ความคิดเห็นที่ 1 ลืมรูปค่ะ จากคุณ : ทรายขาวในเงาจันทร์ เขียนเมื่อ : วันพ่อแห่งชาติ 55 23:10:13

ความคิดเห็นที่ 2 "ไม่ต้องการให้แสดงความคิดเห็นเรื่องการเมือง" เล่นมาตีกรอบการ "ตีความ" ซึ่งควรกระทำตามเสรี  เยี่ยงนี้ แล้วใครหล่ะ จะมี "ตีความ" ให้คุณฟัง เกิดมา มีลมหายใจ ร่างกายและจิตใจเราก็สัมผัสกับการเมืองแล้ว   แล้วจะไปหน่ายแหนงแคลงใจอะไรกันมันหนักหนา   มันมิใช่แค่เรื่อง ศรัทธา ตั้งค่าย ตั้งรับ พร้อมประชัน ฯลฯ อะไรทำนองนั้นเท่านั้น   การเมือง เรื่องอำนาจ และการแบ่งปันผลประโยชน์ เป็นเรื่องที่น่าสนใจเสมอ สรุป เมื่อกำหนด ให้งดแสดงทัศนะทางการเมือง เราจึงของดแสดงอรรถาธิบาย หรือตีความ บทอาเศียรวาทข้างต้น   แต่ขอแย้มนิดหนึ่งว่า โดนใจเรามากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก  เพราะแปลกกว่าบทกลอนเชิงนี้ของคนอื่นๆ จากคุณ : ปากกัดตีนถีบ จีบไม่ลง (ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง) เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 00:01:04

ความคิดเห็นที่ 3 เราอ่านแล้วไม่เข้าใจค่ะ ว่ากลอนนี้เป็นอาเศียรวาทอย่างไร? เราเข้าใจว่า "อาเศียรวาท" หมายถึง คำอวยพรให้กับผู้ใหญ่ แต่ เราอ่านกลอนนี้แล้วไม่เข้าใจว่า อวยพรอะไรหรือคะ? จากคุณ : S.S. เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 00:29:39

ความคิดเห็นที่ 4 http://www.oknation.net/blog/2279/2012/12/05/entry-1 ความเห็น 15 เลยค่ะ จากคุณ : ม้วนต้วน เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 01:19:39

ความคิดเห็นที่ 5 ใจเย็น ๆ จ๊ะ คนกันเองทั้งนั้น http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K13027149/K13027149.html#4 ความคิดเห็นที่ 4   ขออนุญาต นสพ มติชน และ ผู้ประพันธ์นะครับ เพื่อ แปลบท อาเศียรวาท นี้ ผมเอง ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านภาษาหรือรอบรู้อะไรแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่ได้เกี่ยวข้องกับ นสพ มติชน หรือ นสพ ใดด้วย เริ่มเลยครับ บท อาเศียรวาท นี้ เป็นแนว อุปมาโวหาร ครับ ต้องตีความกันจึงจะพอเข้าใจ ( บ้าง ) ผู้ประพันธ์กับผู้อ่าน บางทีตีความต่างกัน คนเขียนสื่ออย่างนี้ คนอ่านเข้าใจอย่างนั้น ยุ่งเหมือนกัน เหมือนผมตอนนี้เลย ดังนั้น การตีความที่ผมจะสื่อนี้ อาจจะใช่และอาจไม่ใช่ความตั้งใจของผู้ประพันธ์ และ อาจตรงและไม่่ตรงความเข้าใจของผู้อ่านคนอื่นด้วย บทอาเศียรวาท นี้ คือ กลอน 7 นะครับ มี 2 บท บทละ 4 บาท เป็นแนว อุปมาโวหาร คือการเขียนโดยยกเทียบเปรียบเปรย เพื่อให้สื่อความถึงสิ่งทึ่ผู้ประพันธ์ตั้งใจ ในที่นี้ สื่อถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครับ เพราะผู้ประพันธ์และมติชน ได้อัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์ มาไว้เหนือบทอาเศียรวาทนี้ ความหมายของบทประพันธ์ นี้ แบ่งเป็น 2 นัย 2 สถานการณ์นะครับ สถานการณ์ที่ 1 คือ บทแรก นั้น โดยรวมหมายถึงสถานการณ์ทึ่เป็นปกติสุข ( อาจเป็นของผู้ประพันธ์ ของประชาชน ของบ้านเมือง และอื่น ๆ ) สถานการณ์ที่ 2 คือ บทหลัง นั้น โดยรวมหมายถึงสถานการณ์ที่ไม่ปกติสุข( อาจเป็นของผู้ประพันธ์ ของประชาชน ของบ้านเมือง และอื่น ๆ ) โดยบทแรก ผมเข้าใจว่า บาทที่ 1 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์ดีและทรงสุขเกษมสำราญ โดยได้ปรากฏพระวรกายต่อปวงชนชาวไทย ในมงคลวโรกาสนี้ นั้น บาทที่ 2 สิ่งต่าง ๆ ใด ที่เป็นทุกข์โทมนัสหรือความกังวลใดใดในใจของไพร่ฟ้าประชาราษฎรทั้งปวง ก็พลันหายไป บาทที่ 3 เมื่อไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ข้าราชการทุกหมู่เหล่าได้รับรู้รับทราบข่าวสาร หรือได้ชื่นชมพระบารมีของพระองค์ นั้นแล้ว บาทที่ 4 ความสุขกายสบายใจ อยู่เย็นเป็นสุขก็พลันบังเกิดขึ้นในใจของปวงชนชาวไทยทั้งปวง เนื่องจากพระบารมี เนื่องจากพระมหากรุณาธิคุณ ที่ได้รับจากพระองค์ท่าน บทที่ 2 แต่ในยามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีอาการพระประชวรต่าง ๆ โดยในยามที่ พระสุขภาพพลานัยไม่แข็งแรงบริบูรณ์นั้น บาทที่ 1 ในยามที่บรรยากาศของประเทศชาติบ้านเมืองไม่เป็นปกติสุขนัก หรือในยามที่ทุกข์โทมนัสในใจของปวงชนชาวไทยเกิดขึ้น อันเนืีองจาก พระอาการประชวรของพระองค์ท่าน หรือเรื่องการดำรงชีวิตโดยปกติของประชาชน บาทที่ 2 ประเทศชาติบ้านเมืองก็ดูเหมือนไม่เป็นปกติสุขนัก หรือ ความทุกข์โทมนัสในใจของวงราษฎร์ก็บงเกิดขึ้น แม้เรื่องน้อยนิด ก็มีกำลังมากส่งผลกระทบมาก บางคราร้อนจนเกือบเกรียมไหม้ บางคราหนาวไปจนเกือบสั่นสะท้าน เพราะต่างกังวลใจในอาการพระประชวร รือการไม่มีที่พึ่งทางใจ ไม่มีศูนย์รวมจิตใจ บาทที่ 3 ไม่ว่า ปวงไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ทั้งน้อยใหญ่ต่างก็บังเกิดความกังวลใจ อยู่ร้อนนอนทุกข์กันทั้งนั้น อันสืบเนื่องจากความกังวลใจเรื่องพระสุขภาพพลานามัยของพระองค์ท่าน บาทที่ 4 ทั้งนี้ ทำให้ ปวงไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ทั้งน้อยใหญ่ในประเทศชาติบ้านเมือง ต่างก็ประจักษ์ใจ รับรู้และเข้าใจกันเป็นอย่างดีแล้วว่า เมื่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์ดีแล้ว เช่นปัจจุบันนี้ พวกเราปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าในประเทศนี้ในบ้านเมืองนี้ และรวมไปถึงที่อาศัยทุกภูมิภาคของโลก ต่างบังเกิดความปีติสุขอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ทรงพระเจริญ ปล เปล่าหลอก การตีความนี้ ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งภูมิปัญญาอันน้อยนิด ของกระผมครับ หากคลาดเคลื่อนไปบ้าง ขอท่านผู้รู้ได้โปรดเมตตาแนะนำพร่ำสอนด้วย จากคุณ : นกมีหูหนูมีปีก (ฮกกงจื้อ)   เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 01:06:31 จากคุณ : นกมีหูหนูมีปีก (ฮกกงจื้อ) เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 01:22:37

ความคิดเห็นที่ 6 ผมแปลได้ประมาณนี้นะครับ  ถูกผิดรึป่าวไม่รู้  คือสำหรับสื่อค่านี้ แปลในทางบวกน่าจะไม่ถูก บาท2-4 น่าจะหมายถึงความกระหาย (ดูร้ายแรงไปมั๊ยเนี่ย)ในอำนาจตามตำแหน่ง เมื่อมีคนรู้ถึงจุดนี้จึงนำมามอบให้ (จอมพลท่านหนึ่ง) จึงเปรียบอำนาจประดุจน้ำฝน พอมีอำนาจและบารมี=กลุ่มก้อยเมฆ ก็ใช้ด้วยอารมณ์ เปรียบกับความแปรปรวนของลม หากใช้ดีก็นำสุข หากใช้ร้ายก็นำทุก (นัยยะของบาทรองสุดท้าย) ส่วนบาทแรกหมายถึง เมื่อรู้ว่าใครหรือตนได้เป็นกษัตริย์ ก็ปรารถนาตาม บาท 2-4 และจบด้วยคำถามที่ว่า คิดว่ามีกษัตริย์ดีแล้วหรอ?นัยยะสะท้อนว่าอำนาจอยู่ที่คนๆเดียว ---------------------------------------------------------------------------------- แต่ผมมองตรงข้ามเพราะ อำนาจยังควรอยู่กับคนที่มีสิทธิ์ใช้โดยลำพัง เนื่องจากประเทศยังไม่พร้อมกับการกระจายอย่างแท้จริง อย่างน้อยที่สุดคนที่มีอำนาจคนเดียวและเป็นตำแหน่งที่ไม่ต้องแย่งกับใคร ก้ไม่มีความจำเป็นต้องใช้อำนาจในทางที่ผิด เพื่อแก่งแย่งแข่งขัน เว้นแต่จะมองว่าอำนาจที่ใช้คนเดียวขัดผลประโยชน์ตนก็จะคิดว่าควรจะแบ่งอำนาจออกไปจะได้ไม่มีเครื่องมือเพื่อสร้างบารมีได้ ลองสมมติให้ตอนนี้เป็น สาธาณรัฐไทย  ก็คงลงหลุมเหมือน ฟิลิปินส์แน่นอน เพราะนักโกงเมืองยังทำร้ายประเทศอยู่มากกกกกกกกกกกกกก ปล. ถูกผิดผมไม่รู้นะ แค่แสดงความเห็นเฉยๆ จากคุณ : PingZaThammasat (PingZaThammasat) เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 03:26:24

ความคิดเห็นที่ 7 หลายปีก่อน เคยได้ยินบางคนแนะนำให้ไปอ่านบทความจากสื่อค่ายนี้ โดยเฉพาะบทความจากนักวิชาการชื่อดัง อ่านแรกๆ ก็รู้สึกเฉยๆ อ่านไปนานๆ ทำไมนักวิชาการชื่อดังคิดแบบนี้ได้ อยากจะบอกว่า วิธีคิดแบนนี้ เลว นำประเทศและสังคมไปสู่หายนะ จากคุณ : ผ่านมา เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 06:01:15 A:115.87.130.160 X: TicketID:117365

ความคิดเห็นที่ 8 อาเศียรวาทนี่ต้องเป็นฉันท์กับฉบังไม่ใช่หรอครับ จากคุณ : พลายแป้ง เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 07:15:56 A:161.200.118.51 X: TicketID:120371

ความคิดเห็นที่ 9 เลิกอ่านหนังสือพิมพ์นี้ไปนานละ จากคุณ : arseno196 เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 07:21:43

ความคิดเห็นที่ 10 คคห.ที่ 5 ให้กิ๊ฟไม่ได้...ขอบคุณนะคะ คคห.ที่ 8 เราคิดว่าอาเศียรวาท ไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นฉันท์กับฉบังเท่านั้นนะคะ ไปค้นในอากู๋มาแล้ว ตามนี้ค่ะ อาศิรวาท หมายถึง         อาศิรวาท (อ่านว่า อา-สิ-ระ -วาด) ประกอบด้วยคำภาษาสันสกฤต ๒ คำ คือ อาศิร (อ่านว่า อา-สิ-ระ) กับ วาท (อ่านว่า วา-ทะ). อาศิร แปลว่า การสรรเสริญ. วาท แปลว่า ถ้อยคำ. อาศิรวาท จึงแปลว่า คำสรรเสริญ, คำอำนวยพร. ในภาษาไทยใช้คำว่า อาศิรวาท เรียกถ้อยคำที่ประพันธ์ขึ้นเพื่อถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.         คำว่า อาศิรวาท แผลงเป็นคำว่า อาเศียรวาท ก็ได้. อาศิรวาท หรือ อาเศียรวาท นิยมแต่งเป็นบทร้อยกรอง และที่ใช้มากที่สุดคือฉันท์ เช่น สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ (อ่านว่า สัด-ทุน-วิก-กี-ลิด-ตะ-ฉัน)  วสันตดิลกฉันท์ (อ่านว่า วะ -สัน-ตะ-ดิ -หฺลก-ฉัน) อินทรวิเชียรฉันท์ (อ่านว่า อิน-ทฺระ-วิ -เชียน-ฉัน). ที่แต่งเป็นกาพย์ โคลง หรือ กลอน ก็มีบ้าง. คำถวายพระพรที่เรียกว่า อาศิรวาท นั้น มักจะมีคำกล่าวสรรเสริญพระบารมีหรือพระมหากรุณาธิคุณเป็นการสดุดีด้วย จึงมีคำว่า อาศิรวาทราชสดุดี (อ่านว่า อา-สิ -ระ-วาด-ราด-ชะ-สะ -ดุ-ดี). ที่มา/อ้างอิง  : ราชบัณฑิตยสถาน.  (๔ ธันวาคม  ๒๕๕๔). http://krupiyarerk.wordpress.com/tag/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%97-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD/ แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 55 08:30:51 จากคุณ : ทรายขาวในเงาจันทร์ เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 08:30:25

