ความคิดเห็นที่ 1 1) วัดชนะสงคราม : เพื่อความมีชัยต่ออุปสรรคทั้งปวง วัดชนะสงครามนี้ แต่เดิมชาวบ้านเรียกกันว่า วัดกลางนา มาจนกระทั่งเจ้าพระยาจักรีปราบดาภิเษก เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และ ตั้งพระนครแห่งใหม่มาเป็นกรุงเทพฯ แล้ว รัชกาลที่ 1 จึงได้โปรดประทานนามให้วัดกลางนา นี้เสียใหม่ว่า วัด ตองปุ ตามแบบวัดชื่อเดียวกันนี้เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยายังเป็นราชธานี และแม้ว่าจะได้มีการเปลี่ยนราชธานีใหม่ และ เปลี่ยนราชวงศ์ใหม่แล้ว แต่ศึกสงครามที่ไทยยังคงมีกับพม่าก็ยังไม่สงบ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงได้มีพระบัญชาให้พระอนุชา คือ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท นำทัพไปปราบปรามเหล่าข้าศึก จนได้รับชัยชนะกลับมา เมื่อเสด็จนิวัติถึงพระนคร สมเด็จฯพระมหาสุรสีหนาท ทรงพักทัพ และ ทำพิธีสรงน้ำ พร้อมเปลี่ยนเครื่องทรงใหม่ ณ วัดตองปุ นี้ และ หลังจากนั้นอีกไม่นาน พระอนุชาก็โปรดให้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์วัด จนแลดูงามตา เมื่อบูรณะแล้ว ทรงถวายวัดนี้แด่พระเจ้าอยู่หัวไว้เป็นอารามหลวง และในหลวงรัชกาลที่ 1 จึงได้โปรดประทานนามใหม่อีกครั้งว่า วัด ชนะสงคราม ไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะที่ พระอนุชาได้สร้างคุณประโยชน์ไว้ในครั้งนั้นเอง จากคุณ : ฉาวหวาว - [ 9 ม.ค. 46 14:57:23 ]

ความคิดเห็นที่ 2 2) วัดบวรนิเวศวิหาร : เพื่อความรุ่งเรือง โชติช่วง (คำว่าบวรแปล่าเจริญรุ่งเรือง) วัดดังแห่งนี้ สร้างขึ้นใน รัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่เดิมนั้น ชาวบ้านในแถบบางลำพู เรียกกันว่า “ วัดใหม่ ” เป็นวัดที่ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงสถาปนาขึ้นใหม่ ในช่วงปี พ.ศ. 2367 - 2375 คาดว่าที่เรียกเช่นนี้ เพราะสร้างขึ้นใหม่ ในสมัยรัชกาลที่ 3 เพราะ ในบริเวณนั้น มีวัดที่สร้างขึ้นอยู่ก่อนแล้ว คือ วัด รังสีสุทธาวาส แต่ในที่สุด วัดนี้ ก็ถูกกลืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ วัดใหม่ เมื่อพูดถึง สมเด็จพระสังฆราชของไทยแล้ว หลายคนมักจะนึกถึง วัดที่พระองค์ทรงพำนักอยู่ อย่างเช่นสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ซึ่งเป็น สมเด็จพระสังฆราช องค์ปัจจุบันนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่า พระองค์ทรงประทับอยู่ ณ วัด บวรนิเวศวิหาร วัดหลวง อันเป็นที่ที่น่าจะมี พระสังฆราชของไทย ทรงเคยประทับที่ วัดนี้ มากที่สุด ภายหลังจากที่ เจ้าฟ้ามงกุฏ หรือมีชื่อทางบรรพชิตว่า เจ้าฟ้าวชิรญาณวงศ์ (รัชกาลที่ 4) เสด็จมาประทับจึงทรงได้ชื่อเสียใหม่ว่า “วัด บวรนิเวศวิหาร” และแม้ว่าวัดนี้จะได้สร้างในสมัยของรัชกาลที่ 3 แต่ผู้สร้างนั้น กลับเป็นพระอนุชาคือ เจ้าฟ้ามงกุฏ และที่วัดนี้เองที่ เจ้าฟ้าวชิรญาณวงศ์ ทรงสถาปนานิกายทาง ศาสนาพุทธใหม่ เป็น ธรรมยุติกนิกาย โดยที่พระองค์ดำริให้เป็น นิกายที่เคร่งศีล และ ดำเนินชีวิต ให้ใกล้เคียงกับ สมัยพุทธองค์ให้มากที่สุด และ เมื่อสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสิ้นพระชนม์ เจ้าฟ้ามงกุฏจึงได้สืบราชสมบัติต่อ ทำให้พระองค์ต้องทรงลาสิกขา และ ทรงแต่งตั้งอธิบดีสงฆ์องค์ใหม่ คือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ แทน นับแต่นั้นมา วัดบวรฯนี้ จึงกลายเป็นที่พำนักของ สมเด็จพระสังฆราชทุกองค์ มาจนบัดนี้ วัดนี้แม้จะเปิดให้ พุทธศาสนิกชน และ บุคคลทั่วไปเข้าเยี่ยมชม และ ทำพิธีทางพุทธศาสนาได้ แต่ด้วยเหตุที่มีสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน เสด็จประทับอยู่ จึงเปิดให้ใช้วัดได้เพียงบางส่วน ดังนั้นพระพุทธรูป คู่บ้านคู่เมืองอย่าง “พระพุทธชินสีห์” ที่ประดิษฐาน อยู่เบื้องพระพักต์พระพุทธรูปองค์ใหญ่ ในอุโบสถนั้น ก็จะเปิดให้บุคคลภายนอก ได้เข้ามาสักการะ ได้เพียงบางคราวเท่านั้น แต่พระเจดีย์ใหญ่ ที่มองเห็นได้แต่ไกลนั้น เป็นที่เก็บ พระบรมสารีริกธาตุ และ มีพระไพรีพินาศประดับเคียงอยู่ ตรงซุ้มเก๋งด้วยนั้น เปิดให้บุคคลทั่วไป เข้าชม และ สักการ ได้ตามอัธยาศัย จากคุณ : ฉาวหวาว - [ 9 ม.ค. 46 14:58:23 ]

