ความคิดเห็นที่ 28
หวัดดีค่าพี่น้อง
กลับมาแล้วค่า หลังจากติดภารกิจเรื่องงานแบบมาราธอนเสาร์-อาทิตย์รวด เฮ้อ!!! นั่งตำข้าวสารกรอกหม้อ (แบบใครบางคนในนี้ หุห) จนสายตัวแทบขาดแน่ะค่ะ
หวัดดีปุ๋ยคนสวย วาฬน้อยคนดีที่หายหน้าหายตาไปนานนะคะ รวมทั้งหวัดดีสมาชิกใหม่ชื่อหวานละมุนด้วยค่ะ
ไม่ขอพูดพล่ามทำเพลงนะคะ ขอรีวิวเีรื่องที่เพิ่งอ่านจบ แบบไม่ติดเบรคเลยค่า
Journey to the Alcarria Camilo Jose Cela
เล่มนี้เป็นเล่มที่ซื้อมาตอนคิโนะลดราคา ขายเล่มละร้อยเองค่ะ คุ้มมากเลย เห็นแค่ว่าเป็นหนังสือของสำนักพิมพ์ granta และคนแต่งเป็นนักเขียนรางวัลโนเบลของประเทศสเปนก็รีบซื้อมาโดยพลัน และตั้งใจอ่านโดยทันที ปรากฏว่าเริ่มหลงรักตั้งแต่เริ่มอ่านเลยค่ะ หนังสือเล่มนี้จัดอยู่ในประเภท non-fiction อยู่ในแนว travel writing ค่ะ เป็นการเขียนเล่าเรื่องราวการเดินทางท่องเที่ยวของตัวผู้เขียนเอง (Camilo Jose Cela - ที่ในเรื่องจะใช้คำว่า traveler แทนตนเอง) เมื่อครั้งที่ได้เดินเท้าเข้าไปท่องเที่ยวในแคว้น อัลคาเรีย ของประเทศสเปน
หนังสือเป็นการเล่าเรื่องการท่องเที่ยวในช่วงปี 1946 หรือ 7 ปี ภายหลังจากการสิ้นสุดสงครามกลางเมืองของประเทศเสปน สาเหตุที่ผู้เขียนเลือก แคว้นอัลคาเรียนี้ เนื่องจากเป็นแคว้นที่มีความเป็นสแปนิชสูงที่สุด เป็นแถบที่ไม่ค่อยมีความเจริญ และความเปลี่ยนแปลงใดๆ เข้ามาส่งผลต่อความเป็นอยู่ของผู้คนในแถบนั้นเลย ผู้คนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม และยังคงเสน่ห์แห่งความเรียบง่ายของชนบทแบบเสปนไว้อย่างเต็มเปี่ยม
ด้วยวิธีการเดินทางแบบค่ำไหนนอนนั่นของผู้เขียน ส่งผลให้หนังสือดำเนินเรื่องไปอย่างเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยมนต์เสน่ห์ แห่งความงดงามของภูมิประเทศของประเทศเสปนค่ะ อ่านแล้วมองเห็นภาพการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้คน ท่ามกลางแสงแดดเจิดจ้า ของหน้าร้อนในเมืองชนบท ที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังเดินทางกันด้วยล่อที่ใช้เทียมรถลาก หรือไม่ก็จะมองเห็นภาพหญิงม่าย ในชุดไว้ทุกข์ที่มีผ้าคลุมหน้าลูกไม้สีดำ นั่งสงบนิ่งบนล่อ ประหนึ่งว่าตนเองนั้นไร้ชีวิตเช่นเดียวกับสามีที่จากไปเช่นกัน หรือภาพสะท้อนของห้องอาหารของที่พักคนเดินทางที่มีสีสันสดใสไปด้วยภาพเขียนของวาลาสเกซ หรือแม้กระทั่งการบรรยายถึงต้นฮอว์ธอร์นกลิ่นหอมที่ออกดอกบานสะพรั่ง ขาวสะอาดดุจดอกส้ม ที่อ่านแล้วประทับใจเป็นอย่างยิ่งค่ะ อีกทั้งภาษาที่ใช้ก็สั้น กระชับ งดงาม และได้ใจความมากค่ะ นอกจากเรื่องทิวทัศน์ที่งดงามแล้ว หนังสือยังถ่ายทอดความสัมพันธ์ระหว่าง traveler กับผู้คนที่เขาได้ประสบพบพานในช่วงการเดินทางผ่านเมืองแต่ละเมืองในแคว้นนี้อีกด้วย ซึ่งผู้คนที่มาจากต่างที่กันก็จะมีนิสัยแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด บางคนจะค่อนข้างเป็นมิตร บางเมืองจะค่อนข้างถือตัว บางเมืองก็จะมีลักษณะการกินที่ไม่ค่อยจะถูกสุขลักษณะเท่าไร บางเมืองเช่น Casasana ผู้คนที่นั่น จะเป็นคนที่ขยันทำงานมาก ถึงกับมีชื่อเรียกเล่นๆว่า Squatter เนื่องจากชาวบ้านชอบนั่งหลับเพื่อให้ตนเองลุกขึ้นตื่นไปทำงานตอนเช้าได้เร็วขึ้นค่ะ หรือบางที่ก็จนมากกระทั่งไม่มีแม้แต่ขนมปังขายนักท่องเที่ยว เป็นต้น