ความคิดเห็นที่ 11 ถ้าสื่อนี้ มีเจตนาดี (อย่าบอกว่าปากว่า ตาขยิบ) ขอให้โชคดี         แต่ถ้า มีเจตนาร้าย  ขอให้มัน  _ิบหายทั้งชั่วโคตร         ทำมาค้าขาย หรือทำธุรกิจ อันใด ขออย่าได้เจริญรุ่งเรือง ขอให้ เจ๊ง สาธุ         (ปล. ไม่เคยเสียเงินซื้อ สื่อนี้เลย  เสียดายเงิน)          สื่อนี้คงเริ่มเจ๊งแล้วล่ะ จากคุณ : เด็กน้อยปลายรุ้ง เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 10:58:49

ความคิดเห็นที่ 12 มิน่าล่ะ ผอ. ฉันรีเควสท์มติชนทุกเช้า พร้อมกาแฟ เฮ้อ... จากคุณ : goldent เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 11:02:33

ความคิดเห็นที่ 13 ไม่น่าจะต้องแต่งให้ตีความยากขนาดนั้น แล้วใครคือคนแต่งหรอคะ ไม่มีชื่อบอกไว้เหมือนอย่างหน้าเว็บพันทิปเหรอ จากคุณ : thezircon (thezircon) เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 11:19:34

ความคิดเห็นที่ 14 ของง่ายมันไม่ท้าทายความคิด มันดาดๆ ขาดรสชาติแห่งความแปลกใหม่ และไม่สะดุดตา  อ่านครั้งเดียวจบผ่าน วรรณกรรมดีๆ ต้องอ่านหลายครั้งหลายเที่ยว เพราะมันมีอะไรดีๆให้ค้นหาในนั้นมากมาย จากคุณ : ปากกัดตีนถีบ จีบไม่ลง (ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง) เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 11:35:35

ความคิดเห็นที่ 15 พ่อแม่ใครชอบกลอน แบบให้ค้นหาเยอะๆ ท้าทายความคิด บอกมานะคะ วันเกิดวันไหน จะแต่งให้ อวยพรให้ จากคุณ : ซีเหน่หาx2 เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 11:39:26

ความคิดเห็นที่ 16 นี้แหละเทพ แปลกใหม่ ไม่ซ้ำใคร ให้ประชาชนทั้งหลายได้กระตุ้นปัญญาขบคิดบ้าง ดีกว่าแต่งมาแบบโต้งๆ อวยพรแบบทุกๆปี มันก็ซ้ำๆกันไปมาอะฮะ จากคุณ : นานาอาละวาด เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 12:00:31

ความคิดเห็นที่ 17 สื่อนี้มันเลว มันเลือกข้างครับ เราต้องช่วยกันแบนมันให้หมดจะได้เจ๊งไวๆ จากคุณ : Lovemania เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 12:51:51 A:110.168.169.145 X: TicketID:378791

ความคิดเห็นที่ 18 เห็นด้วยกับ 6 ครับ จากคุณ : Lovemania เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 12:54:04 A:110.168.169.145 X: TicketID:378791

ความคิดเห็นที่ 19 การกระจายอำนาจเป็นวิธีของฝรั่ง เขาเป็นคนที่เจริญแล้วเลยทำได้ แต่คนไทยยังไม่พร้อมสำหรับวิธีการนี้ ผมว่ายังไงเราก็ควรที่จะให้มีผู้นำสูงสุดที่ใช้อำนาจนั้นโดยธรรม เพื่อประโยชน์แห่งพสกนิกรไทย จากคุณ : Lovemania เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 12:55:50 A:110.168.169.145 X: TicketID:378791

ความคิดเห็นที่ 20 ส่วนตัว ถ้าจะบอกว่าตีความ ได้หลาย แบบก็อย่าเขียน มาอวยพร กันเลยจะดีกว่า การตีความ มันอาจจะทำได้หลาประกาน แต่ มันขึ้น จำเป็นต้องให้ตีความไหม เขียน แค่คำว่า รักพ่อ  ง่ายก็เข้าใจได้ง่ายกว่า เพียงแต่ทำไม่ได้ เพราะ อะไรไม่จำเป็นต้องอธิบายกัน   คนบางจำพวก แค่คิดว่าตัวเอง โผล่พ้นน้ำ  เท่านั้น จากคุณ : inuyacha เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 13:08:03

ความคิดเห็นที่ 21 เอามาแปะให้อ่านจากมติชนครับ คิดว่าคงจะมีคนมาบอกว่า ไม่เชื่ออยู่ดี ก็แล้วแต่ความคิดใครความคิดมันละกันครับ ----------------------------------- สืบเนื่องจากมีผู้ตั้งคำถามต่อบทอาเศียรวาท ที่ตีพิมพ์ในมติชน ฉบับวันที่ 5 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมาว่ามีความหมายอย่างไร มีความกำกวมไม่เหมาะสมหรือไม่ บทอาเศียรวาท มีเนื้อความดังนี้ วันหนึ่งฟ้าสว่างกระจ่างแจ้ง ลมแล้งในใจไห้โหยหาย ข้าวกล้านาไร่ได้กลิ่นอาย ยามฝนขวนขวายมุ่งหมายมา วันหนึ่งเมฆคลุ้มเป็นกลุ่มก้อน ลมร้อนลมเย็นเป็นปัญหา พฤกษ์พุ่มชอุ่มช้ำท่วมน้ำตา ฝันว่าฟ้าสว่างดีอย่างไร ต่อไปนี้ คือคำอธิบายจากผู้ประพันธ์บทอาเศียรวาทดังกล่าว "....อาเศียรวาทสองบทนี้ มีความหมายตรงตามตัวอักษรทุกประการ ด้วยวิธีการเขียนบทกวีที่มีการเปรียบเทียบให้เห็นภาพ จึงใช้วันฟ้าสว่างกับวันฟ้ามืดครึ้ม วันฟ้าสว่างนั้นแม้แต่ลมแล้งในใจผู้คนที่โหยไห้ก็ยังหาย ข้าวกล้านาไร่ยังได้กลิ่นอายฝนที่มุ่งหมายมาตกต้องตามฤดูกาลย่อมหมายถึงความสว่างในพระบรมเดชาเมตตาบารมี ที่ปกเกล้าพสกนิกรและทุกสรรพสิ่ง อันเนื่องมาจากพระวิริยะอุตสาหะเช่นฟ้าฝน ชลประทาน หรืออ่างเก็บน้ำอันยังประโยชน์สม่ำเสมอแก่ไร่นา ดังนั้น เมื่อมีวันมืดครึ้ม ซึ่งแม้แต่ธรรมชาติปัจจุบันเช่นที่เห็นกันก็ผันผวน เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็นเป็นปัญหา จึงมีหรือที่จะไม่นึกฝันถึงวันฟ้าสว่าง วันที่กระจ่างแจ้งร่มเย็นอยู่ในพระบรมโพธิสมภาร ว่าดีอย่างไร ดีขนาดไหน คือความหมายซึ่งอธิบายได้ตามตัวอักษรทุกวรรคตอน อนึ่ง ที่ยังมีข้อสงสัยต่อความหมายในบาทสุดท้าย ที่ว่า"ฝันว่าฟ้าสว่างดีอย่างไร" นั้น หากติดตามข่าวสารบ้านเมืองอยู่ตลอดเวลา ย่อมเห็นแล้วว่า ปัจจุบันมีปัญหามากมาย ที่ทำให้คนส่วนมากเดือดเนื้อร้อนใจ มีแต่คนส่วนมากเรียกร้องความสงบสุขในสังคม เพื่อจะได้ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน เช่นนี้แล้ว ทำไมจึงจะไม่คิดถึงล่ะว่าวันที่ฟ้าสว่างกระจ่างแจ้งนั้นดีอย่างไร วันที่ธรรมชาติดำเนินไปอย่างถูกต้องเหมาะสมตามฤดูกาล ไร่นาประชาชนสมบูรณ์ วันที่พระบรมเดชานุภาพแผ่ไพศาล ปราศจากฝุ่นละอองใดๆ มาแผ้วพาน" กองบรรณาธิการหวังว่า คำอธิบายความหมาย สัญลักษณ์ และเจตนาของผู้ประพันธ์ น่าจะสร้างความกระจ่างและทำให้เกิดการตีความที่สอดคล้องกับความมุ่งหมายของผู้ประพันธ์ กองบรรณาธิการมติชน 6 ธันวาคม 2555 จากคุณ : เอาชื่อรัยอ่ะ เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 13:33:02

ความคิดเห็นที่ 22 ผมจะซื้อมติชนตลอดไป จากคุณ : atk เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 13:36:13

ความคิดเห็นที่ 23 เขาเขียนอวยพรก็ต้องตีความไปในทางบวกสิ ไม่ใช่พอเห็นมติชน ก็ใส่เลย การเขียนอะไรให้คนได้ขบคิด ดีกว่านำเอาแต่คำสูงส่งในแบบเดียวแบบเดิมๆมาผลิตซ้ำย้ำอยู่ในความทรงจำสำนึกของคนอย่างเลิศลอยไร้ความเป็นจริง ใครเลือกเสพง่ายๆก็เสพไป ส่วนใครจะชอบอะไรที่ต้องคิดตีความก็ไม่เห็นจะเป็นไรหนิ อะไรง่ายๆใช่ว่าจะดีเสมอไป จากคุณ : ไซโคลน เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 13:53:50

ความคิดเห็นที่ 24 อ่านๆดู ความหมายเค้าเป็นมงคลดี คนหาเรื่องนี่ ความรู้ไม่พอ หรือมีอคติ จากคุณ : อมหุ้นแล้วยิ้ม เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 14:09:00

ความคิดเห็นที่ 25 ถ้าเราอวยท่าน ที่รู้กันว่าใครคนนั้นว่า อยู่หนักใจ ไปโล่งอกล่ะ พวกที่ว่าสองแง่สองง่ามดี จะคิดว่าเีราบอกว่า ใจใคร อกใครดี จากคุณ : แปลกจัง เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 14:37:03 A:115.87.226.250 X: TicketID:382883

ความคิดเห็นที่ 26 บ้างก็ว่าบทความแปลกใหม่ อ่านแล้วเจตนาดี บางก็ว่าเจตนาไม่ดี หรือจะพูดว่าเป็นบทสรรเสริญก็ต้องดีสิ หรือจะพูดว่า อ่านแบบมีอคติหรือป่าว .... แต่บทความนี้ เป็นบทความที่ประพันธ์เพื่อต้องการน้อมถวายพระพรชัย ตามความคิดของตัวดิฉันนัั้น บทอาเศียรวาท จึงไม่ควรมีนัยยะ การตีความหมาย หรือแอบแฝงด้วยประการใดทั้งปวง ดิฉันจึงเห็นว่า บทความนี้ไม่เหมาะสมในการใช้น้อมถวายพระพรอย่างมาก หากบรรดาผู้(ที่คิดว่าตน)รู้ทั้งหลาย จะแปลหรือสื่อความหมายตามที่ตนรู้นั้น นั่นหมายถึงการใช้ความรู้และใช้ดุลยพินิจของตัวเองเป็นตัวตัดสินความหมาย บางทีถ้าท่านไม่ได้อ่านจากคำแถลงของมติชน ท่านอาจจะสื่อไม่ตรงความหมายของผู้ประพันธ์ก็เป็นได้ ซึ่งได้เห็นกันอยู่ตามคำวิจารณ์อย่างหนาหู และที่สำคัญ อคติ ความชอบ หรือไม่ชอบ ในสมองคนมีไม่เท่ากัน อย่าบอกว่าความรู้มาตัดสิน ในเมื่อมันออกมาแล้วและเค้าก็แถลงมาแล้ว ถ้าเจตนาดีอย่างที่ตั้งใจประพันธ์มันย่อมเกิดผลดี แต่ถ้าไม่แล้วละก็ ดิฉันจะขอสาปแช่งมันให้ครอบครัว โคตรเหง้ามันพบแต่ความ _ิบหาย ... เพราะดิฉันคิดว่าบทความน้อมถวายพระพรชัย อื่นๆที่ไม่เห็นมีปัญหา ก็ไพเราถเสนาะหูดี ไม่เห็นจำเป็นต้องตีความหมาย (คนเรามีความคิดแปลกแยกไม่ผิดเพราะมันก่อให้เกิดสิ่งแปลกใหม่ ... แต่ความคิดนั้นควรจะไม่แตกแยก และตั้งอยู่ในสามัญสำนึกของความเป็นประชาชนคนไทย หากทุกที่มีจารีต ประเพณี และมีกฏหมาย ที่ประเทศไทยก็มีเช่นกัน หวังว่าผู้รู้ทุกท่านคงคิดเหมือนกัน ดิฉันคือคนที่เทิดทูลในหลวงยิ่งชีวิต และจะขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป จากคุณ : ออกความคิดเห็น (Angle_Planet) เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 16:35:57