ความคิดเห็นที่ 3 3) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร : สักการะพระบรมสารีริกธาตุ ขอให้มีความสุขสมหวัง มีสติปัญญาชาญฉลาด มีปฏิภาณไหวพริบ วัดสระเกศ หรือที่ปัจจุบันมีชื่อเรียกเต็มๆ ตามนามพระราชทานว่า วัด สระเกศราชวรมหาวิหาร นั้น แต่เดิมเรียกว่า วัด สะแก และเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงสถาปนาบางกอกขึ้น เป็นเมืองหลวง และโปรดเกล้า ฯ ให้มีการสร้างเมืองใหม่ตามพระราชดำริของพระองค์นั้น คูคลองน้อยใหญ่ ที่อยู่ใกล้ๆ เกาะรัตนโกสินทร์โดยรอบจึงถูกขุดขึ้น รวมทั้งได้มีการปฏิสังขรณ์วัดเก่าๆ ที่อยู่โดยรอบด้วย ดังนั้น วัด สะแกที่ตั้งอยู่ข้างๆ คลองรอบกรุง ซึ่งรัชกาลที่ 1 เคยประทับมาทำพิธีพระกระยาสนานเมื่อครั้งดำรงยศเป็นพระยาจักรีในสมัยธนบุรีนั้น พระองค์ทรงแวะมาชำระพระเกศายังวัดสะแกนี้ ครั้นพระองค์ได้ทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์แล้ว พระองค์จึงโปรดให้มีการบำรุงวัดขึ้น พร้อมทั้งได้พระราชทานนามใหม่ว่าเป็น วัด สระเกศอันหมายถึงที่มาเดิมที่พระองค์เสด็จมาในคราแรกนั่นเอง วัดสระเกศนั้น ตั้งแต่ได้รับพระราชทานแต่งตั้งให้เป็นวัดอารามหลวงแล้ว เมื่อล่วงมาถึงสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงโปรดการการสร้าง และบำรุงวัดเป็นอันมากจึงได้ทรงโปรดให้สร้างพระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) ขึ้นในเนื้อที่วัด โดยที่เจดีย์ภูเขาทองนี้ กว่าจะมาสร้างแล้วเสร็จก็กินเวลาถึง 3 รัชกาล อารามหลวงแห่งนี้นั้น มิใช่จะมีเจดีย์ภูเขาทองเท่านั้น ที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาวัดแต่เพียงอย่างเดียว ความงามของจิตรกรรมฝาพนังที่วาดขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 รวมไปถึงซุ้มเสมาในบริเวณวัดที่สร้างด้วยกระเบื้องเคลือบประดับประดารอบวิหารก็ถือว่ามีความงามตามแบบกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นแท้ๆ ที่ยังเปิดโอกาสให้ประชาชนและผู้มีจิตศรัทธาได้เข้ามาชื่นชมอยู่เสมอ จากคุณ : ฉาวหวาว - [ 9 ม.ค. 46 14:59:33 ]

ความคิดเห็นที่ 4 4) วัดสุทัศน์เทพวราราม : นมัสการพระศรีศากยมุนี ขอพรให้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล วัดสุทัศน์เทพวราราม อยู่ที่ถนนบำรุงเมือง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีพระราชประสงค์จะสร้างพระวิหารให้มีขนาดใหญ่เท่ากับพระวิหาร วัดพนัญเชิง เป็นศรีสง่าแก่พระนคร ได้พระราชทานนามไว้ว่า "วัดมหาสุทธาวาศ" แต่สร้างยังไม่ทันเสร็จ ได้เสด็จสวรรคตเสียก่อน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ทรงดำเนินงานต่อ และพระราชทานนามว่า "วัดสุทัศน์เทพวราราม" สร้างเสร็จสมบูรณ์ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่วัดสุทัศน์ไม่มีเจดีย์เหมือนวัดอื่น ๆ เพราะมีสัตตมหาสถานเป็นอุเทสิกเจดีย์ (ต้นไม้ สำคัญในพุทธศาสนา 7 ชนิด) แทนที่อยู่แล้ว สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดได้แก่ พระศรีศากยมุนี (หลวงพ่อโต) พระประธานของวัดที่ใด้ ชะลอมาจากวิหารหลวงวัดมหาธาตุ เมืองสุโขทัย และบานประตูพระวิหาร ซึ่งเป็นศิปกรรมชั้นเยี่ยมทางด้านการแกะสลักในสมัยกรุง รัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะคู่ที่เป็นฝีพระหัตถ์ของพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้นำไปเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จากคุณ : ฉาวหวาว - [ 9 ม.ค. 46 15:00:31 ]