แต่มีอยู่ตอนหนึ่งในเรื่องที่พี่ประทับใจมาก เป็นการเขียนเล่าเรื่องการเดินเที่ยวในสวนของโรงงานทอผ้าที่ปิดไปแล้วของผู้เขียน ซึ่งบรรยายไว้อย่างงดงามและโรแมนติคมากค่ะ ลองอ่านดูนะคะ
The garden of the factory is a romantic garden, a garden to die when one is very young, of love or desperation, of consumption and nostalgia. Beside the graceful almond tree, which seems like a dead young girl, grows the solemn cypress, so like a living penitent. Behind the pruned and shaped box hedges bloom the pagan roses of Jerico. Near the perennial myrtle the wild honeysuckle is pale by contrast. The traveler walks among the rhododendrons and in spite of himself his mind is flooded with delicate, unhealthy lines from Shelly; wine, honey, new moon, dog-rose
..
หรือบทสุดท้ายของการเดินทางที่ผู้เขียนไปสิ้นสุดที่เมือง Pastrana ที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีความพยายามที่จะใช้พระราชวังเก่ามาดัดแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อเก็บ tapestry ที่ได้มาจากโปรตุเกส แต่ในที่สุดรัฐบาลเสปนก็เป็นผู้กำหนดให้ไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ที่เมืองมาดริดแทน ท่ามกลางความผิดหวังของชาวเมือง Cela แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าฟังว่า
but he also thinks that this mania for putting all the worthwhile things into museums in Madrid is ruining the provinces which are, after all , the nation. Things are always best seen when they are a trifle mixed-up, a trifle disordered; the chilly administrative neatness of museums
., is an unhuman and antinatural kind of order; it is, in a word, disorder. True order belongs to Nature, which never yet has produced two identical trees or mountains or horses.
สรุปว่าเป็นหนังสือเล่มที่พี่ประทับใจมากๆๆๆๆที่สุดเล่มนึงเลยค่ะ ขอให้คะแนน 10 เต็มไปเลย อ่านด้วยความอิ่มเอมใจจนแทบอยากอ่านซ้ำไปซ้ำมาอีกหลายๆรอบ ประทับใจซะจนตั้งใจไว้ว่าจะต้องขวนขวายหางานของนักเขียนท่านนี้มาอ่านอีกให้จงได้ (ที่สำคัญคือชื่อผู้คน ภาษาเสปนอ่านแล้วชวนให้ใจละลายเพราะว่าเพราะเหลือเกินค่ะ)
เกี่ยวกับผู้เขียน - Camilo Jose Cela เป็นนักเขียนชาวเสปน ที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมเมื่อปี 1989 มีผลงานที่มีชื่อเสียงโด่งดังเช่นเรื่อง The Family of Pascal Duarte, Rest Home, และ The Hive ค่ะ
จากคุณ :
พี่เพติ๊ด
- [
17 พ.ค. 47 22:54:56
A:203.107.199.57 X:
]
|
|
|