ภาพยนตร์บันเทิง

Guest Talk

 
คุยสบายๆ กับนักออกแบบท่าเต้น และนักวิจารณ์ฝีปากดี : สุธีศักดิ์ ภักดีเทวา


หลายคนรู้จักผู้ชายคนนี้ สุธีศักดิ์ ภักดีเทวา หรือ "พี่โจ้" ในหลากหลายบทบาทของการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นงานประจำที่ทำมานานถึง 28 ปีคือการเป็นอาจารย์สอนร้องเพลงประสานเสียง ที่เซ็นต์จอห์น หรือการเป็นผู้ออกแบบท่าเต้นแถวหน้าของเมืองไทยที่มีอายุงานยาวนานกว่า 20 ปี มีผลงานละครเพลงย้อนยุคของค่ายเอ็กแซกท์หลายต่อหลายเรื่อง อาทิ "บัลลังก์เมฆ", "บางกอก 2485", "ทวิภพ", "ฟ้าจรดทราย", "แม่นาก" , "ข้างหลังภาพ", และล่าสุด "กินรีสีรุ้ง" ที่กำลังจะจัดแสดงเร็วๆ นี้

นอกจากนี้เขายังเป็นคอมเมนเตเตอร์ 1 ใน 3 ของรายการ "เดอะสตาร์" ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้ดารา จนทำให้ผู้ชมหรือแฟนคลับของผู้เข้าแข่งขันทั้งชื่นชอบและต่อว่าในการวิพากษ์วิจารณ์เดอะสตาร์คนแล้วคนเล่า วันนี้บนเนื้อที่ GUEST TALK เลยไม่พลาดที่จะพูดคุยกับผู้ชายคนนี้แบบสบายๆ ในเรื่องของความคิด มุมมอง และหน้าที่การงาน...

วัตถุดิบในการออกแบบท่าเต้น
    "พี่ได้จากเพลง เวลาฟังเพลงแล้วพี่จะปิ๊งทันที พี่จะเกิดแรงบันดาลใจในการคิด แล้วพี่จะไม่ค่อยก๊อบปี้ เพราะพี่ก๊อบไม่เป็น แล้วปัญหาการก๊อบปี้มันยาก ถ้าก๊อบปี้มันเสียเวลากว่าเราคิดท่าเอง เพราะเราต้องดูสเต็ป ก้าวที่ 1 จังหวะที่ 1 ซึ่งไม่ใช่พี่ พี่เป็นคนทำงานเร็ว ในผู้ออกแบบท่าเต้นทั้งหมด พี่ถูกจัดให้อยู่ในพวกทำงานเร็ว สั่งมาปุ๊บจะได้เลยถ้าพี่เข้าใจและอยากทำ เพราะฉะนั้นเพลงมีอิทธิพลกับพี่กับแพตเทิร์น พี่วางไว้ 2 อย่าง พี่ฟังเพลงแล้วเกิดแรงบันดาลใจ กับพี่จะวางมุมของการเต้น เฉียง กลาง วงกลม  ตรง"

เคยมีตันหรือคิดท่าซ้ำกันบ้างไหม
    "เท่าที่ทำมาไม่ค่อยซ้ำ เพราะซ้ำแล้วเราเบื่อ คือท่าเต้นในท่าเดียวกันถ้าเราเปลี่ยนมุมหรือเปลี่ยนองศามันจะกลายเป็นอีกท่าหนึ่ง สเต็ปของการเต้นก็มี มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่เต้นท่านี้อีก มันคงต้องเต้นแต่วิธีการเต้นแบบนี้จะวางไว้ตรงไหนถึงจะสวย หมายถึงมันต้องเปลี่ยนรสชาติเหมือนอาหาร วันนี้หวานพรุ่งนี้ต้องเค็ม หรือบางทีคิดมากๆ เข้าก็มีตันบ้าง เราก็นิ่ง และมองกลับไปในสิ่งที่ง่ายที่สุดแล้วก็คิดออก เพราะบางทีเราคิดยากเกินไป พอเราทำงานเยอะขึ้น จะมีกรอบว่าอันนี้ไม่ได้ พี่จะกลับไปหาว่าในที่สุดคนดูต้องการอะไร คนดูหรือเราต้องการ เราไปสร้างตัวเองให้ดูไอ้นี้ก็ไม่ได้ ไอ้นั่นเคยทำแล้ว ทั้งที่คนดูไม่ได้อะไร แต่อะไรที่สวยเข้ากับละครทำไปเถอะ