ความคิดเห็นที่ 5 5) ศาลเจ้าพ่อเสือ : เพื่อให้มีอำนาจ มีคนยำเกรง ตั้งอยู่ที่ถนนตะนาว แขวงเจ้าพ่อเสือ เขตพระนคร บนเนื้อที่ 2 ไร่เศษ เดิมตั้งอยู้ริมถนนบำรุงเมือง เป็นศาลขนาดใหญ่ ภายในเคยมีเทพเจ้าจีนทำด้วยทองคำหนัก 120 บาท แต่ถูกโจรปล้นในสมัยรัชกาลที่ 2 ต่อมาเมื่อรัชกาลที่ 5 ขยายถนน ได้โปรดให้พระยาโชฎีกราชเศรษฐีย้ายศาลมาไว้ที่ถนนตะนาว (ท่านที่จะซื้อของบูชาจากร้านค้าแถวนี้โปรดระวังนิดนึงนะครับ คือผมเองก็ไม่เคยไหว้เจ้า ไปถามแม่ค้า เจ๊แกก็บอกให้เอาชุดใหญ่ หยิบนู่นหยิบนี่ใส่ถุงให้ รวมๆแล้วชุดละ250บ. ผมไป2คนก็500 อึ้งไปเลยครับ ไปไหว้มา4วัด ดอกไม้ ธูปเทียนแล้วแต่จะบริจาค รายได้เข้าวัด นี่เข้ากระเป๋าแม่ค้าเต็มๆ ไหว้ไปเจ้าท่านก็กินไม่ได้(คิดไปก็บาปเปล่าๆ)ผมเลยเอาแค่เล็กชุดเดียว ไม่รู้ธรรมเนียมเขาเป็นไงนะครับ แต่ผมว่า ถ้าไม่จำเป็น แค่ดอกไม้ธูปเทียนก็น่าจะพอ มันอยู่ที่ใจใช่มั๊ยครับ) จากคุณ : ฉาวหวาว - [ 9 ม.ค. 46 15:01:42 ]

ความคิดเห็นที่ 6 6) ศาลหลักเมือง : เพื่อความเป็นหลัก เป็นฐาน ให้ชีวิตมีหลักมั่นคง ศาลหลักเมือง ที่เราเห็นข้างพระบรมมหาราชวัง เคียงกระทรวงกลาโหม ดั่งที่เราเห็นผู้คนไปสักการะบูชากันนั้น แท้จริงแล้ว สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์แห่งราชวังจักรีนั้น โปรดให้มีการยกเสาหลักเมืองขึ้นก่อนที่จะสร้างพระบรมมหาราชวังเสียอีก การฝังเสาหลักเมืองนั้น เป็นกุศโลบายอันแยบคายของ พระมหากษัตริย์ ที่ประสงค์จะให้ศาลนี้เป็น เสาหลัก แห่งความมั่นคงเป็นปึกแผ่น และที่สำคัญนั้นการฝังเสาหลักเมือง ในแต่ละที่ย่อมต้องมีการฝัง ดวงเมือง ควบคู่ลงไปกับเสาด้วย และเมื่อหลักเมืองพร้อมดวงชะตาถูกบรรจุลง ศาลนี้ก็ต้องมีผู้เฝ้าที่ทรงประสิทธิภาพ คอยดูแลด้วย และที่ศาลหลักเมืองนี้ ก็มีเทพารักษ์คอยปกปักษ์พิทักษ์ศาล และ เมืองเราถึง 5 องค์ ประกอบไปด้วยพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระกาฬไชยศรี เจ้าเจตคุปต์ และ เจ้าหอกลอง แม้ว่าจะได้มี การทำพิธีปกปักษ์รักษาเมืองแล้ว แต่ตามความเชื่อโบราณนั้น ดวงเมืองย่อมมีอายุขัยในตัวเอง เพราะดวงชะตาของกรุงเทพฯ นั้นถูกเขียน 2 ครั้งภายในศตวรรษแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ เนื่องในสมัยรัชกาลที่ 1 นั้น จากในโหรได้มีการทำนายว่า จะมีลำดับกษัตริย์เพียง 150 ปี และ เมื่อมาถึงรัชกาลที่ 4 นั้น พระองค์โปรดให้มีการหล่อ พระสยามเทวาธิราช ขึ้นเพื่อปกปักษ์อารักษ์แผ่นดินให้ยิ่งขึ้นไป และ เมื่อปีที่ 150 ของ กรุงรัตนโกสินทร์มาถึง ประเทศไทย ก็มีอันต้องเปลี่ยนแปลงการปกครองจาก ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นประชาธิปไตย แต่ประเทศไทยก็ยังคงมีกษัตริย์ดำรงอยู่ ฉะนั้นดวงเมืองสำคัญ หรือไม่ ก็ต้องลองพิจารณากันดู มาจนถึงปัจจุบัน ศาลหลักเมืองก็ยังเป็นศูนย์รวมจิตใจชาวไทยมาตลอด ด้วยเชื่อกันว่าหากจะริเริ่มทำการใดแล้ว ถ้ามาอธิษฐานขอพรจากศาลหลักเมืองก็จะประสบความสำเร็จสมดังปรารถนา จากคุณ : ฉาวหวาว - [ 9 ม.ค. 46 15:02:46 ]

