฎกตรงไหนล่ะครับ หามาให้ด้วย จากคุณ : Go2Better - [ 9 เม.ย. 50 03:13:11 ]

ความคิดเห็นที่ 16 มาทำความเข้าใจตรงนี้หน่อย มรดกที่ ๑๓๐. โดยปรมัตถ์แล้ว ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครอยู่ ไม่มีใครตาย มีแต่ กระแสแห่งสังขาร การปรุงแต่ง ..... .................................................... อวิชชาปัจจะยาสังขารา.....อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ตราบใดที่ละอวิิชชาไม่ได้ สังขารจึงยังคงเกิดขึ้น การปรุงแต่งเกิดขึ้น...กระแสปฏิจสมุปบาทก็ยังคงเกิดขึ้นต่อไปจน....ชาติ ชรา มรณะ...โสกปริเทวะ แตู่้ตราบใดที่ละอวิชชาไม่ได้ กระแสแห่งสังขาร การปรุงแต่งก็ยังคงเกิดต่อเนื่องไปไม่หมดสิ้น จะมีใครเกิดใครตายหรือครับ มันก็ยังวนตามกระแสฯ จากคุณ : Go2Better - [ 9 เม.ย. 50 03:36:09 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขออภัย ที่อธิบายข้างบน เผื่อว่า ผู้สนใจศึกษาธรรมบางท่านอาจจะได้เข้าใจ สำหรับคุณ XLmen เรื่องปฏิจจสมุปบาทอาจยังเข้าใจยากเกินไปนะ แนะนำว่าควรเริ่มด้วยเรื่อง กายเราประกอบไปด้วยขันธ์ 5 ก่อนครับ จากคุณ : Go2Better - [ 9 เม.ย. 50 03:55:01 ]

ความคิดเห็นที่ 18 หนังเรื่องเดิม กับคนเดิมๆ ผมว่า   ท่านไม่ค้านพระไตรปิฎกนะ   จริงๆอย่างที่คุณmuk_22 บอกคือ  ต้องอ่านงานของท่านเยอะๆจริงๆ    ถึงจะรู้ว่าท่านคิดอย่างไร อย่างว่า   ปัญญาวิมุท   กับ   เจโตวิมุท    เอามาปนกันไม่ได้นะครับคุณ XLmen จากคุณ : mamarine - [ 9 เม.ย. 50 07:15:30 ]

ความคิดเห็นที่ 19 จะไปเอาอะไรกับ XLmen ....... เขาเป็นอย่างนี้มานานแล้ว คงแก้ยาก ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 9 เม.ย. 50 08:07:57 ]

ความคิดเห็นที่ 20 อะไรดีพระท่านก็ว่าดี อะไรไม่ดีพระท่านก็คงบอกว่าไม่ดีเช่นกันมั๊งครับ ตามความรู้สึกผมนะครับ จขกท.คิดมากไปแล้วครับ คำสอนใด ๆ ถ้าดี การยึดมาปฏิบัติคงไม่เสียหายอะไรมั๊งครับ จากคุณ : yuyu (YUYU-001) - [ 9 เม.ย. 50 08:22:34 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เมื่อรู้แล้วก็จงช่วยกันระวังให้ดี ศาสนาไม่เคยเสื่อมแต่คนเสื่อม จากคุณ : ปาณสิน - [ 9 เม.ย. 50 08:31:34 ]

ความคิดเห็นที่ 22 อ่าน คคห 9 อ่าน คคห 19 ก่อให้เกิดคำถามนี้ ดังนี้ จำได้ในกระทู้เก่าๆ แต่ลืมแล้วว่ากระทู้ไหน จำได้ว่า คุณXLmen เป็นศิษย์แห่งวัดสระเกส ...มีอุปัชฌาจารย์ คือภิกษุสงฆ์ผู้ขานนาคบวชในธรรม วินัยของพระพุทธเจ้า แล้วได้สมณศักดิ์ฝ่ายโลกชั้น สมเด็จ อะไร ฯลฯ ผมจำไม่ได้แล้ว)......ผมจำผิดไหมครับ (ไม่ใช่คำถามนะครับ แต่ถ้าผิด จะแก้ให้ถูก ก็ขอบคุณครับ) ไม่ว่า จำผิด หรือจำไม่ผิด โบราณเขามีคำอุปมาไว้มากมายเช่น "ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น" --- "แม่ปูสอนลูกปูให้เดินให้ตรง" ฯลฯ ดังนั้น ศิษย์พระตถาคต (ไม่ใช่ศิษย์ของใครอื่น) สมควร เป็นอยู่โดยชอบคามที่ตรัสไวเ เพื่อ "ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น" แต่ไม่ใช่ "แม่ปูสอนลูกปูให้เดินให้ตรง"..จริงไหมครับ หมายเหตุ ท่านพุทธทาส มีคุณูปการ หนึ่งแก่ พระพุทธศาสนาในสยามประเทศไทย (ที่แบ่งเป็น ๒ คณะใหญ่ คือ คณะที่แปลบาลีเ็ป็้นไทยว่า นั่งในอาสนะถูก แปลอย่างอื่นผิด กับคณะที่แปลว่านั่งบนอาสนะถูก แปลอย่างอื่นผิด) ..คือ แปลพระบาลีพุทธวจนะ เรียบเรียงหมวดธรรมเป็นหมวดหมู่ ชนิดที่ "พระพุทธโฆษาจารย์ก็ดี หรือ ฯลฯ ก็ดี "ไม่ได้ทำไว้" (ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด อะไรนะครับ) โดยเฉพาะเรื่อง ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ กับ อภิธรรมคืออะไร ฯลฯ อภิธรรมนั้น ดูเหมือนว่า วัดสระเกศ เป็นวัดหนึ่งที่นิยมสอนอภิธรรมฯ การที่ท่านพุทธทาส เสนอ อภิธรรมคืออะไร ..น่าจะเป็นเหตุปัจจัย ทำให้ "ความหลงเพลินเมาหมกในอภิธรรม เบาบาง จางคลาย (เรื่องนี้เกิดมาหลายสิบปีแล้ว).... แล้วเกี่ยวอะไรกับวัดนั่นวัดนี้  (วัด ประกอบด้วยกุฎิ+ ภิกาษุสมมุติสงฆ์ และหรืออริยสาวกฯ) เกี่ยวไม่เกี่ยว ..ดูที่ การกระทำทางกาย วาจา ใจ (ดูยากหน่อย)ที่เกิดจาก "เจตนา คือกรรม" (ยิ่งดูยาก) ...ดังที่ หลายๆ ท่าน ได้แสดงความคิดเ็ห็นเช่น คคห 17 /18 / 19 เทียบกับ คคห 9 ฯ   สรุป กระทู้ใด ที่มีลีลา อะไรๆ กับท่านพุทํทาส น่าจะมีมูลมาจาก "ชาวพุทธผู้วิสุทธิมัคค์นิยม" กับ "ชาวพุทธผู้อภิธรรมนิยม" สาธุ กับ คคห 21 ที่เสนอว่า ...ศาสนาไม่เคยเสื่อมแต่คนเสื่อม ที่สำคัญ คนที่จะบวชสมัยนี้ ไม่เข้าใจว่า การเกิดใหม่ เป็นพุทธบุตร ด้วยการบรรพชาในธรรมวินัยของพระพุทธองค์นั้น "ประเสริฐสูงส่งเพียงใด" เมื่อเทียบกับสมัยพุทธกาล ....เช่น กรณีพระสารีบุตร ที่มีอาจารย์คือ พระอัสสชิ...อาจหาญ ออกจากอาจารย์ สำนัก เดิม ...บวชอุทิศแก่พระพุทธศาสดา ..สมควรเอาเยี่ยงอย่าง... จากคุณ : F=9b - [ 9 เม.ย. 50 09:14:20 ]

ความคิดเห็นที่ 23 บอกตรงๆ.... ในโลกนี้มีพระสงฆ์ที่ผมศรัทธาเพียงไม่กี่องค์ ท่านพุทธทาสภิกขุ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ หลวงพ่อปยุต ...อาจจะยังมีอีกเพียงแต่ผมยังไม่พานพบ... ก่อนจะเลื่อมใสศรัทธาผมจะดูแนวทางคำสอนและการปฏิบัติของท่าน..ไม่รีบร้อน..ดูไปนานๆ..ยิ่งนานเท่าใดก็ยิ่งดี.. อดีตเป็นบทเรียน ปัจจุบันทำให้ดีที่สุด อนาคตก็เป็นเพียงวันต่อไป ตายไปแล้วคงทำดีทำชั่วต่อไปหาได้ไม่ เก้าสิบกว่าเปอร์เซนต์...ไม่เข้าใจ..ยังเข้าไม่ถึง บางคนเข้าใจแล้ว..แต่ยังเข้าไม่ถึง..(ยังติดอยู่ในโลก) น้อยคนจริงๆ..ที่เข้าใจและเข้าถึง จากคุณ : tanapol1962 - [ 9 เม.ย. 50 09:17:35 ]

ความคิดเห็นที่ 24 อย่าไปปรามาสท่านเลยครับ คุณ XLmen เราอาจไม่เข้าใจระดับความคิดของท่านก็ได้ครับ ท่านเป็นสหายธรรมกับ พระปัญญานันทภิกขุ นะครับ ระดับท่านเป็นปราชญ์ธรรม นะครับ.. อย่างน้อยความตั้งใจของท่านเป็นสิ่งดีครับที่ทำให้คนพยายาม เข้าใจพระศาสนามากขึ้น  ดีกว่า  วัดอื่น ๆ ที่บ้าเน้นขายวัตถุปลุกเสก มอมเมาชาวบ้าน... ครับ จากคุณ : pugpuppy - [ 9 เม.ย. 50 09:33:12 ]

ความคิดเห็นที่ 25 XLmen เท่าที่ยกมา แสดงว่าคุณไม่เข้าใจปฏิจจสมุปบาท จริงๆด้วย เพราะเท่าที่ท่านพระพุทธทาสอธิบายมานั้นชัดเจนดี และผมก็ไม่เคยอ่านนะ แต่เมื่อศึกษาศาสนาพุทธในเรื่องนี้แล้ว มันต้องเป็นอย่างที่ท่านว่าอยู่แล้วละครับ อ้อ.. ระวังเรื่องสำนึกของมนุษย์ด้วย มันแคบครับ จากคุณ : sirnifti - [ 9 เม.ย. 50 10:31:31 ]