เพราะบางทีเราทำแทบตายคนก็ไม่เข้าใจ พี่ก็จะจบความรู้สึก กลับไปเริ่มใหม่ ถ้ามันตันจริงๆ เราต้องกลับไปหาจุดบกพร่องในตัวเราว่าเราคิดอะไรที่ทำให้เกิดกำแพงในการทำงานหรือเปล่า เราจะคิดถึงใจของคนดู งานของพี่สิ่งที่พี่ทำ พี่จะไม่ดูถูกคนดูเด็ดขาด งานคืองานศิลปะมันบอกไม่ได้หรอกอะไรสวยหรือไม่สวย มีการศึกษาหรือไม่มีการศึกษาไม่รู้ แต่ถ้าเขาดูแล้วเขาชอบเขาชื่นชมก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกดี เพราะฉะนั้นงานพี่คนดูจะเป็นหลัก คนดูต้องมีความสุข คนดูต้องชอบละครน่ารักจังเลย ไม่ใช่ออกไปแล้วอะไรไม่รู้เรื่องเลย เอางี้งานของพี่ต้องสวยงาม เทคนิคมีได้แต่ต้องเป็นเทคนิคที่คนดูดูแล้วต้องอึ้ง ประมาณว่าหมุนแล้วผ้าคลุมทั้งเวที"

นอกจากออกแบบท่าเต้นให้กับละครเวที ยังทำโชว์เต้นงานใหญ่ๆ เช่น งานเปิดสยามพารากอน
    "แหม...งานเล็กๆ พี่ก็อยากทำแต่เขาไม่จ้าง เขาบอกฝีมืออย่างพี่ต้องเฉพาะงานใหญ่แต่พี่ไม่ได้คิดอย่างนั้นจริงๆ แต่อันหนึ่งที่พี่ปฏิเสธและไม่ชอบคืองานโฆษณาเพราะพี่ทนเวลาไม่ได้ พี่ทนเวลาที่เต้นไปหนึ่งท่าแล้วหยุดอีกครึ่งชั่วโมงเพื่อจัดไฟแต่งหน้าแล้วมาเต้นใหม่พี่ทนไม่ได้ แล้วมุมมองของตากล้องกับของเรามันคนละมุมกัน พี่จะเสียเวลาทำไม พี่ไม่ชอบงานโฆษณา ก็เลยไม่มีเพราะไม่ทำ คือถ้าเป็นงานออกแบบท่าเต้นที่เป็นมิวสิกเคิลก็คงเป็นพี่ ส่วนงานอีเว้นต์หรืองานโฆษณาก็จะมีเจ้าประจำทำแยกกันหมด ใครไปทางไหนก็ไปทางนั้น ของลูกทุ่งก็มีแยกกันไป"

เพราะคนมองเราไฮโซ
    "คนไปมองอย่างนั้นแต่พี่มีความติดดินนะ แต่เผอิญเพื่อนๆ ที่เรารู้จักอยู่ในกลุ่มนี้เลยกลายเป็นดูเราหรูหรา แต่ถ้าคบกันจริงๆ พี่เป็นคนตลกนะ สนุก ไม่ได้ถือตัว แต่ถ้าไม่รู้จักจะไม่พูดก่อน เพราะเราแก่และกลัวหน้าแตก แล้วพี่รักระบบนับถือรุ่นมากกว่า ใครจะรวยหรือใครไฮโซไม่สนเลยนะ ถ้าไม่นับถือรุ่นพี่จะไม่ค่อยอยากคุยด้วย"