ความคิดเห็นที่ 27 ไม่รู้นะ ผมว่าอ่านแล้วคมนะ รอบแรกอาจจะไม่เข้าใจ พอรอบสองรอบสาม เออ ทำให้คิดดี  เพราะทั่วๆไป อ่านรอบเดียวก็ไม่จำแล้ว เพราะเหมือนกันไปหมด จากคุณ : yapanya เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 16:41:05

ความคิดเห็นที่ 28 ไม่มีอำนาจใดในโลกหล้า ผู้ปกครองต่างมาแล้วสาปสูญ ไม่มีใครต่างล้ำเลิศน่าเทิดทูน ประชาชนสมบูรณ์นิรันดร์ไป เมื่อยืนหยัดต่อสู้ผู้กดขี่ ประชาชนย่อมมีชีวิตใหม่ เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน" วิสา คัญทัพ จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 16:48:53

ความคิดเห็นที่ 29 ผมอ่านแล้วก็รู้สึกว่าเป็นการ กล่าวเปรียบเปรย ว่ายามที่พระองค์ทรงมีพระพลานามัยปรกติสุข ชาวประชาก็สุขตาม เพราะพระกรุณาธิคุณ เมื่อพระองค์ทรงประชวร เรื่องๆต่างๆก็ไกลพระเนตรพระกัณฑ์ คนบางกลุ่มก็ใช้อำนาจ เรื่องนิดหน่อยก็ก่อปัญหา จนประชาราษฎ์เดือดร้อน และเมื่อปวงประชาเดือดร้อนก็ปรารถนาที่จะให้พระองค์ทรงหายจาก อาการประชวร เพื่อได้อาศัยร่มพระบารมี...ผมเข้าใจแบบนี้นะ จากคุณ : อันดา คุง เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 17:05:37

ความคิดเห็นที่ 30 จริงอย่างที่ คห 28 ค่ะ ดิฉันเห็นด้วย... แต่สิ่งที่เหลืออยู่ของคนสาปสูญ คือชื่อและกรรม การกระทำของบุคคลผู้นั้น มันจะดีชั่ว สูงต่ำคงไว้ คงไม่ต้องตีความหมายมากมาย ก็น่าจะทราบกัน .. เราอยู่ในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ดิฉันก็หวังว่า มนุษย์บางประเภทจะเข้าใจคำๆนี้เช่นกัน ... กบฏแม้ตาย สิ่งที่คนรับรู้ก็คือกบฏ นักโทษแม้ตายก็คือนักโทษ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ เพราะนั่นคือประวัติศาสตร์ ... ก็เหมือน โคตรเหง้า ปู่ยา ตายาย ของพวกเราทุกคน แม้ตาย ก็คือโคตรเหง้า ปู่ย่า ตายายของเรา คงจะไม่เห็นว่า ไอ้ อี ที่นอนตาย อยู่ในโลง และเรายังไม่เคยเห็นหน้าด้วยซ้ำ แต่ทำไมเราต้องมานั่งกราบไหว้และคิดว่า เป็นคนอื่นหรอกจริงไหมค่ะ จากคุณ : แรงแต่จริง (Angle_Planet) เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 17:05:41

ความคิดเห็นที่ 31 ^ อย่าเพิ่งคิดว่าดิฉันพูดอะไรเลยค่ะ ที่เอามาแปะไว้ให้ดูคือให้ดู "แนว" เฉยๆ สำหรับคำถามของเจ้าของกระทู้ จริงๆ มันก็ไม่เห็นมีอะไรให้ต้องแปลหรอกค่ะ ก็เป็นแบบนั้น ในเมื่อ จขกท. บอกว่าไม่อยากได้ความเห็นทางการเมือง ข้าพเจ้าก็ขอ "ใบ้" อย่างเดียว จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 17:10:49

ความคิดเห็นที่ 32 แปลกใจทำไมบางโพสต์   ให้กีบไม่ได้ เราอยากบอกคำแปลของเรา แต่กลัวใครบางคนจะรับไม่ได้  ว่ามติชินเขาสำราก " ทักษิณอาละวาด" ออกมา    จึงขอเอาคำแปลของอาจารย์ที่เก่งทางภาษาไทยมาให้อ่านกันดีกว่า อ.จุฬาฯชี้ "อาเศียรวาท"มติชน เจตนาส่อเสียด ดร.อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมของบทอาเศียรวาทเนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชนเมื่อวันที่ 5 ธ.ค.ที่ผ่านมา ว่า เมื่อพิจารณาเนื้อหาโดยละเอียดแล้วพบว่าผู้ประพันธ์มีเจตนาที่จะส่อเสียด หรือก่อให้เกิดการตีความที่แตกต่างกันไปมากกว่าจะเป็นถวายพระพรตามปกติ เหมือนที่ตีพิมพ์อยู่ในหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ ที่คนอ่านแล้วจะเข้าใจความหมาย ถือเป็นการกระทำที่แยบยลของผู้ประพันธ์ เช่น คำว่าฟ้า ในวรรคที่หนึ่งดูเหมือนจะมีความหมายถึงในหลวง แต่พอวรรคท้ายกลับมีการตั้งคำถามว่าฟ้าดีอย่างไร หรือคำว่าฝนในวรรคที่สี่ ซึ่งน่าจะทำให้ลมแล้งหายไปกลับกลายเป็นปัญหาในวรรคที่ห้า ดร.อนันต์ กล่าวอีกว่า บทประพันธ์นี้ตั้งแต่วรรคหนึ่งถึงวรรคสี่ไม่มีปัญหา เพราะเหมือนจะสื่อว่าในหลวงคือฟ้าสว่างที่นำเอาฝนมาให้ข้าวในนาได้งอกงาม แต่พอเริ่มวรรคห้าที่ว่าลมร้อนลมเย็นเป็นปัญหา จึงเกิดคำถามว่าแล้วฝนที่มาจากฟ้าหรือจากในหลวง เหตุใดจึงทำให้เกิดปัญหา วรรคที่ห้านี้พลิกความหมายที่ปูมาตั้งแต่วรรคหนึ่งถึงวรรคสี่แบบหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นว่าฟ้าสว่างทำให้เกิดปัญหา จากนั้นก็ตามด้วยพฤกษ์ชอุ่มช้ำท่วมน้ำตา กลายเป็นต้นข้าวถูกน้ำท่วมซ้ำ สุดท้ายก็ตั้งคำถามว่าฟ้าสว่างดีอย่างไร ไม่มีตรงไหนที่จะบอกว่าเป็นบทประพันธ์ที่ถวายพระพรในหลวงเลย " บทประพันธ์นี้หากนำออกไปตีพิมพ์เดี่ยวๆโดยตัดคำว่าอาเศียรวาทและภาพในหลวงออกไป คนอ่านจะไม่รู้เลยว่านี่คือบทประพันธ์ถวายพระพรในหลวง ยิ่งหากดูบริบทอื่นๆประกอบ เช่น บทความหรือข้อเขียนต่างๆในหนังสือพิมพ์มติชนที่มีแนวทางเช่นนี้ ก็จะยิ่งเห็นว่าบทประพันธ์เจตนาอย่างไร " ดร.อนันต์ กล่าว คงเห็นแล้วใช่ไหมว่า  มติชินกำลังสำราก  " ทักษิณอาละวาด" สรุปเลิกรับมตชิน  แผ่นดินนี้เป็นของในหลวง  ถ้าไม่พอใจก็ออกไปอยู่ที่อื่นเถิด  สงสัยว่าที่ไม่ไป เพราะเงินไม่หนาพอที่จะเร่ร่อนได้   แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 55 17:26:19 จากคุณ : demoney เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 17:22:24

ความคิดเห็นที่ 33 เราเฉยๆนะ ปล่อยวาง ความหมายจะเป็นอย่างไรก็ช่างเถอะ มันหามีความหมายใดๆต่อใจหรือชีวิตของเรา สบายใจกว่า เพราะชีวิตมีเรื่องให้ทำตั้งเยอะแยะ ไม่อยากเป็นเบี้ยกระดานให้ใครจัดเดินเช่นเหตุการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา รู้แต่วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ รู้สึกมีความสุขมากดูทีวีได้เห็นพระองค์ รวมถึงคนที่นิยมสีแดงหลายๆคนที่รู้จักด้วยที่รู้สึกเช่นเดียวกัน ส่วนใครบางคน บางกลุ่มจะต่อต้านไม่ชอบ พยายามดิ้นรนแสดงออก  ขอให้มองในแง่ความธรรมดาของคนเราที่ต้องแตกต่างกันไป แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 55 17:28:50 จากคุณ : ขนมทองหยด เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 17:24:49

ความคิดเห็นที่ 34 เอามาจาก fb นะคะ "อาเศียรวาท" ชาติ kee ka  ไม่รู้จัก ยังเยื้องยัก นำมาใช้ ให้วิปริต ซ้ำเฉไฉ ไขว้ไขว เจ้าเล่ห์คิด ให้หลงผิด โง่งั่ง ทั้งโคตรมัน "ผรุสวาท" เท่านั้น มันเข้าใจ พ่อแม่มัน เลือกใช้ สอนลูกหลาน ให้ทรยศ คดข้อ ส่อสันดาน ก้มหน้าคลาน ซานซม ดมกลิ่นเงิน -ปราศรัย รัชไชยบุญ- (นิดา) ปล.ติดเซ็นเซอร์พันทิป เลยต้องขอใช้ Eng สะกดแทนนะคะ แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 55 18:19:42 แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 55 18:18:23 จากคุณ : Serverlus เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 18:17:39

ความคิดเห็นที่ 35 อ่านแล้ว ไม่ค่อยเข้าใจนะคะ พอดีไม่ค่อยฉลาดภาษาไทย เป็นคำอวยพรที่ยากจิงๆค่ะ จากคุณ : SHeDAMe เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 20:13:32

ความคิดเห็นที่ 36 ผมไม่เคยรู้มาก่อนนะครับว่ามติชนมีปัญหาอะไร แต่แรกอ่านก็อ่านโดยไรอคติ รู้สึกได้เลยว่า "น้ำเสียง"ที่ใช้ ไม่เหมาะจะเปนบทอาเศียรวาทเลย จากคุณ : friedericksianum เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 20:53:54

ความคิดเห็นที่ 37 อาจารย์อักษรศาสตร์ จุฬา ชี้บทอาเศียรวาทของมติชนผู้ประพันธ์มีเจตนาส่อเสียดเพื่อให้เกิดการตีความมากกว่าเป็นคำถวายพระพร นายอนันต์ เหล่าเลิศวรกุล อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  เปิดเผยว่า ได้พิจารณาเนื้อหาบทอาเศียรวาท ซึ่งตีพิมพ์ลงในหนังสือมติชน เมื่อวันที่ 5ธ.ค.2555 แล้ว ไม่มีตรงไหนที่ จะบอกว่าเป็นบทประพันธ์ที่ถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา หากนำออกไปตีพิมพ์เดี่ยวๆ แล้วตัดคำว่าอาเศียรวาทและภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวออกไป คนอ่านจะไม่รู้เลยว่านี่คือบทประพันธ์ถวายพระพรและยิ่งหากดูบริบทอื่นๆประกอบ เช่น บทความหรือข้อเขียนต่างๆในหนังสือพิมพ์มติชน ก็มีแนวทางเช่นนี้ ดังนั้นจะยิ่งเห็นว่าบทประพันธ์เจตนาอย่างไร "ผู้ประพันธ์มีเจตนาที่จะส่อเสียด หรือก่อให้เกิดการตีความที่แตกต่างกันไปมากกว่าจะเป็นถวายพระพรตามปกติ เหมือนที่ตีพิมพ์อยู่ในหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ ที่คนอ่านแล้วจะเข้าใจความหมาย ถือเป็นการกระทำที่แยบยลของผู้ประพันธ์" นายอนันต์ กล่าว อ.จุฬาฯชี้ "อาเศียรวาท"มติชน เจตนาส่อเสียด ดร.อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมของบทอาเศียรวาทเนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชนเมื่อวันที่ 5 ธ.ค.ที่ผ่านมา ว่า เมื่อพิจารณาเนื้อหาโดยละเอียดแล้วพบว่าผู้ประพันธ์มีเจตนาที่จะส่อเสียด หรือก่อให้เกิดการตีความที่แตกต่างกันไปมากกว่าจะเป็นถวายพระพรตามปกติ เหมือนที่ตีพิมพ์อยู่ในหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ ที่คนอ่านแล้วจะเข้าใจความหมาย ถือเป็นการกระทำที่แยบยลของผู้ประพันธ์ เช่น คำว่าฟ้า ในวรรคที่หนึ่งดูเหมือนจะมีความหมายถึงในหลวง แต่พอวรรคท้ายกลับมีการตั้งคำถามว่าฟ้าดีอย่างไร หรือคำว่าฝนในวรรคที่สี่ ซึ่งน่าจะทำให้ลมแล้งหายไปกลับกลายเป็นปัญหาในวรรคที่ห้า ดร.อนันต์ กล่าวอีกว่า บทประพันธ์นี้ตั้งแต่วรรคหนึ่งถึงวรรคสี่ไม่มีปัญหา เพราะเหมือนจะสื่อว่าในหลวงคือฟ้าสว่างที่นำเอาฝนมาให้ข้าวในนาได้งอกงาม แต่พอเริ่มวรรคห้าที่ว่าลมร้อนลมเย็นเป็นปัญหา จึงเกิดคำถามว่าแล้วฝนที่มาจากฟ้าหรือจากในหลวง เหตุใดจึงทำให้เกิดปัญหา วรรคที่ห้านี้พลิกความหมายที่ปูมาตั้งแต่วรรคหนึ่งถึงวรรคสี่แบบหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นว่าฟ้าสว่างทำให้เกิดปัญหา จากนั้นก็ตามด้วยพฤกษ์ชอุ่มช้ำท่วมน้ำตา กลายเป็นต้นข้าวถูกน้ำท่วมซ้ำ สุดท้ายก็ตั้งคำถามว่าฟ้าสว่างดีอย่างไร ไม่มีตรงไหนที่จะบอกว่าเป็นบทประพันธ์ที่ถวายพระพรในหลวงเลย " บทประพันธ์นี้หากนำออกไปตีพิมพ์เดี่ยวๆโดยตัดคำว่าอาเศียรวาทและภาพในหลวงออกไป คนอ่านจะไม่รู้เลยว่านี่คือบทประพันธ์ถวายพระพรในหลวง ยิ่งหากดูบริบทอื่นๆประกอบ เช่น บทความหรือข้อเขียนต่างๆในหนังสือพิมพ์มติชนที่มีแนวทางเช่นนี้ ก็จะยิ่งเห็นว่าบทประพันธ์เจตนาอย่างไร " ดร.อนันต์ กล่าว หาอ่านได้จากหลายสำนักพิมพ์ครับ แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 55 21:05:46 จากคุณ : medoraemon เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 21:03:50