ความคิดเห็นที่ 26 น้ำชาล้นถ้วย  คือ เติมน้ำใหม่ลงไปไม่ได้อีก ท่านว่าน้ำชาล้นถ้วย น้ำเก่ามันเต็มอยู่แล้ว  แต่พอเอาน้ำใหม่ไปเติม มันล้น อ้ะ จากคุณ : นะยะ - [ 9 เม.ย. 50 11:21:00 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ที่ชาวคริสต์เขาชอบ ท่านพุทธทาส  น่าจะมาจากการอธิบายนรก สวรค์  ในแบบขณะจิต ก็ได้  ทำให้สามารถเข้ากับความเชื่อเดิมของชาวคริสต์ แต่เรื่องเรื่องนรก สวรรค์ ที่ต้องเวี่ยนว่ายตายเกิด หลังตายเข้าเมรุ  ที่ระบุในพระไตรปิฏก  ท่านก็ไม่ได้ปฏิเสธ  ผมมีหลักฐานว่าท่านยืนยันว่าไม่ได้ยกเลิก เรื่องการเวี่ยนว่ายตาย หลังตาย    แต่ตอนนี้ไม่ได้มีอยู่ในมือ บวกกับหนังสือ ของท่าน  ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ   ทำให้ชาวตะวันตกที่ได้ศึกษา งานของท่าน เกิดความเข้าใจ  หันมาให้ความสนใจ การแสดงธรรม ของท่านพุทธทาส  กันอย่างแพร่หลาย     ชาวตะวันตก  หลายท่าน ถึงกับเปลี่ยนศาสนามาเป็นพุทธก็มี การกล่าวหา  ว่าท่านพุทธทาสมีทิฐิ แบบที่เจ้าของกระทู้กล่าว  ควรมีหลักฐานจาก การสอนของท่านมาแสดงว่า  ท่านไม่เชื่อเรื่องชีวิตหลายภพหลายชาติ  แต่ตีความให้เข้าทางศาสนาคริสต์ว่าคนเราเกิดมามีชาติภพเดียวเท่านั้น การฟังเขามา จับโน่นนิดนี่หน่อย  มาสรุปว่าเป็นทิฐิของท่าน  มันดูแคบไปนะครับ จากคุณ : taken01 - [ 9 เม.ย. 50 11:35:36 ]

ความคิดเห็นที่ 28 อย่ากล่าวหาแบบเลื่อนลอย ไม่เป็นผลดีกับใครเลย ศีกษาและปฏิบัติให้มากแล้วจะรู้เอง จากคุณ : ksks (kongsilp2000) - [ 9 เม.ย. 50 11:38:06 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ไม่อยากจะบอกเลยหนังสือ เกี่ยวกับธรรมะแรกๆๆ ที่ผมอ่านก็คือของท่าน หลวงพ่อพุทธทาส ผมไม่รู้หรอกว่าคนอื่นจะคิดยังไง แต่เท่าที่ผมอ่านมา ผมชอบเวลาที่ท่านอธิบาย เกี่ยวกับธรรมะ มันเสียวแทงเข้าหัวใจ ดีออก จากคุณ : muk_22 - [ 9 เม.ย. 50 12:21:10 ]

ความคิดเห็นที่ 30 มรดกที่ ๒. ปณิธาน ๓ ประการ ควรแก่ผู้ที่เป็นพุทธทาสทุกคน ถือเป็นหลักในการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์แก่โลก คือ   ๑. พยายามทำตนให้เข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตนๆ ๒. พยายามช่วยกันถอนตัวออกจากอำนาจของวัตถุนิยม ๓. พยายามทำความเข้าใจระหว่างศาสนา มรดกที่ ๓. ปณิธานข้อแรก คือ การทำให้ทุกคน เข้าถึง หัวใจของพุทธศาสนา เพื่อให้เกิด การปฏิบัติดี-ตรง-เป็นธรรม-สมควรแก่ การหลุดพ้น เพื่อสนองพุทธประสงค์ โดยตรง ได้อย่างแท้จริง มรดกที่ ๔. ปณิธานข้อที่สอง คือ การทำโลก ให้ออกมาเสียจาก อำนาจของวัตถุนิยม หรือ รส อันเกิดจาก วัตถุทางเนื้อหนังนั้น ควรเป็นกิจกรรม แบบสหกรณ์ ของคนทุกคนในโลก และทุกศาสนา เพื่อโลกจะเป็นโลก สะอาด-สว่าง-สงบ จากสภาพที่เป็นอยู่ ในปัจจุบัน มรดกที่ ๕. ปณิธานข้อที่สาม คือ การทำความเข้าใจ ระหว่างศาสนา นี้เป็นสิ่งจำเป็น ต้องทำ เพราะโลกนี้ ต้องมีมากศาสนา เท่ากับ ชนิดของคนในโลก เพื่อจะอยู่ร่วมโลกกันได้ โดยสันติ และทุกศาสนา ล้วนแต่สอน ความไม่เห็นแก่ตัว จะต่างกันบ้าง ก็แต่วิธีการณ์ เท่านั้น จากคุณ : dragon03 - [ 9 เม.ย. 50 13:01:39 ]

ความคิดเห็นที่ 31 โอหละหนอสาวกท่านทาสภิกขุช่างมีดวงตามืดบอดปกป้องอาจารย์ตนจนสิ้นคิดในธรรมะของพระพุทธเจ้าขนาดนี้เชียวหรือครับ ลองอ่านทวนใหม่อีกรอบดีกว่าครับ....(สาวกผู้ขี่ควายหมดพยศเดินเข้านิพพาน) v v "ส่วนชาติทางกายนั้น มีครั้งเดียว มีครั้งเดียว จนกว่าจะเข้าโลง" : จาก ทาสภิกขุ (ผู้เอออวยพระพุทธเจ้า) จากประโยคด้านบนขอถามสาวกท่านทาสภิกขุว่าชาติทางกายมีเพียงครั้งเดียวจริงหรือไม่ ? ประโยคนี้ตรงตามพุทธวจนะอย่างไรจงชี้แจง ? .......................................................................................................................................................... คำว่า "อนันตริยสมาธิ"  มีอยู่ในพระสูตรบทไหนตรงตามพุทธวจนะจากพระโอษฐ์อย่างไรจงแสดงหลักฐานในฐานะสาวกแห่งองค์ทาสภิกขุ หรือในฐานะแห่งพุทธบริษัท ๔ มาแสดงด้วย ? .......................................................................................................................................................... ---->ตามหลักพุทธศาสนา จึงไม่มีวิญญาณนี้ หรือ วิญญาณไหนสำหรับไปเกิดใหม่, <---- ^ ^ ประโยคนี้แตกต่างอะไรกับอุจเฉททิฐิ หรือตายแล้วสูญหละครับ....ตกลงทิฐิแบบนี้ยังคงจะเชื่อว่ามีภพ ชาติ ชรา แบบเวียนว่ายตายเกิดได้อยู่อีกหรือครับท่านสาวกเดินตามควายหมดพยศไปนิพพาน .............................................................................................................................................................. "นิพพานของสัตว์เดรัจฉาน"  มีด้วยหรือในพระไตรปิฎก ถ้ากล่าวโดยอุปมายังพอจะรับฟังได้ แต่ถ้ายืนยันนั่งยันนอนยันว่าสัตว์ก็มีนิพพานหรือนิพพานได้ขอถามว่าทิฐิแบบนี้วิปลาสหรือไม่....ขอสาวกท่านทาสภิกขุจงแสดงหลักฐานว่าสัตว์ก็นิพพานได้นำมาแสดงด้วย .............................................................................................................................................................. อ้อและข้อสุดท้ายขอถามครับว่าท่านสาวกท่านทาสภิกขุที่มีรสนิยมชอบขี่ควายหมดพยศไปนิพพานโดยมากพวกท่านนิยมถอดถอนพระไตรปิฎกชักออกกี่ % หละครับ และโดยมากพวกท่านนิยมฉีกหรือชักพระไตรปิฎกบทไหนออกมากที่สุดหละครับ 555+ ปล. คตินิยมชักพระไตรปิฎกน่าขันยิ่งนักที่สาวกยังเอออวยใส่ไคร้พระพุทธองค์ได้อย่างตาใสๆ เหอะๆๆ จากคุณ : XLmen - [ 9 เม.ย. 50 13:39:14 ]

ความคิดเห็นที่ 32 นี่แหละครับ บิดเบือนตัวจริงล่ะ แล้วก็สั่งสอนมาเป็นอย่างนั้นด้วย น่ากลัวนะครับท่านพุทธทาส จากคุณ : ขลุ่ยอู้ - [ 9 เม.ย. 50 14:16:09 ]

ความคิดเห็นที่ 33 อย่าเพิ่งคิดอย่างนั้นครับ... งานเขียนยุคแรกของท่านสมัยท่านยังหนุ่ม นั้นทำให้หลายคนเข้าใจผิดได้ครับ คนไปจับเอาแต่ด้านที่ท่านเสนอ...  แล้วไปตีคำเอาเองครับ ลองไปหาหนังสือ ปฏิจจสมุปบาทของท่านมาอ่านดูสิครับ ... ท่านตอบได้สองแบบ ส่วนที่ท่านไม่บอกเรื่องคร่อมภพชาติอะไร เพราะว่า ท่านอยากให้คน ไม่มองว่า พุทธศาสนาเชื่อในหลายภพชาติแบบ ศาสนาพรามณ์ อะไรนั่น... หลัง ๆ ท่านเองอาจจะเข้าใจมากขึ้น... ก็ปรับไปครับ ...ลองดูที่ท่าน สนธนาธรรมกับพระอาจารย์อื่น ๆ  ก็พบว่าท่านเป็นปราชญ์จริง ๆ นะครับ จากคุณ : pugpuppy - [ 9 เม.ย. 50 14:39:11 ]