นักเต้นที่ดีต้องเป็นยังไง
    "ต้องมีวินัยและต้องดูแลตัวเอง คือนักเต้นบางคนจะมีช่วงที่กำลังจะเก่ง ซึ่งบางทีมันจะหลงจะเพ้อ เลยต้องมีระเบียบวินัยต้องมีความเคร่งครัด และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในตัวมนุษย์คือกล้ามเนื้อ เพราะมันไม่เคยจำ สังเกตไหมเวลาที่เราออกกำลังกายถ้าออกไม่สม่ำเสมอจะปวดกล้ามเนื้อ เหมือนนักเต้นถ้าคุณไม่เต้นทุกวันจะยกขาไม่ได้ เพราะกล้ามเนื้อมันตึง เลยต้องมีระเบียบวินัยจะขี้เกียจไม่ได้ และต้องรักษารูปร่าง โดยเฉพาะผู้หญิงสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็น ต้นขา สะโพก และมีอายุสั้น 30 กว่าก็ต้องเลิกทำเพราะนักเต้นแก่ๆ เขาก็ไม่ดูกัน"

ไม่เพียงแต่นักเต้นแต่คนออกแบบท่าเต้นอย่างพี่โจ้ก็ต้องดูแลตัวเองด้วย ถึงอายุจะขึ้นเลข 5 แต่ยังดูดีมาก
    "พี่รักการมีรูปร่างที่ดี เพราะสมัยเด็กๆ พี่หน้าตาไม่ดี เลยอยากหน้าตาดี แล้วเวลาคนชมว่าหน้าตาใช้ได้ดูโอเค.นะจะรู้สึกภูมิใจ จริงๆ เราก็อ้วนได้แหละเพราะถือว่าเราเป็นครู แต่มันเทอะทะมันอึดอัด และเราต้องเต้นให้เขาดูด้วย คือแดนเซอร์สิ่งหนึ่งที่จะวัดจากนักออกแบบท่าเต้น คือเทคนิคของคุณจะเก่งเท่าเขามั้ย แดนเซอร์บางคนมันเก่งและอีโก้ เวลาเราสอนเขาจะถามก่อนเลยว่าเต้นจากตรงไหนมุมไหนขาไหนเป็นหลัก ถ้าเราตอบโจทย์ได้หมดและทำได้ทุกอย่างแม้กระทั่งสาธิตให้เขาดู ถ้าเขาเชื่อนะเขาจะยอมเราเลย"

ฝันอยากเปิดโรงเรียนการแสดง
"พี่อยากเปิดโรงเรียนการแสดงที่มีดานซ์ด้วย ร้องด้วย และแอ็กติ้งด้วยเพื่อให้เขามีอาชีพไปเป็นนักแสดงละครเวที อยากสร้างอะไรที่เป็นอาชีพ คือโรงเรียนสอนอย่างนี้ในบ้านเรามีเยอะแต่เรียนจบแล้วไปไหนเขาต้องหางานเอง แต่นี่เรามีงานให้ เพราะมีโรงละครเวทีที่สามารถรองรับและยึดเป็นอาชีพได้ เป็นโปรเจ็กต์ที่ใฝ่ฝันอยากทำ คิดว่าภายในปีนี้ควรเริ่มได้แล้ว แต่เราก็ไมรู้สถานการณ์"

    กับบทบาทคอมเมนเตเตอร์ในรายการ "เดอะสตาร์"
    "เชื่อมั้ย พี่เป็นอาจารย์สอนที่เซ็นต์ จอห์นมา 20 กว่าปีไม่เคยมีคนรู้จัก พอมาทำ "เดอะสตาร์" โอ้โฮ...ดังพลุแตกระเบิด ไปไหนคนก็รู้จัก ตอนประกวด "เดอะสตาร์" รุ่นแรกไม่เท่าไหร่เขาแค่คุ้นหน้า แต่พอรุ่นที่สองคนเริ่มรู้จัก พอรุ่นที่สามเป็นต้นไปแม่ค้ามาขอ  กอด เราตกใจ คิดว่าเป็นแค่กรรมการคงไม่มีทางดังหรอก แต่พี่เพิ่งรู้ว่า "เดอะสตาร์" คนเลือกกรรมการเป็นหลักเหมือนกัน เลยรู้สึกดีใจ
    แต่คนที่ไม่ชอบก็มีหาว่าเราอวยเกินไปจนน่าหมั่นไส้ แต่พี่ถือว่าทำตามหน้าที่ ต้องเข้าใจว่าเวลาที่คุณเป็นคนอยู่บนเวทีแล้วถูกด่ายับขนาดนั้นกำลังใจมันเสีย ถ้ามีใครสักคนที่เข้าใจ เราก็ขอเป็นคนนั้นแล้วกัน แม้คนจะด่าแต่ถ้าเราทำให้เด็กคนนั้นสบายใจก็ไม่ต้องแคร์ พี่ถูกด่าเยอะนะ ประมาณว่ามีคนอย่างพี่ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้เหมือนแฟนคลับคนหนึ่ง ไม่เห็นต้องมีก็ได้เพราะให้ความรู้ก็ไม่ให้ ดีแต่หาคำสละสลวยมาชม คำพวกนี้เราก็ไม่ได้ตั้งใจจะคิดหรอกแต่มันมาจากตัวของเด็กเอง พี่ถือว่าวันหนึ่งคนจะจมน้ำแต่มีเชือกดึงขึ้นมาได้ ก็ช่วยกันไปก็ไม่เห็นเป็นอะไร"