ความคิดเห็นที่ 38 จริง ๆ เรื่องมติชนเปลี่ยนไปนี่รู้มานานแล้ว เกือบสองปีแล้วมั้งที่เนื้อหามันเปลี่ยน สมัยก่อนก็เคยสอนนักศึกษาบอกว่าเป็นหนังสือพิมพ์ที่ดี แต่ช่วงหลัง ๆ มันเปลี่ยนไป จากการอ่าน ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดจากอะไร สมัยก่อนยังไม่ได้เป็นอย่างนี้เลย จากคุณ : ต้น เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 21:12:45 A:171.100.13.249 X: TicketID:091427

ความคิดเห็นที่ 39 ถ้ามีเจตนาดี อ่านแล้วน่าจะเข้าใจได้ง่าย และไม่มีทางที่จะตีความไปทางร้ายได้เลย จากคุณ : ขอเป็นสะพานเชื่อมดาว เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 21:45:06

ความคิดเห็นที่ 40 เอาเป็นว่าผมคนไทย ถ้าอยากเทิดทูนในหลวง ผมว่าไม่มีความจำเป็นต้องแต่งให้ยาก ให้มีการคิดสองแง่สองง่าม อ่านแล้วงง อ่านแล้วทะ:-)ๆแบบนี้ มีแอบแผงแน่นอนครับ ... common sense (ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะมีกัน) .... คือคนไทยเราสมัยนี้กลับผิดเป็นถูกได้ทุกอย่างครับ ดูง่ายๆจากรัฐบาลชุดxxx แล้วก็คนที่เชียร์ ปล. แปลกดีครับ พอมีคนยกเอาคำพูดแนวหนึ่งมาให้อ่าน คอมเม้นท์ก็จะโอนเอียงไปแนวนั้น พอมีอีกแนวมาให้อ่านคอมเม้นท์ถัดไปก็จะเป็นไปตามนั้น .... เหมือนกับว่าคนไทยคิดเองไม่ค่อยจะเป็น ใครพูดอะไรก็โอนเอียงไปทางที่เค้าพูดหมด จากคุณ : enginez (enginez) เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 55 23:55:07

ความคิดเห็นที่ 41 ดร.อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล เขามีจุดยืนของเขาอยู่แล้วนะ ตรองดูดีๆแล้วกัน จากคุณ : ไซโคลน เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 55 00:11:13

ความคิดเห็นที่ 42 ผมว่าเขาก็เขียนดี สื่อความหมายชัดเจนตรงไปตรงมา เชิงเตือนสติประชาชนให้เห็นถึงพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกร ผมลองให้ความหมายดูนะครับ "..เมื่อฟ้าใสไม่มีฝน มีแต่ความแห้งแล้ง คนเราก็จะร้องหา เมฆฝน พอมีฝน มีพายุ ลมแปรปรวน น้ำท่วม เราก็จะร้องหา คืนวันที่ฟ้าใส ..." อยู่ใต้เบื้องยุคลบาท แม้หลายคนจะตรากตรำ เหนื่อยยาก ก็จงอยู่อย่างพอมีพอกิน อดทน เหนื่อยกายแต่ก็สุขใจ มีขัดแย้งกันบ้างก็ถ้อยทีถ้อยอาศัย อยู่กันไป ....อย่าไปเรียกร้องหา อันอื่น แบบอื่น... เพราะเมื่อได้มันมาอย่างหวัง ผลมันอาจจะหนักกว่านี้แล้วเราก็จะเรียกหาพระองค์....แต่ก็ได้แค่ฝัน จากคุณ : หมูลิน เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 55 00:55:07

ความคิดเห็นที่ 43 อาศิรวาท มักจะต้องเป็นคำไพเราะ เป็นมงคล มากกว่าที่จะมีแต่คำโศกเศร้า อ่านแล้วตีความแล้วตีความอีกแบบนี้ ผมอ่านแล้วพบน้ำเสียงประชดประชันมากครับ นึกถึงมติชนรายสัปดาห์ฉบับหนึ่ง ตอนนั้นมีคนตายจากม๊อบเหลือง สมเด็จพระนางเจ้าฯ เสด็จพระราชทานเพลิง มติชนก็ขึ้นพระฉายาลักษณ์สมเด็จทรงชุดดำ และขึ้นว่า "เย็นศิระเพราะพระบริบาล" เหมาะไม่เหมาะคิดเอาเองครับ จากคุณ : natthaset เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 55 01:53:25

ความคิดเห็นที่ 44 เหมาะไม่เหมาะ ตรง "เย็นศิระเพราะพระบริบาล" หรือตรง "เสด็จพระราชทานเพลิง" ครับ แปลกที่คนตีความตามใจตัวเอง มากกว่าเชื่อการตีความของผู้ประพันธ์ แก้ไขเมื่อ 07 ธ.ค. 55 07:48:45 จากคุณ : ไซโคลน เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 55 07:48:32

ความคิดเห็นที่ 45 ผมละงงจริงๆ ไอพวกที่อ่านแล้วยังคิดว่าความหมายดี ... กลัวคนหาว่าโง่หรือปล่าว?? หรืออยากทำให้ตัวเป็นบัวเหนือน้ำ เห้อ ที่แปลๆกันมาดีๆเนี่ย ไม่เห็นจะมีอะไรเกี่ยวกับการเทิดทูนในหลวง หยั่งกะยกสถานการณ์บ้านเมืองชึ้นมาแต่ง ใช้แต่คำที่ความหมายไม่ดีมาแต่ง .. แล้วทำไมยังคิดว่ากลอนไพเราะ เหมาะกับการเทิดทูนในหลวงกันอีก เวงกรรมประเทศไทย จากคุณ : enginez (enginez) เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 55 08:04:21

ความคิดเห็นที่ 46 เราแปลสรุปสั้นๆได้ดังนี้นะคะ "ยามฝนแล้งสุขสบายดีอยู่แล้วก็เรียกหาฝน พอฝนมาก็นำหายนะมาเลย ทีนี้ก็มานั่งคิดถึงวันฝนแล้งว่ายังดีกว่าซะอีก" จะตีความในแง่ดีอย่างไร ก็ไม่น่าจะเป็น "อาเศียรวาท" ถ้อยคำที่ประพันธ์ขึ้นเพื่อถวายพระพรชัยมงคลได้นะคะ ไม่เห็นมีตรงไหนเป็นคำสรรเสริญ หรือถวายพระพรเลย? แก้ไขเมื่อ 07 ธ.ค. 55 20:51:28 จากคุณ : With LoVe and Golden Fish เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 55 08:39:07

ความคิดเห็นที่ 47 คงเป็นแนวถนัดของผู้เขียน ตัวอย่าง บทอาเศียรวาท 5 ธันวาคม 2543 ก็ได้  เขียนว่า หกสิบเจ็ดล้านไทยป่วยไข้หรือ  ไม่มีมือไม่มีเท้าเฝ้านั่งถัด หรือมะเร็งกินถ้วนกระบวนรัฐ  รอพระหัตถ์ประทานส่งพระองค์เดียว กราบบาทพระพุทธเจ้าข้า    กระแสช่อพารายังบ่าเชี่ยว พวกบังหลวงยังโกงเห็นตัวเป็นเกลียว   มีแต่ ธ คอยเหนี่ยวประชาชน แก้ไขเมื่อ 07 ธ.ค. 55 09:59:17 จากคุณ : ป้าหนูดา เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 55 09:57:47

ความคิดเห็นที่ 48 กวีข้างทางขอแจมครับ ผมไม่ขอติเรื่องฉันทลักษณ์หรืออุปมาโวหารใดๆ ทั้งสิ้น แต่สำหรับคำกลอนสองบทนี้ สมควรหรือไม่ที่มีการแทรกคำที่มีความหมายเชิงลบเยอะเช่นนั้น ไห้โหยหาย, เมฆคลุ้มเป็นกลุ่มก้อน, ชอุ่มช้ำท่วมน้ำตา และเหนือสิ่งอื่นใดคือเรื่องของ อารมณ์กลอน คำหรือกลอนใดก็ตามยามความหมายดี เราย่อมรู้สึกได้ เช่นคำว่าประเสริฐ คำว่าเชิดชู ล้วนมีความหมายในเชิงบวก เราย่อมรู้สึกได้ แต่หากเป็นโคลองกลอนที่มีการเปรียบเทียบกับความหมายที่เป็นลบ ยิ่งต้องระวัง ต้องมีบทดักบทแก้ ให้เห็นภาพ แต่สำหรับกลอนนี้อย่างมากที่สุดที่อารมณ์คนส่วนใหญ่เข้าถึงคือ งง นิ่งเฉย มึน หรืออาจจะไม่เข้าใจความหมาย เนื่องด้วยความกำกวมของภาษาและการจัดกลุ่มคำ ถามคำถามเดียวว่า กลอนที่ทำเพื่ออวยหรือสรรเสริญ จำเป็นต้องทำให้เข้าใจยากเพียงนี้หรือ อีกทั้งไม่ปรากฎชื่อผู้แต่งผู้ประพันธ์เท่ากับหมายความว่าท่านผู้นั้นคาดการณ์ไว้แล้วว่าต้องเป็นประเด็นสังคมใช่หรือไม่ จากคุณ : กวีข้างทาง เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 55 10:10:05 A:14.207.130.193 X: TicketID:384509

ความคิดเห็นที่ 49 ขออนุญาตแปลความหมายแบบบ้านๆ ตามความเข้าใจเมื่อตอนอ่านครั้งแรกนะคะ ความหมายโดยรวมเรารู้สึกว่า กลอนหมายถึง เหตุการณ์หรือของบางอย่างที่เกิดขึ้น บางทีก็ดีหรือเป็นประโยชน์ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่บางทีก็มาไม่ตรงจังหวะกับความต้องการ เช่นวันที่แล้ง ต้องการฝน ฟ้าก็ดันสว่าง แล้ววันที่อยากให้สว่างก็ดันมีฝนหรืออาจฝนมากเกินไปจนน้ำท่วม ส่วนตัวอ่านครั้งแรกแล้วก็งง เพราะมันไม่เหมาะจะมาเป็นกลอนสดุดีอะค่ะ จากคุณ : เจ้าแม่กรูปรีทอง (เจ้าแม่กรูปรีทอง) เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 55 11:31:44

ความคิดเห็นที่ 50 หกสิบเจ็ดล้านไทยป่วยไข้หรือ  ไม่มีมือไม่มีเท้าเฝ้านั่งถัด หรือมะเร็งกินถ้วนกระบวนรัฐ  รอพระหัตถ์ประทานส่งพระองค์เดียว กราบบาทพระพุทธเจ้าข้า    กระแสช่อพารายังบ่าเชี่ยว พวกบังหลวงยังโกงเห็นตัวเป็นเกลียว   มีแต่ ธ คอยเหนี่ยวประชาชน ถ้าอ่านข้อความนี้ สดุดีชัด ๆ เห็นโต้ง ๆ ค่ะ เราไม่เก่งภาษา เรายังรู้เลย ไม่เหน็บแนม เย้ยหยันใด ๆ เหน็บแต่เหล่านักการเมืองเสียมากกว่า ฮ่าฮ่า แต่สดุดีในหลวงเต้ม ๆ ค่ะ ผิดกับบทที่มีปัจจุบันปี 55 มันคนละทาง ไม่เห็นคำไหนเลยที่สดุดีในหลวง เฮ้อ พูดไป 2 ไพเบี้ย จากคุณ : peopleparadise เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 55 14:07:57