ความคิดเห็นที่ 34 คำว่า "อนันตริยสมาธิ"  มีอยู่ในพระสูตรบทไหนตรงตามพุทธวจนะจากพระโอษฐ์อย่างไรจงแสดงหลักฐานในฐานะสาวกแห่งองค์ทาสภิกขุ หรือในฐานะแห่งพุทธบริษัท ๔ มาแสดงด้วย ? ผมจะเสนอหลักฐาน ให้คุณXLmen ได้เห็น นะครับ ไม่พอใจสำนวนแปลของท่านพุทธทาส ก็แปลเอง ถ้าแปลได้ หรือขอให้ผู้่อื่นแปลให้ หลักฐาน จากอริยสัจจากพระโอษฐ์ โดยท่านพุทธทาสภิกขุ ไม่ใช่โดย ใครอื่น โดยเฉพาะ คุณXLmen ที่หน้า  ๑๔๒๘ ท่านพุทธทาสแปลมาจาก -จตุกก. อังคุตรนิกาย เล่มที่ ๒๑/หน้า ๒๐๖/ข้อที่ ๑๖๓ พระสูตรนี้ ตรัสเกี่ยวกับ ปฏิปทา เพื่อสิ้น อาสวะ ๔ แบบ ก. แบบปฏิบัติลำบาก ประสบผลช้า ภิกษุ ...ฯลฯ... เพราะเหตุที่อินทรีย์ทั้งอ่อน ... ง. แบบปฏิบัติสบาย ประสบผลเร็ว ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีนี้ ภิกาุ เพราะสงัดจากกามและ ฯลฯ...จึงบรรลุ ปฐมฌาน...ทุติยฌาน ....ตติยฌาน...จตุตถฌาน ...แล้วแลอยู่ ภิกษุนั้นเข้าไปอาศัยธรรมเป็นกำลังของพระเสขะ ๕ ประการเหล่านี้อยู่ คือ สัทธาพละ หิริพละ โอตตัปปะพละ วิริยพละ ปัญญาพละ แต่อินทรีย์ ๕ ประการเหล่านี้ของเธอนั้น (อนัตตาเด้อ) ปรากฎว่ามีประมาณยิ่ง คือสัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สติตทรีย์ สมาธินทรีย์ (สมาธิใช่ไหม?) ปัญญินทรีย์ เพราะเหตุที่อินทรีย์ทั้งหเาเหล่านี้มีประมาณยิ่ง ภิกาุนั้นจึง บรรลุ อนันตริยกิจ (กิจอะไร? เมื่อพิจารณา กับ สัมมัตตะ ๑ๆ ตามที่ตรัสไว้) เพื่อความสิ้น อาสวะ ได้เร็ว นี้เรียกว่า ปฏิบัติสบาย รู้ได้เร็ว ภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้แล ปฏิปทา  ๔ ประการ อนันตริกิจ คือ สมถะ และวิปัสสนา (ใช่ไหม?) เมื่อ รวมกำลังกัน ทำหน้าที่อะไร? ถ้าไม่ใช่ หน้าที่คืออริยมรรค มีองค์ ๘ ตัดกิเลส คืออวิชชา ถอนอนุสัยได้ บรรลุ มรรค ๔ ผล ๔ ไปตามลพดับแห่ง "อนันตริกสมาธิกิจ" ....ซึ่งเป็นไปตามมหาจัตตารีสักกสูตร .. ที่นี้ ถ้าคุณXLmen แย้งแบบ หัวหมอ - ทยานความว่า "ไหน ตรัสคำว่า อนันตริกสมาธิ" พระสูตรที่อ้าง ไม่ได้ตรัส คำว่า อนันตริกสมาธิ ขอถามกลับก่อนว่า ..พระสูตรไหน ที่พระพุทธองค์ตรัสคำว่า เจตสิก ๕๒ (ไม่ได้ถามว่า ไหน ตรัสว่า อภิเจตสิก นะครับ) นักอภิธรรมนิยม ...ว่าอย่างไร? ที่สำคัญ พระสูตรที่อ้าง ตรัสคำว่า "บรรลุอนันตริยกิจ" ตรัสเช่นนี้ ..จะอาศัยพระพุทธวจนะพระสูตรไหน มาเสนอว่า ทรงหมายถึง องค์ธรรม อย่างนี้ๆ ...ตามหลัก กาลามสูตร + + ในหนังสือพุทธรรม (ป.อ. ปยุตฺโต) หน้า 307 ที่เชิงอรรถ ดูหน่อยนะครับ "มีคำว่า อานันตริกสมาธิ (บางแห่งเพี้ยนเป็น อนันตริก ฯลฯ)...ท่านอ้างพระบาลี คือ ขุ ขุ 25/1/6 จึงอ้างก่อน ..เพราะ ยังหา เล่มที่ท่านพุทธทาสเอ่ยถึง อนันตริกสมาธิไม่พบ ในเวลานี้ สรุป คำว่าอนันตริกสมาธิ หรือ อานันตริกสมาธิ มีในพระบาลีเถรวาทไหมครับคุณXLmen ผม ข้อเสนอเพียงข้อเดียว ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ที่จะชี้ให้ ผู้ไม่มีอคติ โปร่งใส กับท่านพุทธทาส ได้เห็นว่า ...การที่คุณXLmen (+ หางเครื่อง) เสนอ คคห 31 นั้น เช่น เรื่อง อนันตริกสมาธิ ดังคำถามว่า คำว่า "อนันตริยสมาธิ"  มีอยู่ในพระสูตรบทไหนตรงตามพุทธวจนะจากพระโอษฐ์อย่างไรจงแสดงหลักฐานในฐานะสาวกแห่งองค์ทาสภิกขุ หรือในฐานะแห่งพุทธบริษัท ๔ มาแสดงด้วย ? ..เป็นสิ่งที่คุณXLmen พลาดท่าเสียที ท่านพุทธทาส เสียแล้ว ..ตามหลักฐาน เท่าที่ผมหาได้สะดวก ฯลฯ (ดังที่อ้าง ทั้งท่านพุทธทาส และ พระธรรมปิฎก ป.อ. ปยุตฺโต ดังนั้น เพียงข้อนี้ข้อเดียว น่าจะเพียงพอไหมครับ ว่า คุณXLmen อคติกับ ท่านพุทธทาส ย้ำ ดังนั้น เพียงข้อนี้ข้อเดียว น่าจะเพียงพอไหมครับ ว่า คุณXLmen อคติกับ ท่านพุทธทาส ถามครับ ..ไม่ตอบ ก็ตามอัทธยาศรัย จากคุณ : เซนเถรวาท (F=9b) - [ 9 เม.ย. 50 15:05:12 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ประเด็น...---->ตามหลักพุทธศาสนา จึงไม่มีวิญญาณนี้ หรือ วิญญาณไหนสำหรับไปเกิดใหม่, <---- ^ ประโยคนี้แตกต่างอะไรกับอุจเฉททิฐิ หรือตายแล้วสูญหละครับ....ตกลงทิฐิแบบนี้ยังคงจะเชื่อว่ามีภพ ชาติ ชรา แบบเวียนว่ายตายเกิดได้อยู่อีกหรือครับท่านสาวกเดินตามควายหมดพยศไปนิพพาน ท่านพุทธทาสแปลพระสูตรหนึ่ง ดังนี้ ฯลฯ ภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า (คุณXLmen จะพึงกล่าวตามที่ตรัสไหม?) เราตถาคต จักบัญญัติ ซึ่งการมา การไป การจุติ การอุบัติ ความเจริญ ความงอกงาม และความไพบูลย์ ของวิญญาณ โดยเว้นจากรูป เว้นจากเวทนา เว้นจากสัญญา และเว้นจากสังขาร ดังนี้นั้น นี้ ไม่ใช่ฐานะ ที่จะมีได้เลย ตดลง คุณXLmen จะกล่าว ต่างไปจากที่พระพุทธองค์ตรัส แล้วท่านพุทธทาสแปลไว้ไหมครับ ถ้ารังเกียจสำนวนแปลของท่านพุทธทาส เพราะอคติ หรือ อะไรก้ตาม แปลเอง หรือ อาศัยสำานวนแปลอื่น ก็ได้นี่ครับ แล้วดูว่า สำรวนแปลนั้น แปลอย่างไร? สรุป ใครสอนคุณXLmen ครับว่า มีวิญญาณ ที่เกินไปจากขันธ์ทั้ง ๕ แล้ววิญญาณแบบนั้น..มี การมา การไป การจุติ การอุบัติ ความเจริญ ความงอกงาม และความไพบูลย์ ของวิญญาณ โดยเว้นจาก รูป เวทนา สัญญา และสังขาร พระบรมศาสดาพระองค์ไหนครับ ที่ตรัสต่างไปจากพระพุทะเจ้าพระองค์ปัจจุบันนี้ ผมถามหาหลักฐาน นะครับ ถ้าหามายืนยันไม่ได้ แปลว่าอะไรครับ หมายเหตุ ไม่หามายืนยัน ก็ตามอัทธยาศรัยครับ จากคุณ : เซนเถรวาท (F=9b) - [ 9 เม.ย. 50 15:14:53 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ผมก็เริ่มต้นที่งานเขียนของหลวงพ่อพุทธทาสอ่านของท่านน่าจะมากก่วาสามสิบเล่มย่อมๆนะครับ  พอไปบวชเรียนฝึกสมาธิได้ผลแล้วก็เริ่มห่างจากงานเขียนของท่านไปเรื่อยๆเลย   มีหลายเรื่องที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับท่าน  ผมว่าท่านคงมิได้เป็นพระอรหันต์นะครับ  ได้ยินมาว่าท่านได้ไปเกิดในภพที่สูงก่วามนุษย์แล้วครับ จากคุณ : คนกรุงธน - [ 9 เม.ย. 50 15:19:40 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ในบอร์ดแห่งนี้มีบางท่านมีแนวคิดแนวฮินดูหรือพราหมณ์ บางท่านก็ออกแนวพุทธแท้ พระปิฎกในสมัยเริ่มแรกมีเพียงสอง คือพระสูตรและพระวินัย กาลเวลาผ่านไป ก็มีพระเถระรูปหนึ่งบัญญัติพระอภิธรรมขึ้นมา แล้วก็เป็นที่มาแห่งความไม่เข้าใจ เป็นที่มาแห่งความขัดแย้ง พูดกันไม่จบ เพราะเข้าใจกันคนละอย่าง ท่านพุทธทาสไม่ได้อิงหลักคำสอนของศาสนาคริสต์ และไม่ได้ลบล้างคำสอนขององค์พระศาสดา หากแต่ที่ท่านกล่าว..ท่านกล่าวตามความเข้าใจของท่าน ท่านใดได้มีโอกาสศึกษาหนังสือที่ท่านเขียนก็คงพอจะเข้าใจ บางท่านก็เข้าใจถูกต้อง บางท่านก็เข้าใจไม่ถูกต้อง บางท่านไม่เข้าใจ..ก็เลยมองท่านพุทธทาสผิดไป ศาสนาพุทธในประเทศไทยทุกวันนี้ เป็นพุทธปนฮินดูประมาณเก้าสิบเปอร์เซนต์ ก็ลองคิดดูเถิด...ว่าจะมีคนที่เข้าใจและเป็นพุทธแท้ๆเท่าไร? จากคุณ : tanapol1962 - [ 9 เม.ย. 50 15:40:02 ]

ความคิดเห็นที่ 38 พระพุทธองค์ตรัสถึง (๑) หลักการทดสอบตัวเองว่าเป็นอรหันต์หรือไม่ ท่านพุทธทาสแปลไว้ในอริยสัจจากพระดอษฐ์ -สฬา สํ ๑๘/๑๘๓-๑๘๕/๒๓๙-๒๔๒ ดังนั้น ถ้าท่านพุทธทาส ต้องการทดสอบว่า (ตัวเอง อนัตตาที่ชื่อพุทธทาส)เป็นอรหันต์หรือไม่..ท่านพุทธทาส ไม่ต้อง วิ่งไปให้พระป่านักปฏิบัติรูปใด พยากรณ์อรหัตตผลให้ มั๊งครับ ..ในเมื่อ พระพุทธองค์ยังทรงยังอยู่ (ตามมหาปรินิพพานสูตร) ตรรก หรือเหตุผล ที่เสนอนี้ พอมีเหตุผลไหมครับ ..ไม่เกี่ยวกีบ เชื่อ นะครับ จากคุณ : เซนเถรวาท (F=9b) - [ 9 เม.ย. 50 15:53:17 ]

ความคิดเห็นที่ 39 หัวหมอดีหนิครับคุณเซงแถรวาทะ 555+ นิสัยไม่พัฒนาขึ้นเลยนะคุณเซน  แม้แต่หลักฐานที่คุณหยิบยกมาแสดงก็หาได้ทำ Link ให้ผู้อื่นได้ตรวจสอบได้แบบนี้จะไม่เป็นการกล่าวตู่ไปแบบดุ่ยๆ หรอกหรือคุณเซนแถฯ จากคุณ : XLmen - [ 9 เม.ย. 50 15:54:42 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ต่อ v v [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : XLmen - [ 9 เม.ย. 50 15:56:37 ]

ความคิดเห็นที่ 41 คำนี้มาจากไหนเอ่ย ? มีในพระไตรปิฎก อรรถกถา หรือในพจนานุกรมท่านพระธรรมปิฎกด้วยหรือไม่ ? จากคุณ : XLmen - [ 9 เม.ย. 50 16:05:39 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ตกลงคุณเซนแถจะไปนิพพานก่อนควายหมดพยศหรือไปหลังควายหมดพยศตามคำคูท่านทาสภิกขุดีหละครับ v v จากคุณ : XLmen - [ 9 เม.ย. 50 16:09:33 ]

ความคิดเห็นที่ 43 นี่หรือคือผู้ปกป้องพุทธวจนะจากพระโอษฐ์....โอ้น่ากลัวว่าผมจะเสียท่าคุณเซนแถที่แถเถือกมั่วนิ่มซะแล้วกระมัง เหอะๆๆๆ จากคุณ : XLmen - [ 9 เม.ย. 50 16:12:29 ]

ความคิดเห็นที่ 44 บัญญัติสิ่งที่พระพุทธองค์มิได้บัญญัติมิเท่ากับเป็นการทำตัวว่าตนเองเป็นศาสดาองค์ใหม่หรอกหรือ ? จากคุณ : XLmen - [ 9 เม.ย. 50 16:14:49 ]