เวลาเด็กโดนพี่ม้า - อรนภา ดุหรือว่าแรงๆ พี่โจ้ก็จะคอยให้กำลังใจ เป็นเพราะสงสารเด็กจริงๆ หรือเป็นคอนเซ็ปต์ของทางรายการ
    "ทางรายการขอมาอย่างนี้ พี่ม้าขอให้เป็นเหมือนชาวบ้านที่ไม่มีเหตุผลอยากจะชอบก็ชอบเพราะคนมันบ้าโดยไม่มีเหตุผล พี่เพชรขอให้เป็นโปรดิวเซอร์ที่ขายของได้ ส่วนของพี่ให้คาแรกเตอร์ของความเป็นครู ถ้าสอนได้ก็สอน ปลอบได้ก็ปลอบ อะไรไม่ถูกก็ชี้แนะ เลยเป็น 3 คาแรกเตอร์แต่บางทีพี่ก็สงสารเด็กจริงๆ คือกรรมการ 3 คน เคยมีคนถามว่ามีสคริปต์หรือเปล่า เราบอกมีสคริปต์ไม่ได้เพราะเราพูดกันเร็ว และมีเวลาน้อย มันต้องออกมาจากความรู้สึกจริงๆ เพราะการมองไม่เหมือนกัน และถ้าเด็กไม่ดีจริงก็ด่าเหมือนกันหมด 3 คน"

มาตรฐานในการตัดสินสำหรับคนที่จะได้เป็น "เดอะสตาร์"
    "คนที่เป็น "เดอะสตาร์" มันจะฉายแสงเลยนะ มันจะมีอะไรที่คนอื่นไม่มี จะมีอะไรเด่นออกมา ชัดๆ และมีคาแรกเตอร์ที่แตกต่างกัน อย่าง แก้ม สวยก็ไม่สวยเลยนะ แต่งตัวก็แย่ แต่พอได้ฟังพลังเสียงร้อง ทำเอาเราสามคนอึ้งไปเลย

แต่เดอะสตาร์มาตรฐานจะสูงทุกปีเลยนะไม่ได้กะโหลกกะลา ตอนนี้นอกจากร้องเพลงได้ ต้องเอ็นเตอร์เทนได้ เล่นละครได้ เป็นพิธีกรได้ คือทำได้มากกว่านักร้อง เดอะสตาร์ไม่ได้ปั้นให้คนเป็นนักร้อง แต่พื้นฐานของการร้องเพลงมีค่อนข้างสูง เดอะสตาร์มาตรฐานสูงเมื่อเทียบกับรายการเรียลิตี้อื่นๆ และเดอะสตาร์ถ้าไม่เรียนไม่ฝึกซ้อมไม่ฝึกฝนตกรอบเลย และเป็นรายการเดียวที่เขาไม่เปลี่ยนกรรมการ ตอนนี้เขาบอกเรตติ้งมันสูง โหวตเป็นล้านโหวตต่ออาทิตย์"
เก่งอย่างเดียวไม่พอต้องพัฒนาตัวเอง