ความคิดเห็นที่ 7 จากซ้ายไปขวานะครับ   พระเสื้อเมือง,  พระทรงเมือง เจ้าพ่อหอกลอง,  พระกาฬไชยศรี,  เจ้าพ่อเจตคุปต์ แก้ไขเมื่อ 09 ม.ค. 46 15:22:51 จากคุณ : ฉาวหวาว - [ 9 ม.ค. 46 15:05:12 ]

ความคิดเห็นที่ 8 7) วัดพระศรีรัตนศาสดาราม : ขอพรจากพระแก้วมรกต ให้พรั่งพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ แก้ว แหวน เงิน ทอง มีใครจำเรื่องราวของสิ่งมหัศจรรย์ทั้ง 7 ของโลกได้หรือไม่ แล้วคุณจำได้ไหมว่า 1 ในสิ่งมหัศจรรย์ทั้ง 7 ของโลกนั้น มีวัดพระแก้วของไทยเราอยู่ด้วย ความมหัศจรรย์ที่ว่านั้นมหัศจรรย์อย่างไร เราจะขยายความกันในลำดับถัดไป คำเรียก วัดพระแก้วฯ ที่คนไทยเราเรียกกันติดปากนั้น เรียกตามพระแก้วมรกต ที่ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถนั่นเอง และ วัดพระแก้วนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ส่วนพระแก้วมรกตนี้ก็มีนามเต็มๆ ว่าพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร เรื่องที่ถกเถียงกันว่า วัดพระแก้วนี้ แท้จริงแล้วเป็นของ ไทยหรือลาว ก็ยังไม่มีคำยืนยันอันแน่ชัด อย่างไรก็ตาม การมี พระแก้วมรกต มาประดิษฐานอยู่ ณ ที่นี้ ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่วัดนี้ ถูกยกย่องให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ทั้ง 7 ของโลกไปด้วย วัดพระแก้วฯ นี้เป็นอารามหลวงที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าให้สร้างหลังปราบดาเภฏเป็น กษัตรย์ในราชวงศ์จักรีได้เพียงปีเดียว วัดหลวงนี้สร้างขึ้นทาง ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของ พระบรมมหาราชวัง และ ไม่อนุญาตให้มี พระสงฆ์จำวัด ตามแบบแผนเดิม ของพระราชวังเดิมในสมัยอยุธยา ทุกประการ ส่วนพระแก้วมรกตนั้น ตามพระราชพงศาวดารเขียนไว้ว่า รัชกาลที่ 1 ทรงอัญเชิญมาจากเวียงจันทร์ มาประดิษฐานที่พระอุโบสถ และ พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ จะต้องเสด็จมาเปลี่ยนเครื่องทรงปีละ 2 ครั้ง คือในหน้าร้อน และ หน้าฝนทุกปี แม้ว่าจะล่วงมากว่า 2 ศตวรรษแล้ว แต่อารามหลวงแห่งนี้ ยังคงเป็นวัดยอดนิยมของชาวไทย ที่มักจะมาสักการะกันเสมอๆ ร่วมไปถึงชาวต่างชาติ ที่แวะเวียนกันมาสักการะหรือชมความวิจิตรของพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พร้อมทั้งสถาปัตยกรรมอันวิจิตรบรรจง รอบตัววัดอย่างไม่ขาดสายอีกด้วย (วัดนี้ห้ามถ่ายภาพในพระอุโบสถ ก็เอารูปข้างนอกไปละกันครับ) จากคุณ : ฉาวหวาว - [ 9 ม.ค. 46 15:06:02 ]