ความคิดเห็นที่ 45 แล้วถ้าต่อมามีพระใช้คำว่าอนเตอร์เน็ตในการสั่งสอนผู้คน จะทำยังไง จากคุณ : sirnifti - [ 9 เม.ย. 50 17:13:09 ]

ความคิดเห็นที่ 46 1. คำว่า "นิพพานของวัตถุที่กำลังร้อนก็คือหมดร้อน" ในพระไตรปิฎกมีกล่าวไว้หรือไม่ครับ ? -------------------------------------------- เสยฺยถาปิ   ภิกฺขเว   ปุริโส  มหนฺตํ  อคฺคิกฺขนฺธํ    นิพฺพาเปตุกาโม     อสฺส    โส   ตตฺถ   อลฺลานิ   เจว   ติณานิ   ปกฺขิเปยฺย   อลฺลานิ   โคมยานิ   ปกฺขิเปยฺย  อลฺลานิ  กฏฺฐานิ   ปกฺขิปยฺย    อุทกวาตญฺจ   ทเทยฺย   ปํสุกานิ   จ   โอกิเรยฺย   ภพฺโพ   นุ  โข  โส  ปุริโส  มหนฺตํ  อคฺคิกฺขนฺธํ  นิพฺพาเปตุนฺติ เปรียบเหมือนบุรุษต้องการจะ ดับไฟกองใหญ่ เขาจึงใส่หญ้าสด โคมัยสด ไม้สด พ่นน้ำ และโรยฝุ่น ลงในกองไฟใหญ่นั้น บุรุษนั้นจะสามารถ ดับกองไฟกองใหญ่ นั้นได้หรือหนอ? อ้างจาก อัคคิสูตร จากคุณ : Ritti Janson - [ 9 เม.ย. 50 17:50:59 ]

ความคิดเห็นที่ 47 2. คำว่า "นิพพานของสัตว์เดรัจฉานก็คือหมดพยศที่เป็นอันตราย" ในพระไตรปิฎกมีกล่าวไว้หรือไม่ครับ ? -------------------------------------------------- [๑๗๔] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภัททาลิ เปรียบเหมือนนายสารถีฝึกม้าคนขยัน ได้ม้าอาชาไนยตัวงามมาแล้ว ครั้งแรกทีเดียว ฝึกให้รู้เหตุในการใส่บังเหียน. เมื่อนายสารถีฝึก ให้มันรู้เหตุในการใส่บังเหียน ความประพฤติเป็นข้าศึก การพยศ การดิ้นรนบางอย่างบางประการ ยังมีอยู่ทีเดียว เหมือนของม้าที่นายสารถีฝึกให้รู้เหตุที่ยังไม่เคยฝึกฉะนั้น. มันจะสงบลงได้ในการ พยศนั้น เพราะนายสารถีฝึกให้รู้เนืองๆ เพราะนายสารถีฝึกให้รู้โดยลำดับ ในการที่ม้าอาชาไนย ตัวงามสงบลงได้ในการพยศนั้น เพราะนายสารถีฝึกให้รู้เนืองๆ เพราะนายสารถีฝึกให้รู้โดย ลำดับ. นายสารถีฝึกม้า จึงฝึกให้มันรู้เหตุยิ่งขึ้นไป ในการเทียมแอก เมื่อนายสารถีฝึกให้มันรู้ เหตุในการเทียมแอก ความประพฤติเป็นข้าศึก การพยศ การดิ้นรนบางอย่างบางประการ ยังมีอยู่ ทีเดียว เหมือนของม้าที่นายสารถีฝึกให้รู้เหตุที่ยังไม่เคยฝึกฉะนั้น. มันจะสงบลงได้ ในการ พยศนั้น เพราะนายสารถีฝึกให้รู้เนืองๆ เพราะนายสารถีฝึกให้รู้โดยลำดับ ในการที่ม้าอาชาไนย ตัวงามสงบลงได้ ในการพยศนั้น เพราะนายสารถีฝึกให้รู้เนืองๆ  เพราะนายสารถีฝึกให้รู้โดย ลำดับ. ......ฯ อรรถกถา .... บทว่า ปรินิพฺพายติ สงบ คือหมดพยศ. อธิบายว่า ละความพยศนั้นได้. อ้างจาก  ภัททาลิสูตร จากคุณ : Ritti Janson - [ 9 เม.ย. 50 17:52:50 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ...........ฯ เมื่อผ้าหรือศีรษะถูกไฟไหม้แล้ว ควรจะกระทำความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความ ไม่ย่นย่อ ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะอย่างแรงกล้า เพื่อดับ(ไฟที่)ผ้าหรือศีรษะนั้น. อาทิตฺเต  ภิกฺขเว เจเล วา สีเส วา กิมสฺส กรณียนฺติ ฯ่   อาทิตฺเต  ภนฺเต  เจเล  วา  สีเส  วา  ตสฺเสว  เจลสฺส  วา  สีสสฺส   วา   นิพฺพาปนาย   อธิมตฺโต   ฉนฺโท   จ  วายาโม  จ  อุสฺสาโห  จ   อุสฺโสฬฺหิี   จ   อปฺปฏิวานิ   จ   สติ   จ   สมฺปช?ฺ??ฺจ  กรณียนฺติ  ฯ   อ้างจาก เจลสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙   พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=19&A=10419&Z=10431 ************************************************ 1) ผมเอาหลักฐานจากพระบาลีมาให้ดูเอาใว้เพื่อประกอบการพิจารณา ที่จริงแล้ว ส่วนหนึ่งก็เป็นคำตอบของผมในกระทู้เก่าๆนั่นเอง 2) ฟอนต์บาลีมันมีปัญหา แต่ผมขี้เกียจแก้ คงจะไม่ว่ากัน เพราะตรงนั้นไม่ใช่คำสำคัญที่จะนำมาอ้างอิง ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 9 เม.ย. 50 18:00:48 ]

ความคิดเห็นที่ 49 คำกล่าวโดยอุปมาอุปมัยในพระไตรปิฎกข้อนี้ย่อมเหมาะสมแล้วสมควรแล้วแหละครับ....เพราะพระพุทธองค์ท่านยกมาแสดงเพื่อเป็นการเปรียบเทียบให้เข้าใจได้ง่ายเท่านั้นหาได้กล่าวว่าสัตว์เดียรัจฉานจะสามารถบรรลุนิพพานได้หรอกครับ เพราะถ้าสัตว์เดียรัจฉานสามารถบรรลุธรรมคือนิพพานได้จริงเหตุใด นาคที่ปลอมเป็นมนุษย์มาบวชพระพุทธองค์จึงไม่อนุญาติให้บวชเล่า...ดังนี้คำว่าอุปมาอุปมัยกับการเข้าใจผิดคิดว่าสัตว์นิพพานได้จึงเป็นคนละเรื่องกันเลยครับ ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- "ถ้าสัตว์ตัวใดถูกมนุษย์เอามาฝึกจนหมดพยศร้ายโดยสิ้นเชิง ; ความหมดพยศร้ายนั้นท่านเรียกว่านิพพาน" จาก ท่านทาสภิกขุ ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- แต่ประโยคที่ท่านทาสภิกขุกล่าวไว้เช่นนี้มิได้กล่าวโดยอุปมาอุปมัยแต่อย่างใด....อ่านแล้วก็อดสังเวชใจคิดรำพึงอยู่ครับว่าสัตว์ที่หมดพยศนั้นจะเข้าถึงนิพพานแบบไหนระหว่าง สอุปาทิเสสนิพพาน หรือ อนุปาทิเสสนิพพาน กันแน่ ? จากคุณ : XLmen - [ 9 เม.ย. 50 19:10:25 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ด้วยความเอ็นดู อุปมาเหมือนเด็กเล่นขายของ ย่อมพากันสมมติว่า ใบไม้นี่คืออาหาร กิ่งไม้นี่คือเครื่องอุปกรณ์ ทรายนี่คือข้าว แล้วก็พากันเล่นกันด้วยความสนุกสนาน ครั้นเด็กพากันชักชวนผู้อาวุโสให้เล่นด้วย สิ่งสมมติเหล่านั้นไม่ได้มีอยู่จริง จึงไม่รู้ว่าจะเล่นด้วยยังไง หากจะเล่นด้วยความเมตตาก็คงจะต้องปล่อยให้ตนเองอ้างสมมติดังเด็กน้อย สำคัญข้อความนี้ยังไง ผู้ที่ไม่แจ้งวิชชา ถูกอวิชชาคลุมครอบอยู่ ก็พากันยึดถือสมมติที่ตนพากันตั้งมั่นไว้นั้นเป็นที่พึ่งที่ระลึก อาศัยสมมตินั้นเพื่อเพื่อยังให้ปฏิจสมุปบาทยังคงดำเนินต่อไป โดยยังไม่ได้เห็นแม้ว่าอุปาทานขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) นี่แหละตัวทุกข์ กอรปไปด้วยอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่ไม่ควรเลยที่จะยึดมั่น ก็ลำพังเพียงสัญญายังนึกว่าเที่ยงแท้อย่างนี้ สังขารและวิญญาณจะไม่เกิดขึ้นต่อไปได้ยังไง ผู้พ้นสังโยตแล้วจะเมตตาต่อผู้เยาว์ได้ยังไง ต่างก็พากันอุปโลกอุปาทานสัญญาให้แก่เด็กน้อยได้ศึกษาประโยชน์อันเกิดจากการละเล่น หาได้ยึดถืออุปาทานสัญญาอย่างจริงจัง จนกว่าเด็กน้อยจะได้ประโยชน์ถึงที่สุดของการละเล่นนั่นเอง ตีความความข้อนี้อย่างไรหรือ ท่านผู้ศึกษาธรรม จากคุณ : Go2Better - [ 9 เม.ย. 50 21:09:30 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ด้วยธรรมจักร อันคือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค รู้ว่่านี่ คือ ทุกข์ รู้ว่านี่คือ สาเหตุแห่งทุกข์อันคือ อวิชชา อันได้แก่ อุปาทานขันธ์ 5 อันมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รู้ว่านี่คือ หนทางแห่งการดับทุกข์สิ้นเชิง คือ วิชชา ไม่มีความยึดถือแล้วในอุปาทานขันธ์ 5 รู้ว่านี่คือ หนทางอันละเสียซึ่งอุปาทานขันธ์ 5 มีสติปัฏฐาน 4 เป็นทางเอก ในทางกาย เวทนา จิต ธรรม นี่แหละคือ ธรรมบทแรกที่ทรงประทานให้แก่โลก อันไม่เคยมีผู้ใดได้ยินได้ฟังมาก่อน จึงเกิดมีอัญญาโกนทัญยะ(แก้เองนะ)ภิกษุองค์แรกในพระพุทธศาสนา พระธรรมจะยังประโยชน์แก่ผู้เบื่อหน่ายในทุกข์ที่เกิดจากสังขาร เห็นความไม่เที่ยงแห่งสังขาร ไม่มีตัวตนให้ยึดมั่นในธรรมแล้ว จึงจะเห็นหนทางนี้ ไม่ใช่ผู้ที่เกาะชายจีวรยึดเอาไว้ สมัยนี้ก็คือผู้เอาวัตถุมากราบไหว้บูชานั่นเอง ด้วยความปราถนาดีต่อกัน ขอบคุณครับ แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 50 21:33:10 แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 50 21:25:45 จากคุณ : Go2Better - [ 9 เม.ย. 50 21:21:59 ]