ความคิดเห็นที่ 51 ปีที่แล้ว มติชิน ก็มีคดีคล้ายๆงี้นี่ครับ ที่ลงท้ายบทด้วย โลกันต์  หรืออะไรเนี่ยล่ะ ปีนี้เอาอีกแล้ว จากคุณ : whutzy เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 55 14:18:21

ความคิดเห็นที่ 52 #50 แต่ผมแปลความได้เป็นการสอดเสียด เรื่องแบบนี้ มันแล้วแต่มุมมองของคนอ่าน แต่ละคน แต่ละมุม แต่ละอคติ ก็จะได้ความหมายแตกต่างไป เพราะฉะนั้น กลอนแบบนี้จึงไม่เหมาะสมสำหรับบทอาเศียรวาท บทอาเศียรวาทควรจะเป็นกลอนที่มีความหมายเดียว อ่านแล้วเข้าใจในทันที ไม่ต้องตีความ ไม่จำเป็นต้องตีความหลายด้าน (เพราะมีจุดหมายเดียวคือ การสรรเสริญ) กลอนลักษณะนี้ ควรจะเป็นบทกลอนเสียดสีสังคม หรือการเมืองมากกว่า จากคุณ : ปั๊ปโปะจัง เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 55 16:36:31

ความคิดเห็นที่ 53 อาเศียรวาท 5 ธค 43 ที่ลงในมติชน จากผู้แต่งเดียวกัน(ตามที่เขาบอก) หกสิบเจ็ดล้านไทยป่วยไข้หรือ ไม่มีมือไม่มีเท้าเฝ้านั่งถัด หรือมะเร็งกินถ้วนกระบวนรัฐ รอพระหัตถ์ประทานส่งพระองค์เดียว กราบบาทพระพุทธเจ้าข้า กระแสช่อพารายังบ่าเชี่ยว พวกบังหลวงยังโกงเห็นตัวเป็นเกลียว มีแต่ ธ คอยเหนี่ยวประชาชน เอามาเปรียบเทียบให้ดูเฉยๆ จากคุณ : Number 31 เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 55 18:46:19

ความคิดเห็นที่ 54 พวกเอียงซ้ายน่ะค่ะ ชอบกำกวมแบบนี้เพราะใส่ตรงๆไม่ได้ จะบอกว่าระบบที่เอื้อให้คนกุมอำนาจคนเดียวหรือกล่มเดียวไม่ใช่ระบบศักดินาหรอก แต่เป็นระบบสังคมนิยมต่างหาก     โดยส่วนตัวคิดว่าไทยเรายังไม่ค่อยเหมาะกับระบบที่เอาเสียงข้างมาก (ลองดูรายการโหวตที่เอาเสียงข้างมากแล้วได้ winner ที่ไม่ถูกใจเราซิ อย่างรายการ Big B...,Af,เดอะดาว บางปี) เพราะวัฒนธรรมเราเป็นแบบพวกมากลากไป,ไม่ชอบคนเด่นมากๆ, รักพวกพ้อง แต่ๆๆๆ อย่าเพิ่งว่าเดี๊ยน.. ไม่เหมาะวันนี้ไม่ได้แปลว่า..ไม่เหมาะตลอดไปนะคะ ..ประชาธิปไตยจะดี หากคนมีคุณภาพ สรุป...ฟังเสียงอีกด้านของสังคม อย่าง มติ(คนๆนั้น) ไว้บ้างก้อได้ค่ะ แต่เราไม่เห็นด้วยกับเค้าก้ออย่าไปสนับสนุนสื่อเค้าก้อพอ จากคุณ : น้อยมาก (น้อยมาก) เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 55 20:31:51

ความคิดเห็นที่ 55 เลิกอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ของสำนักนี้ไปนานมากแล้ว.....ไอ้ทุย จากคุณ : nAHMLeMoN เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 55 20:56:36

ความคิดเห็นที่ 56 คห 52 "บทอาเศียรวาท ควรจะเป็น กลอนที่มีความหมายเดียว อ่านแล้วเข้าใจในทันที ไม่ต้องตีความ ไม่จำเป็นต้องตีความหลายด้าน (เพราะมีจุดหมายเดียวคือ การสรรเสริญ)" ขอเน้นคำว่าควรจะเป็น  ในทัศนะของคุณปั๊ปฯ ใช่ไหมครับ เอ แต่เคยได้เคยคำกล่าวนี้ไหมครับ  "คนเขียนตายแล้ว" (The author is dead) ของ Roland Barthes นักคิดและนักวิจารณ์สังคมและวรรณกรรมนามอุโฆษของฝรั่งเศสในศตรวรรษที่ 20 ซึ่งหมายถึง งานวรรณกรรมใด เมื่อหลุดออกมาจากมือผู้สร้างแล้ว และสู่สายตาผู้อ่านแล้ว ผู้เขียนจะหมดหรือลดบทบาทไปในทันที  ผู้อ่าน หรือผู้เสพมีอิสรภาพเต็มที่ในการ "เห็น" อยากที่ตนอยากเห็น นั่นก็คือการตีความตามทัศนะของตน  ซึ่งจะใช้หลักการ หรือประสบการณ์ใดๆมาประกอบก็แล้วแต่ จากคุณ : ปากกัดตีนถีบ จีบไม่ลง (ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง) เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 55 22:04:48

ความคิดเห็นที่ 57 จากบทเรียนเรื่องนี้ อีกหน่อยคงต้องตั้งแบบแผนบังคับ ว่าบทอาเศียรวาท ต้องขึ้นต้นด้วยคำว่า "ธ ทรงเป็น..." จากคุณ : masked v เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 55 22:30:55

ความคิดเห็นที่ 58 คงต้องรบกวนให้ช่วยแถลงไขแล้วล่ะครับว่ามีเหตุอันใด ที่จำเป็นจะต้องเขียนคำสรรเสริญ (มีจุดประสงค์เดียว) โดยให้มีหลายความหมายให้ตีความ ตัวผมเองนั้นความรู้น้อย ไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น หากเป็นงานเขียนทั่วไป ที่ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อแสดงถึงการสรรเสริญ จะเขียนแบบใดก็แล้วแต่ลีลาการเขียน ส่วนการตีความก็เป็นไปตามความคิดของแต่ละคนอยู่แล้ว เป็นเรื่องปกติ ส่วนย่อหน้าสุดท้ายของคุณปรารถนาดีฯ ผมไม่เข้าใจครับ ไม่เข้าใจว่าเกี่ยวพันกับความเห็นของผมอย่างไร ผมเข้าใจว่าทุกคนย่อมตีความตามทัศนะของแต่ละคน ผู้เขียนไม่เกี่ยวข้องกับการตีความอยู่แล้ว แต่ผมไม่เข้าใจว่าเกี่ยวพันกับที่ผมว่า "กลอนที่มีจุดประสงค์เดียว ไม่จำเป็นต้องเขียนเพื่อให้ตีความ" อย่างไร โดยส่วนตัวผมเห็นว่า งานเขียนแต่ละชิ้นนั้น ผู้เขียนสามารถเลือกแสดงออกไปได้ว่าต้องการแสดงอย่างไร ผู้เขียนสามารถเลือกชักจูงผู้อ่านได้ แม้ว่าผู้อ่านจะมีทัศนคติที่แตกต่างกันไปก็ตาม โดยเฉพาะผู้เขียนที่มีความสามารถระดับนี้ ผมคิดว่าตัวผู้เขียนสามารถเข้าใจได้อยู่แล้วว่า จะต้องเขียนอย่างไร จึงจะให้ผู้อ่านส่วนใหญ่รับรู้ว่าเขียนเพื่อสรรเสริญ เหมือนเช่นบทอาเศียรวาทโดยทั่วไปที่เขียนโดยท่านอื่นๆ คนส่วนใหญ่ก็อ่านแล้วรู้ว่าเป็นการเขียนขึ้นเพื่อสรรเสริญ มีเพียงบทนี้ ที่ผู้เขียนไม่สามารถชี้นำผู้อ่านได้อย่างชัดเจนว่าสรรเสริญหรือไม่ หรือต้องการสื่ออะไร โดยส่วนตัว ผมไม่เชื่อว่าผู้เขียนเองจะไม่ทราบว่า เขียนแบบนี้ไปแล้ว คนจะอ่านแล้วไม่เข้าใจ มาถกเถียงกันเช่นนี้ ดังนั้น ผมจึงแปลกใจว่า เหตุใดผู้เขียนจึงเขียนไปแบบนี้ ทั้งๆ ที่น่าจะเดาผลลัพธ์ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา จากคุณ : ปั๊ปโปะจัง เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 55 22:34:20

ความคิดเห็นที่ 59 อาเศียรวาท คือบทประพันธ์เพื่อถวายพระพรในหลวง แล้วจะแต่งให้ตีความได้หลายอย่างไปทำไม คำว่า "คนเขียนตายแล้ว" เหมาะกับผู้ประพันธ์บทอาเศียรวาทนี้จริงๆ ถึงขนาดไม่กล้าลงชื่อเลยว่าผู้ประพันธ์คือใคร จากคุณ : paramedian เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 55 22:39:17

ความคิดเห็นที่ 60 ถ้าด้วยจิตใจที่จงรักภักดีจะน้อมเกล้าถวายพระพร ก็แต่งบทอาเศียรวาทให้เป็นอาเศียรวาทเหมือนคนอื่นๆเขา มันจะต้องยอกย้อนให้ตีความหาพระแสงอะไร แค่แต่งให้อ่านแล้วเข้าใจได้ทันทีว่าถวายพระพร ไม่ใช่สามารถตีความไปในทางที่ไม่บังควรด้วยเช่นนี้ นอกจากมันจะมีเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ จากคุณ : เหี้ยม หางแดง เขียนเมื่อ : 7 ธ.ค. 55 22:43:38

ความคิดเห็นที่ 61 ผู้แต่งอ้างว่าเป็นแปลตามตัวอักษรสื่อคำความหมาย ฟ้า จิตใจ ข้าว ฝน ต้นไม้ ลม แสง ให้โหยหาย ฝนขวนขวายมุ่งหมาย เมฆคลุ้ม เป็นปัญหา ท่วมน้ำตา คำเหล่านี้ ควรเอ่ยถวายพระพรในหลวง? ในวาระสั้นๆสองสามวันนี้ ทำให้ต้องมาใช้สมองตีความ สิ่งที่ สื่อมติชนเสนออกมา จากนี้ไปเจอญาติหรือใครๆจะทักท้วงเรื่องนี้ให้รับรู้โดยทั่วกัน ว่าอย่าซื้ออุดหนุนสื่อค่ายนี้ทั้งกระบวนอย่างจริงจัง เสียดายที่ครั้งหนึ่งเคยอุดหนุนติดตาม นสพ รายสัปดาห์ มาระยะหนึ่ง จากคุณ : T (Mole) เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 55 00:34:58

ความคิดเห็นที่ 62 สำนักพิมพ์นี้ ก็ชัดเจนมาแต่ไหน แต่ไรแล้ว แรงกว่านี้ ไม่ใช่ไม่มี จากคุณ : Aris_L (Aris_L) เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 55 02:13:55

ความคิดเห็นที่ 63 ไม่ใช่บทอาเศียรวาท  แต่แต่บทกวีที่บรรยายถึงช่วงเวลาหนึ่ง(อารมณ์แบบหลี่ไป่) และไม่เหมาะสมที่นำมาใช้ประกอบในนสพ.วันที่5ธ.ค. มติชนออกมาขออภัยคนอ่านดีกว่า...ตะแบงไปเรื่อย จากคุณ : เด็กท้ายรถ เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 55 07:30:30

ความคิดเห็นที่ 64 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงรัก ดำริ ทรงทำทุกอย่างเพื่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทยมาตลอดพระชนม์ชีพ....... ไม่มีข้อสงสัย ดังนั้น...ไม่ควรที่"ใคร"จะบังอาจเขียน"คำ"อะไรที่กำกวมในวันเฉลิมพระชนมพรรษา "ใคร" ก็ตามไม่มีคุณค่าแม้เพียงธุลีพระบาท เจตนาดีหรือไม่ดีคนเขียนย่อมรู้อยู่แก่ใจ การแปลความขึ้นอยู่กับพื้นฐานของผู้อ่าน คนเขียนจึงควรใช้หัวคิดให้มากๆ อย่างที่บอกถ้ามันเจตนาดีก็แล้วไป แต่ถ้าเจตนาไม่ดีเราขอแช่งเลยนะคะ  ว่าขอให้มัน...ิบหายทั้งโคตรเหง้าวงศ์ตระกูลและพวกพ้องของมัน จากคุณ : mangpongja เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 55 09:50:52