ความคิดเห็นที่ 9 8) วัดระฆังโฆสิตาราม : สวดพระคาถาชินบัญชร ให้มีความเจริญรุ่งเรือง มีความก้าวหน้าในชีวิต ให้เหมือนเสียงระฆังที่ดังกังวาน วัดระฆังฯ ที่ว่านี้ มีอายุมากกว่า 200 ปี เดิมชื่อ วัด บางหว้าใหญ่ เป็นอารามหลวงที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสิน โปรดให้ พระอาจารย์ สี จาก วัด พนัญเชิง ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางพระไตรปิฎกมาสถิตและทรงสถาปนาให้เป็นสมเด็จพระสังฆราช และจัดให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้น ณ ที่วัดนี้เอง วัดบางหว้าใหญ่ถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็น วัด ระฆังโฆษิตาราม เมื่อพระราชวรินทร์ซึ่งเป็นพระยศเดิมของรัชกาลที่1 ในสมัยกรุงธนบุรี ซึ่งขณะนั้นได้สถาปนาราชวงค์จักรีและเปลี่ยนจากพระนครธนบุรีมาเป็นกรุงเทพฯแล้ว จู่จู่เกิดมีการขุดพบระฆังที่มีเสียงดังกังวาน จึงโปรดให้ขุดสระในบริเวณที่ขุดพบ ระฆังใบนั้น พร้อมทั้งสร้างหอพระไตรปิฎกไปในคราเดียวกัน หอไตรที่ว่านี้เป็นเรือน 3 หลังแฝดที่ภายในมีงานจิตรกรรมฝาผนัง และมีตู้เก็บพระไตรปิฎกขนาดใหญ่ เขียนลายรดน้ำที่งดงามมากถึง 2 ตู้ ความพิเศษของตู้นี้นอกจากจะเป็นที่เก็บพระไตรปิฎกแล้ว แต่ยังเป็นตู้ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อครั้งยังทรงพระยศเป็นเจ้าฟ้าฯทรงลงพระหัตถ์แกะลายร่วมกับครูช่างอยุธยาด้วยพระองค์เองเลยทีเดียว ใครที่นึกภาพหอไตรไม่ออกให้นึกถึงภาพยนตร์เรื่อง นางนาก ในฉากที่มี สมเด็จพระอาจารย์โตไว้ หรือจะให้ดีก็ลองมาทัศนาด้วยตนเองก็ได้ เพราะที่วัดนี้เปิดให้เข้าได้เสมอและสามารถถ่ายรูปได้ทั่วบริเวณวัดรวมทั้งที่หอไตรฯ ด้วย จากคุณ : ฉาวหวาว - [ 9 ม.ค. 46 15:07:05 ]

ความคิดเห็นที่ 10 9) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) : ขอพรพระให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข เหมือนอยู่ใต้ร่มโพธิ์ วัดโพธิ์ ถือว่าเป็นวัดลูกผสม ระหว่างวัฒนธรรมไทย – จีน เข้าด้วยกัน อย่างงดงาม ยักษ์วัดโพธิ์ นวดแผนโบราณ ยาลมวัดโพธิ์ ยาแก้ไอวัดโพธิ์ และภูมิปัญญาพื้นบ้าน อีกมากมาย ที่ออกมาจาก วัดที่ได้ชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัย สำหรับประชาชนแห่งแรก ของไทย วัดโพธิ์นั้น ถือได้ว่าเป็นศูนย์รวม ของความรู้ด้านการแพทย์โบราณ อีกทั้ง ยังมากด้วยตำรา, สถาปัตยกรรม, ประติมากรรม วรรณคดี ,ตำรายา ที่ถือได้ว่า มีประโยชน์มากมาย สำหรับชนรุ่นหลัง ภายในวิหาร พระนอน มีพระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ ซึ่งประดิษฐานอยู่ ที่ฝ่าพระบาท แต่ละข้างมีลวดลาย ประดับมุก เป็นภาพมงคล 108 ประการ นอกจากนี้ ภายในวัดยังประกอบไปด้วย หอพระไตรปิฎก, พระมหาเจดีย์ ประจำรัชกาล, พระอุโบสถ, พระวิหาร ทั้ง 4, พระระเบียง และศาลาภาพ ที่แสดงถึง ความรุ่งเรือง ของช่างประติมากรรม ในสมัยนั้น และที่ลืมไม่ได้ว่า วัดโพธิ์ คือสถานที่ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของ วรรณคดีไทย เรื่อง “ลิลิตตะเลงพ่าย” พระนิพนธ์ ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมสมเด็จ พระปรมานุชิตชิโนรส เมื่อครั้งทรงผนวช อยู่ที่วัดนี้ จากคุณ : ฉาวหวาว - [ 9 ม.ค. 46 15:08:34 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ถ้าไปถึงเย็นๆ จะได้พบพระทำวัตรในพระอุโบสถพอดีเลยครับ จากคุณ : ฉาวหวาว - [ 9 ม.ค. 46 15:10:13 ]