ความคิดเห็นที่ 52 คุณXLmen สงสัย เคยชิน กินยาไม่เขย่าขวด วิธีอ้างอิง ตามที่อ้าง 39 -44 ..เข้าข่าย (๑) ไม่ถูกฝาถูกตัวอีกแล้ว เพราะ ผมอ้าง หลักฐาน จากอริยสัจจากพระโอษฐ์ โดยท่านพุทธทาสภิกขุ ที่หน้า  ๑๔๒๘ ท่านพุทธทาสแปลมาจาก -จตุกก. อังคุตรนิกาย เล่มที่ ๒๑/หน้า ๒๐๖/ข้อที่ ๑๖๓ ทำไมคุณXLmen ไม่ดูตามที่ผมอ้าง ..จะเพื่อจับผิดหรือเพื่อความถูกต้องตามที่เสนอไว้ หรือเพื่ออะไร ก็ตามที (๒) ผมอ้าง หนังสือพุทธรรม ซึ่งในพุทธธรรม ก้อ้าง พระบาลี เล่ม หน้า ข้อที่ ไว้ คือ นหนังสือพุทธรรม (ป.อ. ปยุตฺโต) หน้า 307 ที่เชิงอรรถ ดูหน่อยนะครับ "มีคำว่า อานันตริกสมาธิ (บางแห่งเพี้ยนเป็น อนันตริก ฯลฯ)...ท่านอ้างพระบาลี คือ ขุ ขุ 25/1/6 ทำไมคุณXLmen ไม่ดูตามที่ผมอ้าง ..จะเพื่อจับผิดหรือเพื่อความถูกต้องตามที่เสนอไว้ หรือเพื่ออะไร ก็ตามที (๓) การอ้างอิงของทำไมคุณXLmen นั้น ยิ่งทำให้เห็นว่า ๓.๑ คุณXLmen อะไรดี ??? ....ดูตนเองที่อนัตตาเองนะครับ ....หรือไม่ก็ซื้อกระจกเงาที่สะท้อนภาพไม่เบี้ยว แล้วส่องดูเองนะครับ ๓.๒ .."สิ่ง" ที่คุณXLmen ใช้อ้างอิงนั้น "แสดงความไม่สมบูรณ์ในการจัดทำ" = ไม่เอาไหน เสียแล้ว ..ใครที่ ประมาท + มักง่าย ใช้เข้า + ยึดมั่นถือมั่นว่า "ถูกต้องเป็นเด็ดขาด" ดังตัวอย่างคือ คุณXLmen ใช้ แล้ว เอามา แสดงว่า "ที่ผมอ้างอิง" นั้นไม่มี หรืออะไรก็ตาม... ทั้งๆ ที่ผมอ้างอิง แหล่งข้อมูลชั้นต้นเดิมสุดๆ (ปรากฎในรูปหนังสือ) แต่คุณXLmen กลับอ้างอิงแห่งอ้างอิง ชั้นหลัง (ปรากฎในรูปดิจิตเติล) แบบนี้ แปลว่าอะไรครับคุณXLmen (ไม่ใช่คำถามนะครับ) สรุป รัีบไปดู ที่ผมอ้างนั้น มีในหลักฐานชั้นต้นเดิมหรือไม่ นะิครับคุณXLmen ถ้าไม่มีจริงค่อยมา ถล่มทะลายท่านพุทธทาส และหรือพระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) และหรือผม ก็ตาม....ก้ยังไม่สาย (หมายเหตุ รุ่นก่อนคุณXLmen ยังทำอะไรท่านพุทธทาสไม่ได้ มาถึงรุ่นนี้ กระดูกน่าจะคนละเบอร์กับรุ่นก่อนๆ ที่ดูเหมือนว่า่ตายโหงไปก็มีอยู่มั๊ง.... ผมเดาไว้ทีก่อนเล่นๆว่าคุณXLmen ไม่มีเวลาไปค้นตามที่ผมอ้าง จะอ้างนั่นอ้างนี้.... ไว้ผมนึกสนุก ...ผมจะถ่ายพระบาลี ฯ แล้ว ลงภาพในกระดานนี้่ ตอนนี้ ยังไม่ว่างครับ เก็บไว้ให้อะไรๆ กับท่านพุทธทาสต่อไปอีกนานๆ ท่านพุทธทาสเหมือนกระท้อน ยิ่งทุบยิ่งหวาน จากคุณ : เซนเถรวาท (F=9b) - [ 9 เม.ย. 50 22:15:48 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ดูเหมือนจุดประสงค์กระทู้จะเปลี่ยน จากคุณ : คลื่นแทรก - [ 9 เม.ย. 50 22:50:06 ]

ความคิดเห็นที่ 54 เหอะๆ ๆ น่าขันดีครับ คุณเซนแถก็ยังชอบสมอ้างหลักฐานแต่ไม่ทำ Link แบบนี้จะใช้ได้หรือครับท่านผู้เฒ่า โลกหนะพัฒนาไปแล้วก็จริงแต่พุทธธรรมในโลกดิจิตอลก็ล้วนแล้วแต่มาจากพระไตรปิฎกที่เป็นมุขปาฐะของพระพุทธองค์ที่ตกทอดมาสู่พระมหาเถระสืบๆ กันมานะครับคุณเซนแถ .............................. คุณเซนแถ ผมว่าคุณเป็นห่วงตนเองไว้จะดีกว่านะครับ เพราะผู้ที่กล่าวตู่พุทธวจนะและชอบบัญญัติในสิ่งที่พระพุทธองค์มิได้บัญญัตินั้นไม่ดีเลยนะครับ .............................. พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ครับว่าผู้ที่กล่าวตู่พระองค์นั้นมีทุคติเป็นที่ไปไม่ดีเลย.....ซวยหนักยิ่งกว่าตายโหงเยอะนะครับคุณเซนแถฯ .............................. ขนาดในพระไตรปิฏกคำว่า "อนันตริยสมาธิ" "อนันตริยกิจ"  ยังไม่มีปรากฎเลย ถ้าเป็นการบัญญัติธรรมใหม่ที่นอกเหนือจากพระโอษฐ์คุณเซนแถยังคิดว่าอาจารย์คุณยังคงเคารพในพระพุทธองค์อยู่หรือป่าวหละครับ เหอะๆๆ .............................. ถ้ากระดูกเบอร์ใหญ่กว่าแล้วลงนรกนานกว่า...ทำนองว่ากระดูกกระโหลกหนากว่าทำให้เกิดมิจฉาทิฐิคิดไปเองว่าคนอื่นเขามาถล่มอาจารย์ตน...แต่ไม่คิดจะปกป้องพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าต่อให้คนๆ นั้นมีกระดูกเบอร์ใหญ่อย่างหนาจะมีประโยชน์อะไรนอกเสียจากได้ทัวร์นรกนานกว่าปกติก็เท่านั้นเอง จากคุณ : XLmen - [ 10 เม.ย. 50 00:03:09 ]

ความคิดเห็นที่ 55 [๓๗๓] ธรรมอย่างหนึ่งที่แทงตลอดได้ยากเป็นไฉน คือเจโตสมาธิเป็น อนันตริก นี้ธรรมอย่างหนึ่งที่แทงตลอดได้ยาก ฯ (อนันตริก คือจิตเป็นสมาธิเป็นลำดับติดต่อกันไป หาธรรมอื่นจะบังจะกั้นมิได้ อธิบายว่า ผลจิตบังเกิดในลำดับแห่งมัคคจิตมรรค บังเกิดขณะจิตหนึ่งแล้วก็ถึงผล จะได้มีจิตอื่นเข้ากั้น กางอยู่หามิได้) อ้างจาก พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ทสุตตรสูตร (๓๔) อรรถกถา ...... สองบทว่า อานนฺตริโก เจโตสมาธิ ความว่า ผลในลำดับแห่งมรรคในที่อื่น ชื่อว่า อานันตริกะ เจโตสมาธิ (เจโตสมาธิ อันไม่มีระหว่าง) แต่ในที่นี้ มรรคในลำดับแห่งวิปัสสนา ท่านประสงค์เอาว่า อานันตริกะ เจโตสมาธิ เพราะมีในลำดับแห่งวิปัสสนา หรือเพราะให้ผลในลำดับแห่งตน. จากคุณ : Ritti Janson - [ 10 เม.ย. 50 01:24:35 ]