ความคิดเห็นที่ 65 ไม่ใช่เขาไม่รู้ เขารู้ เวลาแต่งกลอน อย่างในกระทู้เนี้ยต้องมีคนได้รับรางวัลด้านภาษา ด้านวรรณกรรมแบบ ระดับชาติอยู่แน่นอน (รางวัลแบบพระราชทาน) ซึ่งเขาก็ต้องรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น อาจารย์สอนภาษาที่มหาวิทยาลัยเขาดูเขาก็รู้ แต่งกลอนมาตั้งเท่าไหร่แล้ว จากคุณ : ต้น เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 55 11:12:47 A:171.100.13.249 X: TicketID:091427

ความคิดเห็นที่ 66 รักมติชนจัง จากคุณ : witta_mariah_mymom เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 55 11:41:37

ความคิดเห็นที่ 67 สิ่งที่ผู้ประพันธ์อธิบายความ กับสิ่งที่เห็นในบทร้อยกรองที่บอกว่าเป็นการ "อาศิรวาท" มันไม่ได้ไปด้วยกัน แล้วจะให้เชื่อยังไง ผมไม่รูั้ั้จักอาจารย์จุฬาท่านนั้นมาก่อน แต่ก็อย่างที่ อ.จุฬาท่านนั้นบอก ถ้าไม่มีคำว่า อาเศียรวาท อยู่ข้างบน ต่อให้มหาปราชญ์ยังแทบตีความไม่ออกเลยว่านี่คือบท อวยพร หรือบทสรรเสริญ ผมเองยังไม่รู้เลยว่ามติชน เค้ามีคดีอะไร เอียงซ้าย เอียงขวา  อ่านครั้งแรกยังงง งง พยายามตีความให้เป็นกลาง ก็ยังเข้าใจไปในทำนองเค้าเสียดสี พวกกบเลือกนาย ไม่ได้คิดจะสรรเสริญอะไรใคร ถามครูบาอาจารย์ภาษาไทยหลายท่าน ท่านก็บอก เออ งง อะไรของมัน ตีความเถียงกันใหญ่ หลาย ๆ ท่านก็พยายามช่วยตีความทางบวก ก็พอไปได้ แต่ก็..นะ ทำนองสีข้างถลอก สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่า เออหนอ มันกำกวมจริง ๆ บทอาศิรวาทน่ะ มันไม่ได้มีแบบแผนว่าจะต้องแต่งร้อยกรองแบบไหน หรือบังคับว่า ต้องขึ้นต้นว่า ธ ทรงเป็น หรือ เถกิงเกรียติ ธ ก้องฟ้า บารมีแผ่ไพศาล เกษมสานต์บังเกิด เจริดแจร่มประจักษ์หล้าปวงข้านิกรชน อะไรขนาดนี้ จะเปรียบเทียบ สัญลักษณ์อะไร เค้าก็ไม่ได้ว่า จะโพธิ์ทอง ฉัตรแก้ว ร่มไทร นาวา ธารา สายน้ำ แผ่นดิน ผืีนฟ้า แสงอาทิตย์ เทพ เทวา พระนารายณ์ อะไรก็ว่าไป แต่... อย่างน้อย ๆ ก็ควรอยู่ในความหมายของอาศิรวาท อันหมายถึงการสรรเสริญ หรืออวยพร เพราะคุณจั่วหัวว่าอาศิรวาท ก็คืออาศิรวาท จะมาแฝงด่าประชด (กลอนบทเก่า ๆ ) มันก็ใช่ที่ ถ้าคุณจะสรรเสริญใครแล้วไปด่าใครอีกคนนี่ มันดีรึครับ ทำไมต้องให้ตีความกำกวม หลายชั้น ที่ไหน ๆ จะแต่งให้เลอล้ำพิสดารศัพท์ยาก กาพย์ ฉันท์ โคลง กลอน โบราณเก่าแก่ กลบทกบเต้นต่อยหอย กลีบบัวบานอย่างไร อ่านเที่ยวเดียว หรือบางทีฟังผ่าน ๆ ก็รู้แล้วว่าเค้าแต่งอาศิรวาท  แค่จะชื่นชมใครสักคนนี่ต้องให้ตีความหลายชั้นเชียวหรือครับ ไม่ใช่ว่า ฟังแล้ว..เอ๊ะ มันยังไง อ่านซ้ำมา 5-6 รอบ นี่หมายความยังไง เค้าชมหรือเค้าด่า หรือแฝงอะไร ผมว่าปราชญ์เก่า ๆ ดัง ๆ มีชื่อที่ได้รับการยอมรับ เวลาเค้าชมใครเนี่ย เค้าไม่มาหลบ ๆ ซ่อน ๆ ให้ต้องตีความกันหลายซับหลายซ้อนหรอกครับ เค้าชมกันตรง ๆ อ่านดูก็รู้ว่าชม ถึงจะแปลไม่ออกก็เถอะ เพราะไม่มีเหตุว่าถ้าเราจะชื่นชมใครซักคน ก็ยังต้องมานั่งตีความกันให้ปวดหัว ว่าฉันจะชมเธอนะ แต่เธอตีความเอาแล้วกันว่า ชั้นชมเธอตรงไหนมั่ง ส่วนมาก ประเภทความหมายแฝง ตีความซับซ้อน ซ่อนนัยแบบนี้ ท่านเอาไว้แต่งด่า ประชดประชันเสียดสีครับ แบบหลอกด่าไม่รู้ตัวน่ะครับ เพราะมันคือเชิงกวี ลองไปหาบทกวีเก่าๆ  ดูก็ได้ครับ เรื่องบางอย่าง ก็ฟ้องสายตายกันอยู่แล้ว เว้นแต่จะทำเป็นปิดหูปิดตาช่วยเหลือกัน ทีข่าวดาราภาพหลุด นัวเนีย ไป ตปท. ช-ญ นอนห้องเดียวกัน ดาราออกมาแก้ข่าว "มีคนอยู่ด้วย" "ตอนนั้นรู้เท่าไม่ึถึงการณ์" ฯลฯ ไม่เห็นเชื่อกันง่ายยังงี้เลย ทียังงี้ บก. ออกมาแก้ตัวแบบ ฟังไม่ขึ้น พร้อมใจกันเชื่อเลยทีเดียวแฮะ อิอิ ---------------------------------------- ตัดมาสั้น ๆ "...กำจัดปัดป้อง ณ ผองภัย      อดุลพระคุณมัย มีอเนกนัย                         กรัณย์ธูร ล้วนนำสัมฤทธิ์พิพิธพูน        สกลจิรจรูญ เรืองพระไอศูรย์                  สยามรัฐ..." บทจริงยาวกว่านี้เยอะ อันนี้ตัดมาสั้น ๆ ถึงแม้ศัพท์ยาก ไม่ได้ระบุว่าใครอะไร แต่อ่านแล้วก็รู้ว่า อาศิรวาท สรรเสริญ ใครสักคนหนึ่ง ไม่เห็นจะต้องตีความอะไรเล้ยยยยยย จากคุณ : Cholesterol Lover เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 55 14:48:08

ความคิดเห็นที่ 68 นี่แหละคือจุดเริ่มแห่งปัญญา       เขียนกลอนมาอ่านงงชวนสงสัย เพราะแตกต่างห่างหลากจากทั่วไป   จึงทำให้ตั้งคำถามไปตามกัน จะตีความตามระเบียบระบอบว่า      เป็นอาศีราวาทบทกำหนดนั่น หรือจะแยกแหกกฏทุกบทบรรณ     แล้วแต่เจตนาสรรค์สร้างกันมา อันคนอ่านงานเขียนอย่าเพียรหลง    ในความตรงตามคำนำยถา อันความลึกตรึกตรองสองสามครา    อาจยังผลให้คุณค่าอเนกอนันต์ วรรณกรรมทำไว้ให้หมองคิด        อย่าเพียงติด "คุณค่า" อาจมากั้น อันกระบวนครวญคิดเป็นผลิตภัณฑ์    ถือเป็นดอกผลกลั่นจากปัญญา จะจริตคิดมากลำบากไหม          ก็คงใช่หากจะตอบชอบหนักหนา ดั่งเล่นเกมส์เอมจิตทุกครั้งครา       เล่นซ้ำไปซ้ำมาไม่เบื่อเกิน จากคุณ : ปากกัดตีนถีบ จีบไม่ลง (ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง) เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 55 14:53:04

ความคิดเห็นที่ 69 อ่านแล้วเป็นแค่บทกลอน ไม่ใช่บท "อาศิรวาท" ไม่น่านำมาลงในบท "อาศิรวาท" นะครับ เพราะบทอาศิรวาทต้องแสดงความยกย่อง และถวายพระพร (ยิ้ม) จากคุณ : พิราบเงิน เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 55 15:01:22

ความคิดเห็นที่ 70 วันหนึ่งฟ้าสว่างกระจ่างแจ้ง = เมื่อถึงคราวที่เรื่องราวทั้งหลายได้ยุติสงบลง ลมแล้งในใจให้โหยหาย = ความคับแค้นขุ่นข้องหมองใจทั้งหลายได้หมดสิ้นไป ข้าวกล้านาไร่ได้กลิ่นอาย = พวกรากหญ้าทั้งหลายต่างรับรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแล้ว ยามฝนขวนขวายมุ่งหมายมา = เมื่อคนแดนไกลกำลังจะเดินทางเข้ามาอย่างผู้ชนะ วันหนึ่งเมฆคลุ้มเป็นกลุ่มก้อน = เมื่อเบื้องบนเกิดมีปัญหาและมีแต่เรื่องราวไปในทางที่ไม่ดี(ตามความคิดของคนแต่ง) ลมร้อนเย็นเป็นปัญหา = สิ่งที่มีผลกระทบต่อสิ่งที่คนไทยรักล้วนมีแต่ความยุ่งยากทั้งจากภายนอกและภายใน พฤกษ์พุ่มชอุ่มช้ำทั้งน้ำตา = คนทั่วไปต่างก็เดือดร้อนที่มาจากสิ่งที่คนไทยรัก ฝันว่าฟ้าสว่างดีอย่างไร = ถ้าอย่างนั้นไม่มีสิ่งที่คนไทยรักเลยคงจะดีกว่านี้มั๊ง คำแปล copy มาจาก link ด้านล่าง ตามที่คห.4 แจ้งไว้ อ่านคำแปลนี้แล้ว รู้สึกว่ามันตรงมากกว่ามติชนออกมาแถคำแปลเองอีกค่ะ http://www.oknation.net/blog/2279/2012/12/05/entry-1 จากคุณ : My Jib เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 55 16:03:15

ความคิดเห็นที่ 71 โคลงโลกนิติ copy มาจาก internet อ่านแล้วอืม เข้ากับเหตุการณ์ดีเลยเอามาแบ่งปันให้อ่านค่ะ @มณฑกทำเทียบท้าว สีหะ แมวว่ากูพยัคฆะ คาบเนื้อ นกกระจอกมีมานะ ว่ายิ่ง ครุฑนา เข็ญใจมีข้าเกื้อ หยิ่งหยิ้งแสนทวี ฯ @หิ่งห้อยส่องก้นสู้ พระจันทร์ ปัดเทียบเทียมรัตนอัน เอี่ยมข้า ทองเหลืองหลู่สุวรรณ ธรรมชาติ พาลว่าตนเองอ้า อาจล้ำเลยกวี ฯ จากคุณ : My Jib เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 55 16:06:08

ความคิดเห็นที่ 72 วันหนึ่งฟ้าสว่างกระจ่างแจ้ง = เมื่อครั้งอยู่ในระบอบการปกครอบแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ลมแล้งในใจให้โหยหาย = รู้สึกว่าน่าเบื่อ เห็นผู้อื่นใช้ระบอบอื่นก็อยากลองบ้าง ข้าวกล้านาไร่ได้กลิ่นอาย = หลาย ๆ กลุ่มเห็นด้วย ยามฝนขวนขวายมุ่งหมายมา = เกิดการสนับสนุนความพยายามที่จะใช้ระบอบการปกครองอื่น วันหนึ่งเมฆคลุ้มเป็นกลุ่มก้อน = ทว่าในขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้น ลมร้อนเย็นเป็นปัญหา = กลับกลายก่อเป็นปัญหา พฤกษ์พุ่มชอุ่มช้ำทั้งน้ำตา = ท่วมทุกข์มันไปทุกหย่อมหญ้า ฝันว่าฟ้าสว่างดีอย่างไร = ฝันหาความสงบจากการปกครอบระบอบเดิม ไม่รู้สิ อ่านแล้วเราตีความแบบนี้ ก็เป็นแง่บวกอยู่นะ แต่ไม่เข้าใจว่า มันเป็นอาศิรวาทด้วยหรือไร ไม่เคยอ่านอาศิรวาทแบบนี้? //ขออนุญาตถอดล็อกอิน TT TT จากคุณ : ชื่ออะไรก็ได้ที่ไม่ซ้ำ เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 55 18:22:25 A:124.122.195.16 X: TicketID:231895