ความคิดเห็นที่ 12 แถม) วัดอรุณราชวราราม วัด แจ้ง นั้น ที่จริงสร้างมาตั้งแต่ครั้ง กรุงศรีอยุธยา แต่เดิมนั้นชื่อ วัด มะกอก ซึ่งเป็นชื่อของ ตำบล มะกอก ในสมัยนั้น เมื่อมาถึงยุคปลาย กรุงศรีอยุธยา พระบาทสมเด็จ พระเจ้าตากสิน ซึ่งยังทรงพระยศ เป็นพระยาตากในสมัยนั้น ทรงกรีทาทัพมาตามลำน้ำเจ้าพระยานั้น พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็น วัด มะกอก นี้ เมื่อตอนฟ้าแจ้ง(ตอนเช้า) พอดี จึงแวะประทับแรม และ ขึ้นไปสักการะ พระปรางค์ก่อนจะเคลื่อนทัพต่อไป ต่อมา หลังจากนั้นไม่นาน ก็โปรดฯ ให้บูรณะปฏิสังขรณ์ วัดแล้ว เปลี่ยนชื่อว่า วัด แจ้ง ตามช่วงเวลาที่ พระองค์เสด็จขึ้นบก เพื่อ ไปสักการะพระปรางค์ และ เมื่อพระยาตาก สถาปนา องค์เป็น พระเจ้าแผ่นดิน พร้อมสร้างราชธานีนี้ใหม่ ที่ฝั่งธนบุรีแล้ว วัดแจ้ง จึงกลายเป็น วิหารหลวงในพระบรมหาราชวัง (พระราชวังเดิม) ไปโดยปริยาย ด้วยเหตุที่ ยุคธนบุรีมีอายุสั้นมาก ดังนั้นเมื่อลุเข้าสู่ ยุครัตนโกสินทร์ และมีการข้ามฝั่งจาก ธนบุรี มาตั้งพระนครใหม่ ที่บางกอก วัด แจ้ง จึงกลายเป็นวัดหลวง ที่เริ่มมีพระเข้ามาจำวัด มาจนถึงปัจจุบัน เมื่อเข้าสู่ รัชสมัยของพระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมากมาย ที่ยังไม่แล้วเสร็จ ต่อจากพระราชบิดา แต่ที่ทำมากที่สุด จนวัดนี้กลายมาเป็น วัดประจำพระองค์ไป เนื่องจากพระองค์ ทรงสร้าง พระอุโบสถ และ พระวิหารต่อจนเสร็จ อีกทั้งยังทำแบบ พระพุทธรูปด้วยฝีพระหัตถ์พร้อมทั้งหล่อพระพทธรูปนี้ขึ้น ไปประดิษฐานเป็น พระประธานในอุโบสถด้วยองค์เอง จากนั้นจึง พระราชทานนามวัดนี้เสียใหม่ในปี พ.ศ.2363 ว่า วัด อรุณราชวราราม และแม้ว่าวัดนี้ จะไม่ใช่วัดประจำราชวงศ์ แต่ พระมหากษัตริย์ใน ราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ ก็มิได้ทิ้งร้าง หากแต่ยังโปรดให้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ อยู่อย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ที่พระเจ้าอยู่หัวในราชวงศ์จักรี จะต้องเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค ไปสักการะพระปรางค์ใน วันสำคัญเสมอมา จากคุณ : ฉาวหวาว - [ 9 ม.ค. 46 15:10:45 ]

ความคิดเห็นที่ 13 แถม) วัดกัลยาณมิตร เขตธนบุรี มีโบราณสถานทางประวัติศาสตร์หลายยุคหลายสมัยที่ควรค่าแก่การศึกษา และท่องเที่ยวชมเป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้น คือวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร พระอารามหลวง ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๓๖๘ และสร้างเสร็จเมื่อปีพ.ศ.๒๓๗๑ ถวายเป็นพระอารามหลวงใน สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ มีพระพุทธไตรรัตนนายก (ซำปอกง) เป็นถาวรวัตถุที่สำคัญและเป็นที่สักการะบูชาของประชาชน ซึ่งประวัติความเป็นมาของพระอารามหลวงนี้ เริ่มจากเจ้าพระยานิกรบดินทร (โต กัลยาณมิตร) ได้อุทิศบ้านและซื้อที่ดินย่านหมู่บ้านกุฏีจีน สร้างวัดขึ้นในปี 2368 เมื่อ แรกสร้างรัชกาลที่ 3 โปรดเกล้า ฯ สร้างพระวิหารหลวงและพระประธานในพระวิหาร ต่อมา ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงขนานนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า "พระพุทธไตรรัตนนายก" จากคุณ : ฉาวหวาว - [ 9 ม.ค. 46 15:11:16 ]

ความคิดเห็นที่ 14 แถม) ศาลเจ้าเกียงอันเกง (ศาลเจ้าแม่กวนอิม) เดิมเป็นที่ตั้งของศาลเจ้า 2 หลังติดกันคือ ศาลเจ้าโจวซือกง และศาลเจ้ากวนอู สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โดยชาวจีนที่ตามเสด็จพระองค์ท่านมาตั้งราชธานีแห่งใหม่ ต่อมาในสมันรัชกาลที่ 1 ได้ย้ายพระนครไปอยู่ฝั่งตะวันออก ชาวจีนเหล่านี้จึงอพยพข้ามฟากไปอยู่รวมกับชาวจีนที่อยู่ในย่านตลาดน้อยสำเพ็ง ศาลเจ้าทั้งสองจึงถูกทิ้งร้าง จนกระทั่งในสมันรัชกาลที่ 3 ชาวจีนฮกเกี้ยนได้รื้อศาลเจ้าทั้งสองแล้วสร้างขึ้นใหม่เป็นหลังเดียว พร้อมกับอัญเชิญพระรูปเจ้าแม่กวนอิมมาประดิษฐานแทน ส่วนพระรูปของเทพสององค์เดิมนั้น ไม่ปรากฏว่าถูกย้ายไปประดิษฐาน ณ ที่ใด (พี่ที่ศูนย์เขาบอกว่า เจ้าแม่กวนอิมที่นี่ เป็นองค์เก่าแก่ องค์เดียวที่มีหลักฐานว่าได้ถูกอัญเชิญมาจากเมืองจีน เขาว่าศักดิ์สิทธิ์มากด้วย) จากคุณ : ฉาวหวาว - [ 9 ม.ค. 46 15:13:01 ]