ความคิดเห็นที่ 56 [๑๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทา ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ๑ ทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ๑ สุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ๑ สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญาเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ โดยปรกติเป็นคนมีราคะกล้า ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่ราคะเนืองๆ บ้าง โดยปรกติเป็นคนมีโทสะกล้า ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โทสะเนืองๆ บ้าง โดยปรกติเป็นคนมี โมหะกล้า ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่โมหะเนืองๆ บ้าง อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ของเขาปรากฏว่าอ่อน เขาย่อมบรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะได้ช้า เพราะ อินทรีย์ ๕ เหล่านี้อ่อน ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯ             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญาเป็นไฉน บุคคลบางคน ในโลกนี้ โดยปรกติเป็นผู้มีราคะกล้า ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่ราคะ เนืองๆ บ้าง โดยปรกติเป็นผู้มีโทสะกล้า ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่ โทสะเนืองๆ บ้าง โดยปรกติเป็นผู้มีโมหะกล้า ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิด แต่โมหะเนืองๆ บ้าง อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ของเขาปรากฏว่าแก่กล้า เขาย่อมบรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะเร็วพลัน เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้แก่กล้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ทุกขาปฏิปทา ขิปปาภิญญา ฯ             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สุขาปฏิปทาทันธาภิญญาเป็นไฉน บุคคลบางคนใน โลกนี้ โดยปรกติไม่เป็นคนมีราคะกล้า ย่อมไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่ ราคะเนืองๆ บ้าง โดยปรกติไม่เป็นผู้มีโทสะกล้า ย่อมไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัส อันเกิดแต่โทสะเนืองๆ บ้าง โดยปรกติไม่เป็นผู้มีโมหะกล้า ย่อมไม่ได้เสวยทุกข์ โทมนัสอันเกิดแต่โมหะเนืองๆ บ้าง อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ของเขาปรากฏว่าอ่อน เขาย่อมได้บรรลุคุณวิเศษเพื่อความ สิ้นอาสวะช้า เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้อ่อน ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า สุขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯ             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญาเป็นไฉน บุคคลบางคน ในโลกนี้ โดยปรกติไม่เป็นผู้มีราคะกล้า ไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่ราคะ เนืองๆ บ้าง โดยปรกติเป็นผู้ไม่มีโทสะกล้า ไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสอันเกิดแต่ โทสะเนืองๆ บ้าง โดยปรกติเป็นผู้ไม่มีโมหะกล้า ไม่ได้เสวยทุกข์โทมนัสอัน เกิดแต่โมหะเนืองๆ บ้าง อินทรีย์ ๕ ประการนี้ คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ ของเขาปรากฏว่าแก่กล้า เขาย่อมบรรลุคุณวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะ ได้ฉับพลัน เพราะอินทรีย์ ๕ ประการนี้แก่กล้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทา ๔ ประการนี้แล ฯ อ้างจาก พระไตรปิฏก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ปฏิปทาวรรคที่ ๒ อรรถกถา ....... บทว่า อภิกฺขณํ แปลว่า เนืองๆ.               บทว่า อนนฺตริยํ ได้แก่ มรรคสมาธิอันให้ผลเป็นอนันตริยคุณ.               บทว่า อาสวานํ ขยา ได้แก่ เพื่ออรหัตผล.               บทว่า ปญฺจินฺทฺริยานิ ได้แก่ อินทรีย์ ๕ อันมีวิปัสสนาเป็นที่ ๕.               ก็ในบทว่า ปญฺญินฺทฺริยํ นี้ ท่านประสงค์เอาวิปัสสนาปัญญาเท่านั้นว่า ปัญญินทรีย์.               คำที่เหลือในสูตรนี้ง่ายทั้งนั้นโดยอำนาจที่ตรัสไว้แล้วในบาลี.               ก็กถาจำแนกปฏิปทาเหล่านี้มีดังนี้.               ภิกษุในธรรมวินัยนี้ไม่เคยทำการยึดถือมาเบื้องต้น ย่อมลำบากในการกำหนดรูป ย่อมลำบากในการกำหนดอรูป ย่อมลำบากในการกำหนดปัจจัย ย่อมลำบากในกาลทั้งสาม ย่อมลำบากในมัคคามัคคะทางและมิใช่ทาง.               เมื่อลำบากในฐานะ ๕ อย่างนี้ ย่อมบรรลุวิปัสสนา ครั้นบรรลุวิปัสสนาแล้ว ก็ลำบากในวิปัสสนาญาณ ๙ เหล่านี้ คือ ในอุทยัพพยานุปัสสนาญาณ (ปรีชาคำนึงเห็นทั้งความเกิดและความดับ) ๑ ในภังคานุปัสสนาญาณ (ปรีชาคำนึงเห็นความดับ) ๑ ในภยตุปัฏฐานญาณ (ปรีชาคำนึงเห็นสังขารปรากฏเป็นของน่ากลัว) ๑ ในอาทีนวานุปัสสนาญาณ (ปรีชาคำนึงเห็นโทษ) ๑ ในนิพพิทานุปัสสนาญาณ (ปรีชาคำนึงถึงความเบื่อหน่าย) ๑ ในมุญจิตุกามยตาญาณ (ปรีชาคำนึงด้วยใคร่จะพ้นไป) ๑ ในสังขารุเบกขาญาณ (ปรีชาคำนึงด้วยความเฉยในสังขาร) ๑ ในอนุโลมญาณ (ปรีชาคำนึงโดยสมควรแก่กำหนดรู้อริยสัจ) ๑ ในโคตรภูญาณ (ปรีชากำหนดรู้ญาณอันเป็นลำดับอริยมรรค) ๑ และจึงบรรลุโลกุตรมรรค โลกุตรมรรคนั้นของภิกษุนั้น ชื่อว่าปฏิบัติลำบาก ทั้งรู้ลำบาก เพราะทำให้แจ้งโดยความหนักไปด้วยทุกข์อย่างนี้ ก็ภิกษุใดเบื้องต้นลำบากในญาณ ๕ แต่เบื้องปลายไม่ลำบากในวิปัสสนาญาณ ๙ ย่อมทำให้แจ้งซึ่งมรรค มรรคนั้นของภิกษุนั้น ชื่อว่าปฏิบัติลำบาก แต่รู้ได้เร็ว เพราะทำให้แจ้งโดยไม่หนักด้วยทุกข์อย่างนี้.               อีกสองปฏิปทาก็พึงทราบโดยอุบายนี้.               อนึ่ง ปฏิปทาเหล่านี้จะพึงแจ่มแจ้งก็ด้วยข้ออุปมาเปรียบด้วยคนหาโค. โค ๔ ตัวของชายคนหนึ่งหนีเข้าไปในดง. เขาหาโคเหล่านั้นในป่าซึ่งมีหนามหนาทึบ ทางที่ไปก็ไปด้วยความยากลำบาก โคซ่อนอยู่ในที่อันหนาทึบเช่นนั้น ก็เห็นด้วยความยากลำบาก. ชายคนหนึ่งไปด้วยความลำบาก โคยืนอยู่ในที่แจ้งก็เห็นได้ฉับพลันทันที. อีกคนหนึ่งไปทางโล่งไม่หนาทึบ โคซ่อนอยู่เสียในที่ หนาทึบก็เห็นด้วยความยากลำบาก. อีกคนหนึ่งไปสะดวกตามทางโล่ง โคยืนอยู่ในที่โล่งก็เห็นได้ฉับพลัน.               ในข้ออุปมานั้น อริยมรรค ๔ พึงเห็นดุจโค ๔ ตัว พระโยคาวจรดุจชายหาโค การปฏิบัติลำบากในเบื้องต้นของภิกษุผู้ลำบากในญาณ ๕ ดุจไปทางหนาทึบด้วยความยากลำบาก การเห็นอริยมรรคในเบื้องปลายของผู้เหนื่อยหน่ายในญาณ ๙ ดุจการเห็นโคที่ซ่อนอยู่ในที่หนาทึบความยาก.               พึงประกอบแม้ข้ออุปมาที่เหลือโดยอุบายนี้ จากคุณ : Ritti Janson - [ 10 เม.ย. 50 01:47:54 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ขอบคุณๆ ฤทธีครับที่สละเวลาค้นคว้าหาที่มาของประโยคนี้ให้ได้แจ้งชัดกันครับ.......ค้นคว้าแบบนี้สิครับถึงจะค่อยน่านิยมกันหน่อย ไม่เหมือนคุณเซนแถที่เวลาขอที่มาหรือหลักฐานก็คลุมเครือตลอด.... มาถึงเรื่องคำว่า "อนันตริยสมาธิ" กับคำว่า "อานันตริกสมาธิ" แม้ว่าการเขียนหรือการสะกดคำของท่านทาสภิกขุกับในพระไตรปิฎกจะแตกต่างกันบ้างก็คงจะไม่เป็นไรใช่ไหมหละครับ....ถ้าความหมายหรือคำแปลของ 2 คำนี้ตรงกัน.... ทีนี้ก็ขอถามต่อครับว่าความหมายของคำว่า "อนันตริยสมาธิ"  ตามคำแปลของท่านทาสภิกขุนั้นแปลเหมือนกับที่ในพระไตรปิฏกได้แปลไว้หรือไม่หละครับ ? *************************************                        อานันตริกสมาธิญาณ *************************************  [๒๑๑] ปัญญาในการตัดอาสวะขาด เพราะความบริสุทธิ์แห่งสมาธิอันเป็นเหตุไม่ฟุ้งซ่าน เป็นอานันตริกสมาธิญาณอย่างไร ฯ -------> เอกัคคตาจิตอันไม่ฟุ้งซ่านด้วยสามารถแห่งเนกขัมมะ เป็นสมาธิ ญาณ  เกิดขึ้นด้วยสามารถแห่งสมาธินั้น อาสวะทั้งหลายย่อมสิ้นไปด้วยญาณนั้น ------->สมถะมีก่อน----> ญาณมีภายหลัง ด้วยประการดังนี้ ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายย่อมมีได้ด้วยญาณนั้น เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการตัดอาสวะขาด เพราะความบริสุทธิ์แห่งสมาธิอันเป็นเหตุไม่ฟุ้งซ่าน เป็นอานันตริกสมาธิญาณ ฯ ที่มา : http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=31&A=95&Z=3331 ในท้ายบทของธรรมข้อนี้มีประโยคนี้แสดงอยู่ซึ่งชี้ชัดว่าพระพุทธองค์มิได้ปฎิเสธเรื่องภพภูมิ หรือภพชาติ เหมือนอย่างที่ท่านทาสภิกขุกำลังปฎิเสธเรื่องภพภูมิ นรก สวรรค์ ว่าเป็นคติของพราหมณ์....ลองพิจารณาดูเถิดครับ v v ชื่อว่าสัพพัญญุตญาณ เพราะอรรถว่า อารมณ์ที่ได้เห็น ที่ได้ฟังที่ได้ทราบ ที่ได้รู้แจ้ง ที่ได้ถึง ที่แสวงหา ที่เที่ยวตามหาด้วยใจ ---->แห่งโลก---->พร้อมทั้งเทวโลก ---->มารโลก----> พรหมโลก ---->แห่งหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์---->เทวดา---->และมนุษย์ พระตถาคตทรงทราบแล้ว ทรงเห็นแล้ว ทรงรู้แจ้งแล้ว ทรงทำให้แจ้งแล้ว ทรงถูกต้องแล้วตลอดทั้งหมดด้วยพระปัญญา ที่มิได้ทรงถูกต้องแล้วด้วยพระปัญญาไม่มี ชื่อว่า ----> อนาวรณญาณ เพราะอรรถว่า ในญาณนั้นไม่มีเครื่องกั้น ฯ ---->บทธรรมที่พระตถาคตไม่ทรงเห็นแล้ว ไม่มีในโลกนี้ อนึ่ง ---->บทธรรมน้อยหนึ่งที่ควรรู้ พระตถาคตไม่ทรงรู้แล้วไม่มี       ---->พระตถาคตทรงทราบยิ่งซึ่งธรรมเป็นเครื่องนำไปทั้งปวง เพราะฉะนั้น ---->พระตถาคตจึงเป็น---->พระสมันตจักษุ ฉะนี้แล ฯ ที่มา : http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=31&A=2334&w=อานันตริก ขอถามครับว่า คำว่า "อนันตริยสมาธิ" กับคำว่า "อานันตริกสมาธิ" ในความหมายของท่านทาสภิกขุตรงกับพุทธวจนะด้านบนหรือไม่อย่างไร ? v v -------------------------------------------------------------------------------------------- มรดกที่ ๑๐๖. อนันตริยสมาธิ เป็นสิ่งที่ควรรู้จัก ในฐานะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเอง อย่างเพียงพอ ทุกคราวที่เรามีความต้องการ และทำอะไร ด้วยสติปัญญา สัมมาทิฎฐิอย่างเต็มที่ แต่ไม่มีใครสนใจ. http://www.buddhadasa.com/heritage/heritage11.html -------------------------------------------------------------------------------------------- จากคุณ : XLmen - [ 10 เม.ย. 50 02:18:48 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาแสดงความคิด เหตุผลในคำสอนของท่านพุทธทาสนะครับ  ผมเคยอ่านงานของท่านแล้วได้ความกระจ่างในธรรมก็หลายเล่ม  แต่หลายๆเล่มอ่านแล้วยอมรับไม่ได้ เหมือนมีเจตนาบิดเบือนปลอมปนคำสอนให้ศาสนาคริสต์มายึดคำสอนในพุทธศาสนาไปใส่ปากพระเจ้า  ท่านอาจจะมีความคิดที่เปลี่ยนไป  หรือน่าสงสัยเหมือนกันว่าท่านไม่ได้เขียนหนังสือบิดเบือนเหล่านี้ด้วยตัวเอง ส่วนเหตุผลและหลักฐานที่นำมาแสดง โต้แย้งกันในกระทู้นี้ คุณXLmen อธิบายได้ชัดเจนกว่ามาก จากคุณ : คนบ้านดาบ - [ 10 เม.ย. 50 04:38:01 ]