ความคิดเห็นที่ 73 ไม่สามารถอ้างได้ว่าผู้แต่งต้องการให้ผู้อ่านตีความอย่างลึกซึ้ง เพราะใช้คำพื้นๆ ที่ไม่ใช่บาลีสันสกฤตที่จะแปลทุกคำออกมาเเป็นภาษาไทยแล้วเข้าใจเลย แต่อุปมาอุปไมยซะคนทั่วไปปีนบันไดไปแปลจนสุดขั้น ก็ยังไม่รู้ว่าต้องการสื่ออะไร พอมาอ่านที่ผู้อื่นตีความแยกเป็นวรรค ก็ยอมรับว่ายังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันเกี่ยวกันตรงไหน ถือเป็นความล้มเหลวของผู้แต่งที่ก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีทั้งต่อตนเอง เดลินิวส์ และสังคมค่ะ จบ จากคุณ : โสนน้อยเรือนพัง เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 55 19:11:33

ความคิดเห็นที่ 74 คุณปราถนาดี ไม่มีแอบแฝง ผมขอวิจารณ์คุณตรงๆแบบไม่ต้องให้ตีความเลย (เพราะดูจากการตอบกระทู้คุณ ดูจะไม่ค่อยมีปัญญา) การเขียคำำอวยพรใคนก็ตาม ถ้าเขียนแล้วตีความไปในทางลบได้ คนที่เขียนออกมาแบบนี้คงไม่ค่อยมีปัญญาเหมือนคุณนั่นแหละครับ เรื่องง่ายๆแค่นี้ยังคิดไม่เป็น ถ้าอยากจะเกิดปัญญาช่วยอ่านหนังสือวิชาการที่มีประโยชน์ หนังสือการ์ตูน หนังสือนอกเวลาดีกว่าเสียเวลามาตีความกลอนที่ไม่แสดงถึงปัญญาของคนเขียนเลยครับ เผื่อว่าปัญญาคุณจะบังเกิดขึ้นมาบ้าง แต่คนที่จิตใจมืดบอด คนที่ไม่รู้สักความกตัญญูอยู่ไปก็หนักแผ่นดินเปล่าๆ หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ผม ไม่เคยรู้ว่าเป็นแบบไหน แต่แค่กลอนนี้คนทั้งแผ่นดินเค้มก็รู้แล้วว่สเป็นอะไร ถ้าคุณยังไม้รู้ รบกวนไปกินปลาให้มากๆ เผื่อสมองคุณจะพัฒนาไปในทางที่ดีบ้าง แนะนำจากใจเลยครับ จากคุณ : dr.kwind (Dr.Kwind) เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 55 19:44:54

ความคิดเห็นที่ 75 ไม่เป็นไรไม่รังเกียจแม้เดียดฉันท์     จะด่ากันตรงตรงคงไม่ว่า แต่จิตแคบแอบต่ำมินำพา          ศิลปะวิทยาไม่งอกงาม จะเปิดใจอ่านอะไรให้ลำบาก        คงสุดยากแสนเข็ญเช่นคำถาม ที่ถอดใจไม่กล้าพยายาม          มาต่อความหาคำตอบชอบด้วยดี มิแน่ใจว่าหรืออ้างกร่างบัณฑิต      ดุษฏีนฤมิตหรือเปล่าพี่่ หากถือตราด็อกเตอร์เห่ออวดดี     ทั้งทั้งที่สมองนั้นขั้นพิการ จะวิจารณ์งานใดให้มืดบอด        เพราะตีค่าเดียวตลอดปลอดแก่นสาร เสียดายจังปากยังอันธพาล        เที่ยวระรานไร้เหตุผลจนปัญญา จากคุณ : ปากกัดตีนถีบ จีบไม่ลง (ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง) เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 55 22:41:22

ความคิดเห็นที่ 76 คนที่จิตใจมืดบอดอย่างคุณ คงรับอะไรดีๆดข้าไปไม่ได้แล้วละ อย่างนี้ผมว่าปลาคงไม่ช่วยนะ... กินไปคงไม่มีประโยชน์ หนักแผ่นดินจริงๆ... จากคุณ : dr.kwind (Dr.Kwind) เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 55 00:49:04

ความคิดเห็นที่ 77 เอาง่ายๆ กลุ่มต่อต้าน ใช้คำว่า "ฟ้า" สื่อถึงอะไร และกลุ่มนั้นใช้คำว่า "ฟ้า" อย่างชัดเจนด้วย ก็คงไม่ต้องตีความบทกวีนี้อย่างลึกล้ำแต่อย่างใด จากคุณ : The Little Prince เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 55 10:57:16

ความคิดเห็นที่ 78 ไม่ต้องกินปลา กินยาฆ่าปลวกดีกว่าครับ จากคุณ : ปะหล่อง เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 55 12:21:43

ความคิดเห็นที่ 79 ผมว่าอย่างมากเลยนะ กลอนมันก็แค่ "กำกวม" ครับ แล้วก็ไม่ได้กำกวมขนาดนั้น มันแค่กำกวมตรงวรรคสุดท้าย ที่ว่า "ฝันว่าฟ้าสว่างดีอย่างไร" แค่นั้นเอง คือ ผมเข้าใจว่าคำว่า "ดีอย่างไร" ตีความได้สองความหมาย คือ ในเชิงปรามาส ("xxx มันมีดียังไง") กับ ในเชิงโหยหา ("ฝันถึง xxx อยากลองสัมผัสดูซักครั้งว่าเป็นยังไง") แต่การตีความต้องดูบริบทด้วย อย่างบทแรกนี่สรรเสริญแน่ๆ ส่วนบทที่สองวรรคที่ ๑-๓ คือบรรยายปัญหาบ้านเมืองปัจจุบันโดยใช้โวหาร ดังนั้น วรรคสุดท้ายจึงตีความเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากความหมายเชิง "โหยหา" ครับ ว่าในสมัยก่อนที่ยังไม่มีเหตุการณ์บ้านเมืองแบบนี้ ประชาชนอยู่กันอย่างสงบสุขมีในหลวงเป็นศูนย์กลาง ในปัจจุบันมีความวุ่นวายเกิดขึ้น ประชาชนจึงฝันว่าถ้าได้กลับไปสัมผัสบรรยากาศเมื่อครั้งเก่าก่อนมันจะมีความสุขแค่ไหน การตีความแบบนี้สนับสนุนด้วยคำว่า "ฝันว่า" ในวรรคสุดท้ายเอง ถ้าจะตีความว่า "ฟ้าสว่างดีอย่างไร" ในเชิงลบมันจะขัดแย้งกับคำว่า "ฝันว่า" และยังขัดแย้งกับบทแรกที่มีการสรรเสริญเกริ่นนำไว้ก่อนอีกต่างหาก บทความกำกวมที่แท้จริงต้องแปลได้สองความหมายแม้กระทั่งพิจารณาบริบทไว้ด้วยแล้วครับ แต่นี่เมื่อพิจารณาบริบทแล้ว ข้อความกำกวมวรรคสุดท้ายแปลได้ความหมายเดียวครับ คือ การโหยหา ไม่ใช่การปรามาส มันยากที่จะคิดว่าทำไมผู้ประพันธ์จึงต้องสรรเสริญในบทแรก บรรยายความทุกข์ของประชาชนเมื่อในบทที่สองวรรค ๑-๓ เพื่อที่จะมาปรามาสในวรรคสุดท้ายแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยในรูปแบบที่ขัดแย้งกันเองในวรรค ("ฝันว่า" + "ฟ้าสว่างดีอย่างไร") ส่วนที่ว่าทำไมมติชนต้องเอาเรื่องที่ไม่ใช่สรรเสริญมารวมไว้ในบทกลอนด้วย ทำไมไม่อวยพรตรงๆ ในรูปแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก อย่างเช่น "ทรงพระเจริญ"  อันนี้ต้องเข้าใจว่าในหลวงต่างกับพ่อ แม่ ญาติ เพื่อนสนิทตรง และเอกชนอื่นๆ ตรงที่ว่า นอกจากในหลวงทรงมีฐานะที่คนจำนวนมากยกให้เป็นพ่อแล้ว ท่านยังเป็นบุคคลสาธารณะ ในองค์กรของรัฐที่มีบทบาทสาธารณะในสังคมไทยอย่างสูง ดังนั้น ในขณะที่การเอาเรื่องปัญหาบ้านเมืองมารวมในกลอนอวยพรคนทั่วไปอาจจะเป็นการไม่สมควร แต่การทำแบบเดียวกันนี้ในโอกาาสที่เขียนถึงบุคคลสาธารณะอย่างประมุขของรัฐ ที่มีบทบาทต่อสาธารณะทั้งในทางตรง (โครงการส่วนพระองค์) และผ่านทางองค์กรที่สังกัดอยู่ (สถาบันกษัตริย์) จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ (และต้องไม่ลืมด้วยว่าวันชาติของไทยคือวันที่ ๕ ธันวาคม ดังนั้นยิ่งไม่มีอะไรผิดปกติกับการพูดถึงเรื่องบ้านเมืองในวันนี้รวมกับสรรเสริญไปด้วยทีเดียว) แต่ต่อให้การเขียนเรื่องปัญหาบ้านเมืองพร้อมกับการอวยพรเป็นเรื่องที่ผิดและยอมรับว่ามติชนเขียนกำกวม (ในความหมายที่ว่ามันตีความไปในทางลบได้) จริงๆ เลยนะ (ซึ่งผมเห็นว่ามันกำกวมแค่ "ส่วนหนึ่งของวรรคสุดท้าย" แต่ไม่กำกวมเมื่อดูในภาพรวม) มันก็สรุปได้ว่า มติชนเขียนไม่เหมาะสม ไม่มีกาลเทศะ ฯลฯ แต่มันจะไม่ออกมาในทางที่ว่า มติชนล้มล้าง เนรคุณแผ่นดิน เลว อะไรแบบนี้ แบบหลังนี่คือข้อสรุปของคนที่ปักใจเชื่อว่ามติชนเจตนาร้าย ไม่ใช่ของคนที่คิดว่ามติชนทำผิดมารยาททางสังคม ดังนั้น จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ผมว่ามันเป็นความระแวงเกินเหตุในหมู่คนรักเจ้าน่ะครับ รวมกับอคติในเรื่องที่ว่า มติชน จะมีคอลัมนิสต์ที่สนับสนุนเสื้อแดง (และอาจจะทักษิณ) อยู่ และเสื้อแดงมีชื่อเสียงเรื่องที่คนบางกลุ่มไม่เห็นด้วยกับสถานะและบทบาทของสถาบันกษัตริย์ปัจจุบัน (แล้วยังมีก๊วนตกขอบที่ถึงขนาดอยากล้มไปเลยอีกต่างหาก) ก็เลยทำให้เกิด "การก้าวกระโดดทางการใช้เหตุผล" ส่งผลให้บทกลอนที่กำกวมเพียงนิดเดียวกลายเป็นการดูหมิ่นไป แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 55 14:19:08 จากคุณ : ขุนพลวรมันต์ เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 55 14:16:55

ความคิดเห็นที่ 80 อนึ่ง ถ้าใครไม่เห็นด้วยกับการตีความของผม อยากให้ใช้การวิเคราะห์มาโต้กันมากกว่านะครับ ไอ้แบบที่ว่า "ใครๆ อ่านก็รู้" "เอ็งโง่ขนาดไหนถึงไม่รู้" "เอ็งมันโลกสวย" หรืออะไรแนวๆ นี้ที่เป็นการ "ล็อคหลบการใช้เหตุผลเชิงวิเคราะห์" เนี่ยขอเลยนะ (ขอไม่เอานะครับ) ประโยคข้างบนนี้มันทดแทนการใช้เหตุผลไม่ได้นะครับ คุยอย่างนี้ชาติหน้าก็ไม่จบหรอก เพราะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ไอ้สิ่งที่เหมือนจะเป็นคอมมอนเซนส์ในเคสนี้ ผมกับคนที่เห็นต่างจากผมมันจะมองต่างกันอยู่ คอมมอนเซนส์ของผมคือ มติชนไม่มีเจตนาร้ายใดๆ แสดงออกในบทกลอนนี้ ดังนั้น ทางโต้ที่สร้างสรรค์กว่าก็คือ ลองมาดูกันว่า คอมมอนเซนส์ของใครวางอยู่บนเหตุผลที่สมเหตุสมผลกว่ากัน -ขอขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ จากคุณ : ขุนพลวรมันต์ เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 55 14:37:48

ความคิดเห็นที่ 81 ขอเคารพความคิดเห็นของทุกท่านนะครับ แต่ถ้าในวันเกิดพ่อผมแล้วมีใครมาแต่งกลอนชวนให้คิดสองแง่สองง่ามแบบนี้แล้วมาบอกว่าอวยพร ผมว่าอยู่เฉยๆยังจะดีกว่าอีก แล้วถ้าใครยังเห็นดีเห็นงามกับผู้แต่งกลอนนั้น ผมก็ต้องคิดว่าเขาไม่ได้คิดดีต่อพ่อผมแล้วล่ะ จากคุณ : littlekriss เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 55 15:21:08