ความคิดเห็นที่ 15 จากวัดโพธิ์ ผมเลยไปสักการะเจ้าแม่กวนอิม แต่เขาปิดศาสเจ้าไปซะแ้ล้วครับ เลยได้เจอกับสองท่านนี้ จากคุณ : ฉาวหวาว - [ 9 ม.ค. 46 15:14:54 ]

ความคิดเห็นที่ 16 มองขึ้นไปข้างบนก็พบว่าศาลเจ้าที่นี่ทำด้วยไม้แกะสลักที่งดงามไม่น้อยเลยทีเดียว จากคุณ : ฉาวหวาว - [ 9 ม.ค. 46 15:16:44 ]

ความคิดเห็นที่ 17 แถม) วัดราชนัดดารามวรวิหาร วัดราชนัดดารามวรวิหาร อยู่ที่ถนนมหาไชย สร้างเมื่อพ.ศ. 2389 โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่พระเจ้า-หลานเธอ พระองค์ เจ้าโสมนัสวัฒนาวดีโดยในการก่อสร้างครั้งนี้ มีเจ้าพระยา-ยมราชเป็นแม่กอง-ออกแบบ และจัด หาที่ เจ้าพระยาศรีพิพัฒน์ เป็นแม่กองสร้างโลหะปราสาท ที่วัดนี้แปลกกว่าวัดอื่น คือโปรดฯ ให้สร้าง ธรรมเจดีย์ปราสาทแทนการสร้างพระเจดีย์ (นับเป็นแห่งที่ 3 ของโลก) มีความสูง 36 เมตร ประกอบ ด้วยเจดีย์ ล้อมรอบ 37 องค์ เพื่อให้เท่ากับ "โพธิปักขียธรรม 37 ประการ" ในปัจจุบันนี้โลหะปราสาท แห่งนี้ เหลืออยู่เพียงแห่งเดียวในโลก เพราะโลหะปราสาทที่ประเทศอินเดีย และศรีลังกาได้ปรักหักพังไป หมดแล้ว จากคุณ : ฉาวหวาว - [ 9 ม.ค. 46 15:17:13 ]

ความคิดเห็นที่ 18 นี่เป็นแผนที่เส้นทางที่ได้จากศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวกรุงเทพฯครับ ผมไปวัดที่ 1 - 9 ส่วน 10 - 13 พี่เขาแถมมาประกอบการตัดสินใจครับ 1-2 เดินไปได้ 2-3 นั่งรถนิดนึง 3-4 นั่งรถอีกหน่อย จากนั้น 4-9 ก็เดินมาราธอนครับ 8 ข้ามเรือที่ท่าช้าง 10 ข้ามเรือที่ท่าเตียน 11-12 ข้ามเรือที่ท่าราชินีครับ 1) วัดชนะสงคราม 2) วัดบวรนิเวศวิหาร 3) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร 4) วัดสุทัศน์เทพวราราม 5) ศาลเจ้าพ่อเสือ 6) ศาลหลักเมือง 7) วัดพระศรีรัตนศาสดาราม 8) วัดระฆังโฆสิตาราม 9) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม 10) วัดอรุณราชวราราม 11) วัดกัลยาณมิตร 12) ศาลเจ้าแม่กวนอิม 13) วัดราชนัดดารามวรวิหาร ข้อมูลจาก กระทูเก่า และ sabuy.com ครับ มีข้อใดผิดพลาดต้องขออภัยด้วยครับ ขอมูลบางอย่างไม่ตรงกันก็มี ผมเลยเรียบเรียงตามความเข้าใจของผมเองครับ ใครมีข้อมูลของพระประธานในแต่ละวัดกรุณามาช่วยให้ความรู้ด้วยนะครับ สวัสดีปีใหม่ครับ..... จากคุณ : ฉาวหวาว - [ 9 ม.ค. 46 15:18:43 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ยอดเยี่ยมเลยค่ะคุณฉาวหวาว ข้อมูลแน่นปึ้ก ขออนุญาตเซฟนะคะ จากคุณ : อุบลวัลย์ - [ 9 ม.ค. 46 15:27:44 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เยี่ยมคัรบ ข้อมูลละเอียดมากคัรบ จากคุณ : COOL_PIX - [ 9 ม.ค. 46 16:14:20 ]

ความคิดเห็นที่ 21 สาธุ จากคุณ : debby - [ 9 ม.ค. 46 17:09:46 ]