ความคิดเห็นที่ 59 แล้วคนที่พยายามโจมตีท่านพุทธทาส เคยคิดกันบ้างหรือไม่ว่า ความบกพร่องในเรื่องการสะกดคำต่างๆ อาจจะเกิดในขณะเรียงพิมพ์ เนื่องจากผู้จัดทำ(หนังสือ)ไม่เจนจัดมากพอ ในถ้อยคำและคำสอนต่างๆ จากคำ อนันตริก ที่เขาเหล่านั้นไม่เคยได้ยิน เขาก็อาจจะเรียงพิมพ์เป็น อนันตริย(กรรม)ซึ่งเขารู้จักและคุ้นเคยมากกว่า ฉนั้น ผมเห็นว่า เรื่องอย่างนี้ควรพิจารณาให้ถ้วนถี่ และระลึกเอาใว้เสมอว่า พระท่านมิได้มีเจตนาร้าย เพราะถ้าจะมาพยายามจับผิดกันอย่างนี้ แล้วผมจะกราบหลวงพ่อสดได้อย่างไร ก็ในเมื่อหลวงพ่อท่านใช้คำศัพท์ผิดความหมายไปจากพระบาลีไปมาก !!!!! **************************************** ผมตอบให้ก็ได้ว่า เพราะผมมั่นใจว่า ท่านมิได้มีประสงค์ร้าย ผมนับถือท่าน ผมเชื่อใจท่าน และมั่นใจว่าท่านมิได้มุ่งร้ายต่อใครทั้งนั้น ผมกราบหลวงพ่อสดได้อย่างสนิทใจ ฉันใด ผมก็กราบท่านพุทธทาสได้สนิทใจ ฉันนั้น บอกตามตรงว่า ผมไม่นิยมคนที่ชอบกล่าววาจาโจมตีพระเถระ และโดยเฉพาะกับท่านที่ดับขันธ์ไปแล้ว ผมเห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่เข้าท่า !!!!! ที่พยายามทำอยู่ ก็เลิกเสียเถอะ บาปกรรมทั้งนั้น สำหรับตัวผมแล้ว หลวงพ่อสด ก็เปรียบเสมือนครูบาอาจารย์ ที่ช่วยเปิดโลกชี้ทางด้าน สมถะ จะผิดจะถูกอย่างไร ยกใว้ก่อน แต่ผมถือว่าท่านเป็นครูคนแรก เป็นผู้มีพระคุณอย่างสูง ใครมาตำหนิท่าน ผมก็ต้องปกป้อง ตราบเท่าที่จะไม่ทำให้พระบาลีเสียหาย กับท่านพุทธทาสนั้น ท่านก็เหมือนเป็นครูท่านหนึ่ง ที่ช่วยชี้ทางสว่างในด้านปริยัติ และเป็นผู้ต่อยอดทั้งในด้าน สมถะและวิปัสสนา นี่ผมพูดของผมเอง ท่านไม่รู้เรื่องหรอก จะว่าผมตู่เอาเองว่าผมเป็นศิษย์ของท่านก็ได้ เพราะนี่ผมพูดเองเออเองอยู่ฝ่ายเดียว (55555555) อย่างไรก็ตาม ผมถือว่าท่านก็มีบุญคุณต่อผมมากเช่นกัน ใครมาตำหนิท่าน ผมก็ต้องปกป้อง ตราบเท่าที่พระบาลีจะไม่เสียหาย แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ผมก็ยังไม่เห็นความจำเป็นสักนิด ที่จะมาตั้งป้อม โจมตีพระคุณเจ้ารูปต่างๆ ทำกันไปทำไมหรือ ? บอกตามตรงว่า ผมไม่เข้าใจ จะว่าไปแล้ว แต่ละคนก็น่าจะมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนดีอยู่ แต่ทำไมจึงมีความประพฤติเหมือนคนขาดสติ อย่างกับนายทิวน้ำ บอกตามตรงเลยว่า ถ้าคนที่มาพูดจาจาบจ้วงพระอยู่นี่ เป็นทิวน้ำล่ะก็ ผมด่าเช็ดไปแล้ว แต่นี่ผมไม่เคยคิดจะด่าว่าพวกคุณเลย เพราะอะไร ?   ก็เพราะผมให้เกียรติพวกคุณไง ......... ผมเชื่อว่าคุณๆ ไม่ใช่คนเสียสติ อย่างทิวน้ำ ฉนั้น ผมจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คุณๆทั้งหลายจะพูดถึงพระเถระ แต่ในทางที่เหมาะที่ควร อย่าพยายามที่จะไปมองท่านในแง่ร้าย เราเป็นชาวพุทธ หน้าที่ก็คือ ปกปักรักษาพระพุทธศาสนา อย่าได้พยายามที่จะทำการใดๆให้เกิดเป็นช่องว่าง ให้คนนอกฉวยโอกาสเข้ามาโจมตีเลย นี่ผมขอร้องพวกคุณนะ ....... *********************************************** พวกคุณไม่เห็นหรือว่า คนอื่น เขาจ้องที่จะทำร้าย ทำลายพระพุทธศาสนามากแค่ไหน ? เขาก็เก็บข้อมูลจากเราๆท่านๆนี่แหละ เอามาเป็นหอกทิ่มแทงเราเอง ผมขอร้องว่า เห็นแก่พระพุทธศาสนาโดยรวมเถิด อย่าเอาแต่ความสะใจส่วนตนเป็นที่ตั้งเลย มาช่วยกันปกป้องพุทธศาสนา จากการรุมโจมตีของพวกคนนอกจะดีกว่า ........ ด้วยความนับถือ ฤทธี จากคุณ : Ritti Janson - [ 10 เม.ย. 50 08:00:17 ]

ความคิดเห็นที่ 60 (๑) คุณRitti Janson อย่าประมาทครับ "สนิมเกิดจากเนื้อในเหล็ก" ครับ ทั้งคดีโลก และคดีธรรม ครับ (๒) ทีนี้ก็ขอถามต่อครับว่าความหมายของคำว่า "อนันตริยสมาธิ"  ตามคำแปลของท่านทาสภิกขุนั้นแปลเหมือนกับที่ในพระไตรปิฏกได้แปลไว้หรือไม่หละครับ ? เอ้า ...ตกลง คุณXLmen ยอมรับแล้วใช่ไหมครับว่า (คคห 57) ท่านพุทธทาส ไม่มั่ว เรื่อง "อนันตริยสมาธิ" ดังที่ถามไว้ใน คคห 31 ...คำว่า "อนันตริยสมาธิ"  มีอยู่ในพระสูตรบทไหนตรงตามพุทธวจนะจากพระโอษฐ์อย่างไรจงแสดงหลักฐานในฐานะสาวกแห่งองค์ทาสภิกขุ หรือในฐานะแห่งพุทธบริษัท ๔ มาแสดงด้วย ? เมื่อ จนด้วย ตรรก หรือเหตุผล หรืออะไรก็ตามที่ คคห 54 กลับเสนอว่า ...เหอะๆ ๆ น่าขันดีครับ คุณเซนแถก็ยังชอบสมอ้างหลักฐานแต่ไม่ทำ Link แบบนี้จะใช้ได้หรือครับท่านผู้เฒ่า โลกหนะพัฒนาไปแล้วก็จริงแต่พุทธธรรมในโลกดิจิตอลก็ล้วนแล้วแต่มาจากพระไตรปิฎกที่เป็นมุขปาฐะของพระพุทธองค์ที่ตกทอดมาสู่พระมหาเถระสืบๆ กันมานะครับคุณเซนแถ แบบนี้ "แปลว่าอะไรครับ" คุณXLmen ขันตัวเอง หรือขันอะไรครับ ...ดูเหมือนจุดประสงค์กระทู้จะเปลี่ยน จริงๆ (๓) กลับมาที่ประเด็นกระทู้ กันอีกที โดยส่วนตัวผมคิดว่า.....คำสอนของท่านในยุคหลังๆ เสมือนการบิดเบือนคำสอนพุทธศาสนาให้ผิดเพี้ยนไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้า   รู้สึกเหมือนจะเปลี่ยนคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เป็นคำสอนของศาสนาอื่น จากคุณ : คนบ้านดาบ จขกท ..อ้างหลักฐานนะครับว่า ท่านพุทธทาส กล่าวไว้อย่างไร จึง ตรงกับคำถามที่ถาม...รู้สึกเหมือนจะเปลี่ยนคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เป็นคำสอนของศาสนาอื่น ผมจะหาหลักฐาน มาเสนอว่า จริงตามที่คุณ รู้สึกหรือไม่อย่างไร จากคุณ : เซนเถรวาท (F=9b) - [ 10 เม.ย. 50 10:57:40 ]