ความคิดเห็นที่ 83 ผมคิดว่าพอเข้าใจความเห็นคุณขุนพลวรมันต์ กับ คุณ ปรารถนาดีฯ อยู่บ้างแล้วล่ะครับ (มีจุดยืนว่ากลอนนี้มีความหมาย/สามารถตีความ ในทางสรรเสริญได้ และไม่จำเป็นต้องเขียนสรรเสริญแบบชัดเจน ถือเป็นลูกเล่นกระบวนกลอนอย่างหนึ่ง ใช่ไหมครับ ถ้าไม่ใช่คงต้องขอให้อธิบายใหม่ ฮา) แต่ผมก็ยังคงยืนยันในความคิดเดิมว่าไม่เหมาะสมอยู่ดี เพราะถึงแม้จะตีความได้ว่าเป็นการสรรเสริญ หรือแม้แต่ที่คุณขุนพลวรมันต์ตีความ ว่าเป็นการสรรเสริญแน่นอน แต่ว่าในการตีความจากคนทั่วไป และจากคนหลายๆ ฝ่าย ก็กลายเป็นการตีความในทางลบได้เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับทัศนคติของผู้อ่าน ซึ่งจะแตกต่างจากอาเศียรวาทโดยทั่วไป ที่ไม่มีใครออกมาบ่นหรือกล่าวหาได้เลยว่าเป็นการเขียนเชิงลบ จากคุณ : ปั๊ปโปะจัง เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 55 17:46:21

ความคิดเห็นที่ 84 จริงๆ ผมเข้าใจนะว่า บางคนอาจจะ "สะดุด" กับกลอนของมติชน ผมอ่านครั้งแรกก็สะดุดตรงเหมือนทุกคนนั่นแหละ ประเด็นแรก: เจตนาของมติชน จากที่ดูแล้วผมเห็นว่าเป็นการสรรเสริญครับ เพราะมันเป็นการตีความแบบเดียวที่ทำให้กลอนไม่ขัดแย้งกันเอง มันไม่ใช่ว่าถ้าตีความในแง่ลบก็ยังทำให้กลอน make sense ได้ ดังนั้น ผมไม่คิดว่ามันกำกวมแต่อย่างใดหลังจากที่วิเคราะห์ดูดีๆ แล้ว แต่ที่มันดูไม่ตรงไปตรงมาก็เพราะผู้ประพันธ์พยายามแต่งออกมาในรูปแบบที่นำสถาบันไปโยงกับสถานการณ์ปัจจุบัน (พูดง่ายๆ ก็คือ กลอนบทนี้เป็นรูปแบบหนึ่งของการนำเอาความดีสถาบันไปเทียบกับความเลวของนักการเมือง แบบที่มักจะทำกันอยู่บ่อยๆ) ไม่เหมือนเจ้าอื่นๆ (เช่น หน้าเว็บพันทิป) ที่ตรงไปตรงมา อันนี้ก็จะไปสู่ประเด็นที่สอง ประเด็นที่สอง: ความเหมาะสมของวิธีการแต่ง ผมคิดว่าความไม่ตรงไปตรงมาในการสรรเสริญเกิดเพราะผู้ประพันธ์แต่งโดย (๑) นำความดีสถาบันเทียบกับสถานการณ์วุ่นวายในปัจจุบัน - เพื่อเน้นถึงความดีให้ยิ่งขึ้น เป็นต้น  และ (๒) มีการเล่นคำใช้โวหาร ทั้งหมดนี้ทำให้ดูเหมือนว่ามันตีความไปอีกทางได้ (ซึ่งผมคิดว่าไม่ได้) และบางท่านอาจจะไม่พอใจ ผมคิดว่าเราควรจะประเมินความเหมาะสมของ ๒ ข้อนี้แยกจากกัน: ข้อ (๑) นั้น ผมเห็นว่า "ทางเลือก" ในการสรรเสริญหนึ่งครับ ไม่คิดว่าไม่เหมาะสม (อย่างน้อยถ้าเทียบกับแนวปฏิบัติที่ทำกันอยู่ในการเชิดชูสถาบัน) เพราะอย่างที่บอกไปว่าในหลวงและสถาบันกษัตริย์มีนัยยะที่เกี่ยวกับด้านสาธารณะอยู่ ไม่เหมือนวันเกิดของบุคคลทั่วไป ส่วนข้อ (๒) ที่บางคนอาจจะแย้งว่าแล้วทำไมไม่ใช้ภาษาให้เข้าใจง่ายกว่านี้ อันนี้ผมว่าฟังขึ้น ถ้าจะผิดก็ผิดข้อนี้ ที่ไม่ระมัดระวังกว่านี้ แต่โดยส่วนตัวผมไม่มีปัญหาน่ะ ถ้าใครมาแต่งให้พ่อผมในความหมายคล้ายๆ แบบนี้ ("ดูเหมือนว่า" จะตีความอีกแบบได้ แต่เมื่อดูดีๆ คือการสรรเสริญ ยากที่จะคิดเป็นอย่างอื่น) ผมก็โอเคนะ สรุปแล้วก็คือ ผมคิดว่าอย่างมากที่มติชนจะโดนวิจารณ์ก็คือเรื่องการใช้ภาษา ไม่ใช่วิธีการสรรเสริญและไม่ใช่เจตนา ซึ่งความผิดพลาดเพียงแค่นี้ไม่สมเหตุกับระดับความเกลียดชังจากผู้อ่านหลายคนแม้แต่น้อย (เลว, ล้มเจ้า, มติโจร ฯลฯ) จากคุณ : ขุนพลวรมันต์ เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 55 19:24:39

ความคิดเห็นที่ 85 อยากให้เก็บภาพกลอนนี้เอาไว้กันนะคะ เพราะปีที่แล้วมติชนก็เขียนกลอนแนวๆนี้ออกมา ตอนนั้นก็เป็นข่าวกันไปทีนึง แต่พอปีถัดมาหลายคนก็ลืมแล้ว ซึ่งเราว่าปีหน้า มติชนก็เขียนกลอนทำนองนี้อีกอยู่ดีล่ะค่ะ จะให้ดีอยากเห็นกลอนอวยพรพระราชินีด้วยว่าจะมาแนวเดียวกันหรือเปล่า จากคุณ : LuNaTicCaT เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 55 21:54:01

ความคิดเห็นที่ 86 ส่วนการตีความ เราว่า คห.30 ในลิงค์นี้ตีความน่าจะตรงค่ะ ไม่กล้าก็อปมาลง กลัวอมยิ้มปลิว http://www.oknation.net/blog/2279/2012/12/05/entry-1 จากคุณ : LuNaTicCaT เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 55 21:58:56

ความคิดเห็นที่ 87 จขกท.เองค่ะ ขอขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นนะคะ สำหรับเรา ไม่เห็นด้วยค่ะ ที่ทางมติชนแต่งบทอาเศียรวาทมาเช่นนี้  เพราะ... 1.ถ้าเจตนาดี ทำไมต้องทำให้เกิดความกำกวม 2.อาเศียรวาท คือ คำอวยพร แต่เราไม่เห็นว่ามีถ้อยคำใดที่แสดงออกถึงการอวยพรเลย 3.ตอนจบของบทอาเศียรวาท เป็นลักษณะการตั้งคำถาม ซึ่งก็ย้อนไปที่ข้อ 1 อยู่ดี ก็เอาเป็นว่าในเมื่อภาษาไทยมันดิ้นได้ เจตนาของผู้แต่งเป็นอย่างไรคนๆ นั้นก็ย่อมรู้ตัวดีค่ะ คิดดี ก็ได้ดี คิดชั่ว ก็ได้ชั่ว แผ่นดินนี้เป็นแผ่นดินของพ่อหลวงค่ะ ใครก็ตามที่มีความคิด มีจิตทุรยศต่อเจ้าของแผ่นดิน มันผู้นั้นย่อมได้รับกรรมอย่างแน่นอน จากคุณ : ทรายขาวในเงาจันทร์ เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 55 22:18:11

ความคิดเห็นที่ 88 อืม ผมไม่ได้ว่าอะไรเรื่องการตีความกลอนนะ ผมเข้าใจว่าแล้วแต่คนวิเคราะห์ แต่แผ่นดินนี้เป็นของคนไทยทุกคนครับ (และแน่นอน ในหลวงก็ทรงเป็น ๑ ในนั้น) นี่คือความจริง ผมไม่มีปัญหาถ้าใครอยากยกสิทธิ์การอ้างความเป็นเจ้าของของตัวเองให้ผู้อื่น แต่เป็นความไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะถือวิสาสะไปเอาสิทธิ์นั้นของผู้อื่นไปยกให้คนอื่นด้วยโดยเจ้าตัวไม่ได้รู้เรื่องยินยอม (การถือวิสาสะเช่นนี้ถือเป็นการ "ทุรยศต่อเจ้าของแผ่นดิน" ได้หรือเปล่าเอ่ย?) จากคุณ : ขุนพลวรมันต์ เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 55 22:42:02

ความคิดเห็นที่ 89 วันหนึ่งฟ้าสว่างกระจ่างแจ้ง   ลมแล้งในใจให้โหยหาย ข้าวกล้านาไร่ได้กลิ่นอาย   ยามฝนขวนขวายมุ่งหมายมา - แปลย่อเลย สมัยก่อน อยู่กันอย่างปกติสุข ----------------------------------------------------- วันหนึ่งเมฆคลุ้มเป็นกลุ่มก้อน ลมร้อนเย็นเป็นปัญหา - พวกเสื้อแดง เสื้อเหลือง เริ่มขัดแย้งกัน ยาวนาน (ลมร้อน - เย็น) คือความเห็นที่ต่างขั้วกัน ----------------------------------------------------- พฤกษ์พุ่มชอุ่มช้ำทั้งน้ำตา ฝันว่าฟ้าสว่างดีอย่างไร - คนในประเทศทุกข์ ไม่รู้จะจบยังไง ได้แต่ย้อนฝันไป อยากให้ประเทศเรากลับมาเหมือนเดิม (ก่อนไอ้ 2 สีนี้จะมา) ปล. สีเหลืองในที่นี้ หมายถึงกลุ่มการเมือง จำลอง สนธิ สรุป คนแต่งอยากให้ประเทศเรากลับไปเป็นเหมือนสมัยก่อน คนไทยรักกัน แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 55 23:25:49 แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 55 23:12:07 จากคุณ : Netmafia เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 55 23:11:01

ความคิดเห็นที่ 90 ข้าว และ พฤกษ์ ก็เปรียบแทนคนในประเทศ ฟ้าสว่าง, ลมแล้ง, เมฆคลุ้ม, ลมร้อน เย็น มันก็คือการเปรียบสภาวะของการเมือง และของคนในประเทศในสภาวะต่าง ๆ จากคุณ : Netmafia เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 55 23:52:16

ความคิดเห็นที่ 91 ขออัญเชิญพระราชหัตถเลขาของในหลวงรัชกาลที่ 7 มาไว้ในกระทู้นี้นะครับ "ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของ ข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดย สิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของราษฎร" จากคุณ : เอาชื่อรัยอ่ะ เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 55 03:13:28

ความคิดเห็นที่ 92 บทกวีห่วยแตกอันนี้ ไม่มีวันเปลี่ยนใจลูกไทย คนนี้ให้เลิกเคารพรัก พระเจ้าอยู่หัวองค์นี้ได้แน่นอน ฝันไปเหอะ. จากคุณ : เขียนบน iPhone (janisa) เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 55 05:43:12

ความคิดเห็นที่ 93 อ่านที่มติชนอธิบายมาแล้วชอบ ล้ำลึก แปลกใหม่ดี ศิลปะมักจะมีอะไรในเชิงสัญลักษณ์ให้คนตีความ ซึ่งก็ไม่เหมือนกัน แต่ในเมื่อตัวศิลปินผู้แต่ง อธิบายมาแล้ว ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น คนที่คิดไปทางไม่เป็นมงคล ก็เข้าใจใหม่ ก็เท่านั้นเอง จากคุณ : ผ่านมา เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 55 14:06:46 A:58.8.128.182 X: TicketID:098315

ความคิดเห็นที่ 94 เห็นมีคนข้างบนถามว่า มติชนเปลี่ยนไปหรือ เพราะอะไร เห็นจะตอบได้ว่า เปลี่ยนแน่ๆค่ะ เปลี่ยนไปหลังจากเปลี่ยนสัดส่วนผู้ถือหุ้น โดยแกรมมี่เข้ามามีหุ้นอยู่พอควร ปาหี่มหกรรมtake over ที่เล่นบทน่าสงสารให้ผู้อ่านเอาใจช่วยก็จบลงแบบเงียบๆ เปลี่ยนไปหลังจากลูกสาวขรรค์ชัยมีสายสัมพันธ์ลึกซึ๊งกับนักการเมืองเพื่อไทย ชัดเจนนะคะ ;) จากคุณ : germanriesling (germanreisring) เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 55 02:01:13

ความคิดเห็นที่ 95 ไปดูใน Set แล้วก็เช็คข่าวล่ะ จริงด้วย แฟนแก่ด้วย ถึงว่า อาจารย์คณะนิเทศก็พูดประมาณนี้ ตอนแรกนึกว่าคิดไปเอง จากคุณ : ต้น เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 55 03:18:26 A:171.98.143.126 X: TicketID:091427

ความคิดเห็นที่ 96 ขึ้นโลโก้ค่ายตัวเองว่าสื่อคุณภาพของไทย เมื่อก่อนเชื่อเเละตามอ่านทุกเล่ม เดี๋ยวนี้ให้ฟรีเเถมเงินยังไม่เอาเลย เฮ้อ จากคุณ : ไล่ฮก เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 55 14:45:28