"บี้ - สุกฤษฏิ์ เป็นคนทำให้เห็นว่าคนเราพัฒนาได้ คือเก่งอย่างเดียวไม่พอ บี้เป็นตัวอย่างของคนที่มีความตั้งใจและพัฒนา เขาไม่ใช่ได้ที่หนึ่งนะ อาร์ได้ แต่สิ่งที่บี้ดังเพราะเขาพัฒนาและไม่หยุดไง คือบางคนพอจบการแข่งขันก็จบก็หยุด แต่อันนี้ไม่หยุด เมื่อไม่หยุดประชาชนก็ดูต่อก็ชอบต่อ คุณไม่หยุดในสิ่งที่คุณตั้งใจและหวังไว้ ไม่ใช่แค่จบรายการแล้วจบกัน บี้ไม่หยุดทำให้เด็กรุ่นใหม่พัฒนาและอยากเข้ามา"

มองยังไงกับศิลปินรุ่นใหม่ที่ก้าวเข้ามา ซึ่งบางคนก็มาเร็วไปเร็ว แต่จะทำตัวยังไงให้อยู่ได้นาน
    "สิ่งหนึ่งในการยอมรับคือเรื่องรุ่นเป็นเรื่องสำคัญ ต้องเคารพรุ่นเป็นเรื่องหลักเลย บวกกับความสามารถ เมื่อคุณเข้ามาอยู่ในวงการแล้วไม่ต้องกลัวหรอก คุณโชคดีแล้ว แต่การจะอยู่ได้ตลอดไปมันยาก เพราะคุณต้องทำด้วยความสามารถและอยู่ที่การวางตัว การอ่อนน้อมถ่อมตน การมีสัมมาคารวะ การเคารพในรุ่นสำคัญ การซื่อสัตย์ต่อหน้าที่เป็นเรื่องที่เด็กสมัยใหม่ต้องทำไม่อย่างนั้นคุณอยู่ไม่ได้

เรื่องหน้าตามันซ่อมแซมทำศัลยกรรมได้สวยหล่อเหมือนกันหมด แต่ความสามารถ การมีวินัย การซื่อสัตย์ต่อหน้าที่อาชีพและการไม่หลงระเริงในแสงสีเสียงสำคัญ เมื่อดังแล้วอันหนึ่งต้องมีคือความอดทนต่อประชาชน เพราะเขารักคุณ อย่าไปยี้ใส่เขา เพราะเวลาที่คุณเป็นคนของประชาชน เขาเลือกคุณมา คุณก็ต้องเคารพในการเลือกของเขา"

ข้อแนะนำสำหรับคนที่อยากล่าฝันของตัวเองให้เป็นจริง
    "ถ้ามั่นใจการตามหาฝันไม่ผิดที่จะเข้ามา แต่ในความฝันต้องมีความจริง ต้องมีการตื่นจากฝันมาเจอกับความจริง ถ้าฝันดี แล้วตื่นขึ้นมาของจริงมันเป็นความฝันที่เราหวังไว้ก็ตื่นเถอะเพื่อจะเจอฝันที่ประสบความสำเร็จ อย่าฝันลมๆ แล้งๆ คิดว่าทุกอย่างสวยงามสวยหรู ในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาด้วยความง่าย ทุกอย่างได้มาด้วยความยากลำบาก เมื่อเราตามล่าความฝันขอให้มี ความตั้งใจจริง พัฒนาจริง เรียนรู้จริง สู้จริง อดทนจริง สามารถก้าวไปสู่ความฝันของตัวเอง เมื่อฝันไปถึงตรงนั้นอาจจะไปสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็อย่าท้อ บางคนคิดว่าแค่นี้แล้วท้อ แต่ขอให้คิดว่าเมื่อเรามาถึงความฝันจนถึงจุดนี้อย่างน้อยเราได้ทำ จะไปถึงจุดสูงสุดหรือเปล่าไม่ทราบ แต่เราเก็บตรงนั้นเป็นประสบการณ์ขอให้คิดว่าอย่างน้อยเราก็ชนะ และภูมิใจที่เราฝันได้ถึงตรงนั้นก็เพียงพอ"



:: อ่านต่อในฉบับ ::

:: กลับไปหน้าหลัก ::