ความคิดเห็นที่ 61 แหมะคุณเซนแถฯ ก็เข้าสูตรผีซ้ำด้ามพลอยเหลือเกินนะครับ....จริงอยู่ถึงแม้ว่าผมอาจจะไม่ได้รอบรู้ไปหมดทุกเรื่องเพราะธรรมของพระตถาคตมีปริมาณมาก เมื่อธรรมะบทใดไม่คุ้นหูไม่คุ้นตา หรือธรรมใดเมื่อผมได้ทำการสืบค้นแล้วแต่ยังไม่พบก็อาจจะยังไม่ทราบในธรรมนั้นได้ ทำนองว่าสี่ตีนยังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง.....และเมื่อมีบัณฑิตมาชี้แจงข้ออรรถธรรมอย่างคุณฤทธี มีหรือที่ผมจะไม่น้อมรับฟังหละครับคุณเซนแถฯ....ถ้าผมจะขำขันก็น่าจะขำที่คุณเซนแถฯ เป็นสาวกก้นกุฎิแท้ๆ แต่กลับยกหลักฐานที่มาจากไหนก็ไม่ทราบมาแสดง....เมื่อคุณเซนแถฯ ยกที่มาของหลักฐานไม่ได้มีหรือที่ผมจะไม่อดขำคุณเซนแถฯ ได้เล่า 555+ (ขำอีกทีเพื่อความเพลิดเพลิน หุหุหุ) สิ่งสำคัญที่บัณฑิตควรที่จะเปิดใจในการเสวนาธรรมก็คือ การเปิดใจให้กว้างมุ่งเสวนาธรรมด้วยเจตนาเพื่อกำจัดความไม่รู้ให้หมดไป....ดังนั้นการที่สำนวนหรือตัวสะกดของภาษาไม่ตรงกันอันเป็นเหตุให้เข้าใจผิดเมื่อได้รับการตรวจสอบให้ตรงกันแล้ว ต่อไปก็ต้องมาตรวจสอบกันต่อสิครับว่า ถ้าตัวสะกดต่างกันแล้วความหมายหละต่างกันด้วยหรือไม่ ? ถ้าความหมายของคำว่า  "อนันตริยสมาธิ"  ตามท่านทาสภิกขุ แปล ออกมาสอดคล้องกับคำว่า "อานันตริกสมาธิ"  ในพระไตรปิฎกอันนี้แหละจึงจะเรียกว่าคำสอนถูกต้องไม่บิดเบือนพุทธวจนะนะครับคุณเซนแถ ในพระไตรปิฎกนั้นได้ระบุชัดเจนว่าการจะเรียกว่าเป็น "อานันตริกสมาธิ" ได้นั้นสมาธิจิตจะต้องทรงตัวตั้งแต่ระดับฌาน ๔ เป็นต้นไป นั่นก็คือจิตจะต้องทรง เอกัคคตาจิต ซึ่งจริงๆ แล้วสมาธิในระดับ  "เอกัคคตาจิต" นี้จัดเข้าอยู่ในฌานที่ ๕ ที่ละอุเบกขาของฌานที่ ๔ ไปแล้ว ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดเจนว่าคำว่า "อานันตริกสมาธิ"  นี้หมายเอาสมาธิที่แนบแน่นมาก ส่วนคำว่า "อนันตริยสมาธิ" ของท่านทาสภิกขุนั้นหมายเอาเพียงแค่ ---->"ทุกคราวที่เรามีความต้องการ (ตัณหา) และทำอะไร (กรรม+กริยา) ด้วยสติปัญญา สัมมาทิฎฐิอย่างเต็มที่ ----> ถ้าจะวิเคราะห์ว่าจิตยังเสวยอารมณ์ต้องการ คือ ตัณหา หรือฉันทะก็ดีย่อมเท่ากับจิตยังไม่เป็นเอกัคคตาจิตอย่างสมบูรณ์ ซึ่งจะทำให้ความหมายของคำแตกต่างไปหรือไม่อย่างไร ? ผู้มีปัญญาทั้งหลายคงต้องพิจารณากันเอาเองแล้วหละครับ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- สำหรับคำชี้แนะของคุณฤทธีนั้นผมขอน้อมรับฟังโดยดีครับ....ก่อนอื่นผมต้องขอชี้แจงก่อนครับว่าเจตนาที่นำมรดกธรรมบางข้อมาหยิบยกแสดงนั้นมิใช่เป็นเจตนาร้ายหรือรังเกียจด้วยอคติแต่ประการใดเลยนะครับ ข้อธรรมที่ท่านทาสภิกขุที่ดีๆ ก็มีมากส่วนใหญ่แล้ว ผมก็น้อมรับไว้เช่นกัน....แต่สำหรับมรดกธรรมบางข้อเท่านั้นที่ออกจะเป็นปัญหาที่ไม่อาจจะปล่อยผ่านไปได้.... และถ้าสิ่งนี้จะเป็นช่องโหว่ก็น่าจะเป็นช่องโหว่ที่ท่านทาสภิกขุได้ทำขึ้นมาโดยไม่สอดคล้องกับพระไตรปิฎกก็เท่านั้นเองครับ ถ้าหากต้องการให้ช่องโหว่เหล่านี้หมดไปคงจะต้องเริ่มมีการสังคยานาคำสอนของท่านทาสภิกขุที่เคยพิมพ์เป็นหนังสือแจกจ่ายที่วางขายอยู่ในท้องตลาดทั้งหมดให้มีความถูกต้องมากกว่าที่เป็นอยู่นี้....หาไม่เช่นนั้นแล้วความเข้าใจผิดในหลายๆ ส่วนจะขยายวงกว้างและนี่แหละคือภัยใหญ่ในอนาคตเป็นเนื้อร้ายต่อพระพุทธศาสนาของจริงอย่างเลี่ยงไม่ได้ทีเดียวครับ ////////////////////////////////////////////////////////////////// สิ่งที่ต้องปรับความเข้าใจเสียใหม่ของท่านทาสภิกขุคือ : - ๑. ความไม่เชื่อในพุทธญาณ เรื่อง นรก สวรรค์ โดยคิดไปเองว่าพระพุทธองค์เอออวยมาจากคติของพราหมณ์ ๒. ความไม่เชื่อเรื่องภพภูมิ หรือภพชาติ คิดว่ามีเพียงชาติเดียวที่รอเข้าโลงเท่านั้น ๓. ความเชื่อว่าสัตว์ก็นิพพานได้ ไฟก็นิพพานได้ โดยหลงผิดคลาดเคลื่อนจากพระไตรปิฎกที่เป็นเพียงการอุปมาอุปมัย เมื่อความเข้าใจผิดหลงผิดว่าการอุปมาเป็นเรื่องจริงความบิดเบือนจึงเกิดขึ้น ๔. ความเชื่อว่าพระอภิธรรมเป็นการรจนาขึ้นมาใหม่ มุ่งเน้นสอนให้โกยพระอภิธรรมทิ้งลงทะเลเสียให้หมด ๕. ความเชื่อที่เข้าใจผิดคิดว่า นิพพาน สามารถเข้าถึงได้แบบง่ายๆ เดี๋ยวนี้ตอนนี้ ปล. มีหลายคนสงสัยว่าทำไมผมจึงไม่นำเรื่องนี้มาพูดตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เล่า....ก็ขอตอบชัดๆ เลยครับว่าสมัยนั้นผมยังไม่เคยได้ยินคำสอนแบบแปลกประหลาดจนกระทั่งเพิ่งจะมาเคยได้ยินคำสอนแบบประหลาดๆ ก็ปี 49-50 นี่แหละครับเรียกว่าได้ยินได้ฟังช้าไปนิดถ้าได้รู้ก่อนหน้านี้มีหรือที่ผมจะปล่อยวางเฉยเหมือนท่านอื่นๆ ที่รู้นานแล้วแต่ละเลยไปได้เล่าครับ จากคุณ : XLmen - [ 10 เม.ย. 50 17:19:05 ]

ความคิดเห็นที่ 62 แหมะคุณเซนแถฯ ก็เข้าสูตรผีซ้ำด้ามพลอยเหลือเกินนะครับ....จริงอยู่ถึงแม้ว่าผมอาจจะไม่ได้รอบรู้ไปหมดทุกเรื่องเพราะธรรมของพระตถาคตมีปริมาณมาก เมื่อธรรมะบทใดไม่คุ้นหูไม่คุ้นตา หรือธรรมใดเมื่อผมได้ทำการสืบค้นแล้วแต่ยังไม่พบก็อาจจะยังไม่ทราบในธรรมนั้นได้ ทำนองว่าสี่ตีนยังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง.... คุณXLmen รู้แบบนี้ เมื่อไหร่ครับ มากำหนด กัน ตามหลักฐาน นะครับ คุณXLmen รู้ตัว แบบ "สี่ตีนยังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง" เมื่อไหร่ (๑) ตอนที่ตั้งกระทู้นี้ ..8 เม.ย. 50 21:56:59 หรือว่า ตอน (๒) คคห 14 ...9 เม.ย. 50 01:40:48 หรือว่า ตอน (๓) คคห 31 ....9 เม.ย. 50 13:39:14 หรือว่า ตอน (๔) คคห 39 -44 ...9 เม.ย. 50 16:14:49 หรือว่า ตอน (๕) คคห 54 ...10 เม.ย. 50 00:03:09 หรือว่า ตอน (๖) คคห 57 ..ทีนี้ก็ขอถามต่อครับว่าความหมายของคำว่า "อนันตริยสมาธิ"  ตามคำแปลของท่านทาสภิกขุนั้นแปลเหมือนกับที่ในพระไตรปิฏกได้แปลไว้หรือไม่หละครับ ? *************************************                       อานันตริกสมาธิญาณ เมื่อ...10 เม.ย. 50 02:18:48 สรุป คคห 61 คุณXLmen เสนอว่า สิ่งสำคัญที่บัณฑิตควรที่จะเปิดใจในการเสวนาธรรมก็คือ การเปิดใจให้กว้างมุ่งเสวนาธรรมด้วยเจตนาเพื่อกำจัดความไม่รู้ให้หมดไป ดังนั้น เมื่อไหร่ ที่คุณXLmen รู้ชัดด้วยวิชชาว่า ข้าพเจ้า ผู้ใช้นามแฝงว่าXLmen เป็นบัณฑิต ในฐานะอนุพุทธสาวกของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ของพระอุปัชฌาจารย์ใดๆ ้ก็..ค่อย ตั้งกระทู้แบบนี้อีก ...หรือแบบ กระทู้ http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y5305713/Y5305713.html ที่ตั้งโดย..XLmen  - [ 10 เม.ย. 50 00:26:38 นะครับ นะครับ นะครับ (กระจกอยู่ตรงหน้าแล้ว จะดูดีดีหรือคิดจะทุบกระจกครับ?) นะครับ หวังว่า ที่ผมเสนอนี้ มีเหตุมีผล นะครับ จากคุณ : เซนเถรวาท (F=9b) - [ 10 เม.ย. 50 17:42:28 ]

ความคิดเห็นที่ 63 คุณเซนแถฯ คุณยังไม่รู้ตัวอีกหรือว่าคำแปลของท่านทาสภิกขุ กับในพระไตรปิฎกนั้นไม่ตรงกัน...อ่านด้านบนที่ผมเสนอยังไม่เข้าใจอีกหรืออย่างไรกันครับ แบบนี้มีตาหามีแววไม่หรืออย่างไรจึงเสนอกระจกให้คนอื่นส่องโดยไม่คิดที่จะส่องกระจกชะโงกดูเงาตนเองซะอย่างนั้นหละครับคุณเซนแถฯ ถ้าคุณเซนแถฯ จะเสนอให้มีเหตุผลเข้าท่ากว่านี้ไหนช่วยอธิบายหน่อยสิครับว่าคำว่า "อนันตริยสมาธิ" ที่ท่านทาสภิกขุแปลออกมานั้น สอดคล้องกับคำว่า "อานันตริกสมาธิ" ในพระไตรปิฎกอย่างไร ? ปล. ตอบให้ตรงประเด็นนะครับคุณเซนแถฯ การเซไฉหรือแถอาจทำให้ลืมล้มหน้าแตกได้นะครับ เหอะๆๆ จากคุณ : XLmen - [ 10 เม.ย. 50 18:10:38 ]

ความคิดเห็นที่ 64 คุณXLmen  "เป็นฝักฝ่ายไหนครับ ระหว่างสำนักที่แปลบาลีว่า นั่งในอาสนะ ถูก ..แปล นั่ง บนอาสนะผิด / กับแปลว่า นั่งบนอาสนะถูก แปลว่า นั่งในอาสนะผิด ...ทั้งๆ ที่บาลี มัน ไม่มีคำว่าใน ว่านั่ง" แค่นี้นะครับ ...คุณXLmen จากคุณ : เซนเถรวาท (F=9b) - [ 10 เม.ย. 50 18:59:36 ]

ความคิดเห็นที่ 65 นั่นว่าแล้วไหมหละขนาดผม ปล. ย้ำแล้วว่าขอให้ตรงประเด็นอย่าแถเฉไซคุณเซนแถฯ ก็ยังอดใจแถไปเรื่องอื่นไม่ได้อีกแหนะ.....เหอะๆๆ ว่าแต่สำนักนั่งในอาสนะหรือสำนักนั่งบนอาสนะนี่ผมไม่รู้จักนะคุณเซนแถฯ ขออภัยที่ลืมกรอกใบสมัครในสำนักที่คุณเซนแถฯ กล่าวมาทั้งหมดครับ หุหุหุ อย่าลืมแสดงธรรมโปรดผมหละคุณเซนแถฯ ผมกำลังรอฟังการแสดงธรรมของคุณอยู่นะครับ v v ช่วยอธิบายหน่อยสิครับว่าคำว่า "อนันตริยสมาธิ" ที่ท่านทาสภิกขุแปลออกมานั้น สอดคล้องกับคำว่า "อานันตริกสมาธิ" ในพระไตรปิฎกอย่างไร ? จากคุณ : XLmen - [ 10 เม.ย. 50 21:03:20 ]

ความคิดเห็นที่ 66 สิ่งที่ได้จากการอ่านหนังสือของท่านพุทธทาสหลักๆก็คือ ตัวกูของกู ถ้าละตัวกูของกูได้แล้วภพชาติก็จะไม่มี ปัญหาต่างๆ ก็จะหมดไป ความทุกข์ก็จะหายไป บวกกับการปล่อยวางแบบศาสนาเซนที่ท่านมักจะเขียนถึงบ่อยๆ นี่คือหลักธรรมง่ายๆที่ท่านพยายามจะบอกมนุษย์ จากคุณ : . (minjung) - [ 10 ต.ค. 50 10:33:43 ]

ความคิดเห็นที่ 67 กระทู้อยู่ยั้งยืนยง แปลกดี ขอร่วมลงชื่อหน่อย อิอิ จากคุณ : สุภวิโมกข์ - [ 18 ก.พ. 52 10:17:17 ]