ความคิดเห็นที่ 22 สาธุ สาธุ แก้ไขเมื่อ 09 ม.ค. 46 18:19:25 จากคุณ : foxII - [ 9 ม.ค. 46 18:02:37 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เมื่อวันที่ 1 มกราคม ก็ไปกับเพื่อนมาค่ะ พาแม่ไปด้วย สามคน ไปทำบุญเก้าวัดเหมือนกัน ตอนแรกก็ตักบาตรต้อนรับปีใหม่ก่อนแล้วก็นั่งรถเมล์ไปสนามหลวง แต่ก็ทำบุญได้แค่ วัดที่ 1 วัดพระแก้ว วัดที่ 2 ศาลหลักเมือง วัดที่ 9 ภูเขาทอง ก้าวกระโดดค่ะ เหนื่อยคนเยอะ เลยกลายเป็นทำบุญ 1,2,9 ก็ถือว่าทำครบแล้วกันนะค่ะ เนี้ยขนาดเห็นในรูปที่วัดพระแก้วที่คุณฉาวหวาวถ่ายมา ยังอิจฉาเลยค่ะ วันที่ไปเข้าฟรี นักท่องเที่ยวเยอะมาก เหนื่อย สนามหลวงมีงาน เฮ้อ แต่ก็ได้บุญ ไหว้ได้แค่ 1,2,9 วัด ก็กลับ ตั้งบ่ายสามแน่ะค่ะ กินข้าวแค่มื้อเดียว ตอนห้าโมงกว่า สงสัยค่ะว่าทำไมของคุณฉาวหวาว ทำไมไม่มีภูเขาทอง หรือว่ามี แต่เรียกกันคนละแบบก็ขอโทษทีนะค่ะ จากคุณ : pookpause - [ 9 ม.ค. 46 20:20:10 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เยี่ยมทั้งภาพและข้อมูลครับ จากคุณ : xit - [ 9 ม.ค. 46 21:09:55 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณมากครับ ทั้งภาพสวย ข้อมูลดีให้ความรู้ และพรที่เป็นสิริมงคล ครับผม จากคุณ : Libellule - [ 10 ม.ค. 46 02:23:03 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เยี่ยมครับ เยี่ยมยอด....... ได้ความรู้แยะและได้เป็นบุญเป็นกุศลด้วย ถ้ามีวัดอื่นๆในคราวหน้าอย่าลืมนำมานำเสนอในนี้อีกนะครับ จากคุณ : Prakong - [ 10 ม.ค. 46 07:38:09 A:203.155.234.143 X: ]

ความคิดเห็นที่ 27 อือฮือ ข้อมูลแน่นปึ๊ก ภาพก็สวยครับ จากคุณ : crazy_nik - [ 10 ม.ค. 46 08:12:45 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ข้อมูลเยี่ยมมากครับ ส่วนภาพหนะรูป2มุมมองสะดุดผมกึ๊กเลยครับ เยี่ยมมาก จากคุณ : เวลาในขวดเหล้า - [ 10 ม.ค. 46 12:46:48 A:208.147.7.64 X: ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณครับ ถ้ามีโอกาสก็ขอเชิญบ้างนะครับ โอกาสไหนก็ไปไหว้ได้ครับ ไปเจอสถานที่เก่าๆสวยๆก็อดอยากรู้ประวัติของสถานที่ต่างๆไม่ได้ พอค้นดูยิ่งน่าสนใจ เลยเอามาแบ่งกันอ่านครับ แต่ที่ยังอยากรู้อยู่ก็คือ ประวัติของพระประธานในแต่ละวัดครับ ประวัติศาสตร์นี่สนุกดีนะครับ ยิ่งอ่านยิ่งมัน ถ้าอ่านแค่ที่เราเรียนมา ก็จะนึกว่าบ้านเราเป็นพระเอก ไม่เคยไปรุกรานใคร แต่จริงๆแล้ว เราก็ใช่ย่อยนะครับ เคยไปเผาเมือง ขนสมบัติ ขนพระพุทธรูป ต้อนเชลยจากเมืองลาวมาเหมือนกัน แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของการสงครามล่ะครับ แต่ที่แน่ๆ ยิ่งศึกษาประวัติศาสตร์ก็ยิ่งรักและหวงแหนชาติครับ ตอบคุณ pookpause ครับ เจดีย์ภูเขาทอง อยู่ในวัดสระเกศฯครับ (คห3) ส่วนรูปที่ถ่ายมา ถ้าได้ขึ้นไปนมัสการ พระบรมสารีริกธาตุ บนยอดภูเขาทอง ก็จะได้เห็นครับ จากคุณ : ฉาวหวาว - [ 10 ม.ค. 46 14:17:18 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ไปมาเหมือนกันค่ะ วันที่ 1 คนเยอะมากๆ กลับมาอ่านเจออีกทีแบบนี้นี่นับถือจริงๆเลยค่ะ อุตส่าห์เอามาฝากกัน ขอบคุณนะคะ ^_^ จากคุณ : แมวน้อยร้อยหมื่น - [ 10 ม.ค. 46 19:29:45 A:202.44.8.98 X:202.44.10.156 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ดีจังค่ะ ขอบคุณมากๆ จากคุณ : ครูนางฟ้า - [ วันสิ้นปี 21:24:56 ]

ความคิดเห็นที่ 32 อนุโมทนาสาธุค่ะ จากคุณ : Really just jaywalking - [ 23 ก.ค. 48 10:10:44 A:203.172.88.204 X: TicketID:102416 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ได้ข้อมุลเพียบเลยครับ กำลังอยากจะไปไหว้พระ 9 วัดพอดีเลย จากคุณ : Nutty Professor - [ 31 ส.ค. 48 19:31:15 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบคุณค่ะ จากคุณ : เดียร์ - [ 18 ธ.ค. 49 00:31:27 A:10.100.255.27 X:221.128.86.220 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : tobepink - [ 21 ธ.ค. 51 13:49:17 ]