ภาพยนตร์บันเทิง

'ผุสชา โทณะวณิก' คนทีวีคุณภาพ

 
ถ้าจะเอ่ยถึงพิธีกรมีชื่อของบ้านเรา ต้องมีชื่อของ "พี่ตุ้ม" ผุสชา โทณะวณิก ติดอยู่ในอันดับต้นๆ ด้วยจุดเด่นในเรื่องของน้ำเสียงที่มีความนุ่มนวลอ่อนโยน ทำให้คนที่รับฟังรู้สึกสบายใจและผ่อนคลาย บวกกับการเป็นพิธีกรที่มีความเป็นธรรมชาติและมีความรอบรู้ในสิ่งรอบตัวกับงานที่ทำอยู่ ทำให้พี่ตุ้มเป็นที่นิยมและชื่นชอบ จากหลากหลายรายการ อาทิ "สะพายกล้อง", "ลุ้นละไม", "คอนเสิร์ต คอนเทสต์",  "จันทร์กะพริบ", "เจ็ดกะรัต", "คนนี้ที่หนึ่ง", "รักเกินร้อย", "วันสุดท้าย"
   
แต่ในช่วงที่ทำงานพิธีกร พี่ตุ้มก็ทำงานเพลงมีอัลบั้มถึง 4 ชุด ซึ่งถือว่าโด่งดังและประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยเฉพาะเพลง "ฝัน...ฝันหวาน" จากอัลบั้มชุดแรกที่หลายคนยังจำกันได้จนถึงวันนี้ 

ช่วงหลังพี่ตุ้มหยุดพักงานพิธีกร หันมาทำหน้าที่บริหารในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ เอส แอล จำกัด ที่ดูแลภาพรวมทุกรายการ แม้ตอนนี้รายการทีวีประสบกับปัญหาเศรษฐกิจและการแข่งขัน แต่ เจ เอส แอล ก็ยังประคองตัวอยู่ได้ ถึงจะมีการปรับเปลี่ยนรายการไปตามกระแส แต่ก็ไม่ทิ้งจุดยืนในการทำงาน ที่เน้นในเรื่องของคุณภาพและสาระบันเทิงที่ต้องให้อะไรกับคนดูบ้าง ไม่ใช่เกมโชว์หรือบันเทิงที่หาสาระไม่ได้
     
ทุกวันนี้งานที่ทำและรายการที่ต้องดูแลก็แทบจะรัดตัว แต่พี่ตุ้มก็ยังเจียดเวลามาเป็นครูสอนการเป็นพิธีกรให้กับคนรุ่นใหม่ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นพิธีกรของ เจ เอส แอล เพื่อต้องการสร้างบุคลากรการเป็นพิธีกรที่ดี และอยากเห็นพิธีกรที่สมบรูณ์ต่อไปในอนาคต...
 
"ในชีวิตนี้บอกตามตรงพี่ไม่เคยคิดจะเป็นนักร้อง ไม่เคยคิดจะเป็นพิธีกร เพราะพี่ชอบและรู้สึกแฮปปี้กับการทำงานเบื้องหลังมากๆ เพราะเราเรียนการละครมาก็เลยเป็นคนชอบคิดชอบเขียน พอเรียนจบศิลปการละคร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ไปทำงานที่ เจ เอส แอล ฝ่ายโปรดักชั่นทีมผลิตที่ทำทุกอย่าง ทั้งผู้กำกับเวที เขียนบท ตัดต่อ สัมภาษณ์ผู้เข้าแข่งขัน
   
จน เจ เอส แอล ทำรายการ "ชิงหลัก" ซึ่งมีช่วงสะพายกล้องไปถ่ายเบื้องหลังการทำงานบันเทิง พี่ก็ได้เป็นพิธีกรภาคสนาม เพราะต้องออกไปกับกองอยู่แล้ว เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นพิธีกร แต่พี่ก็ทำเบื้องหลังไปด้วยนะ ต่อมาได้มาเป็นพิธีกรรายการ "ลุ้นละไม" ปรากฏว่าโดนจดหมายเขียนมาด่าทำไมเอานางยักษ์มาเป็นพิธีกร ว่าเราได้แสบสันมาก ก็คิดว่าเออ...จะเป็นตรงนี้เขาดูกันแค่ภายนอกหรือ ทำไมไม่วิจารณ์ว่าฉันเป็นพิธีกรไม่ได้เรื่องหรือพูดไม่ดีก็จะรับฟัง แต่เราก็ฮึดและทำให้ดีที่สุดให้เขายอมรับเราให้ได้ ซึ่งฟีดแบ็กก็หายไปและเริ่มดีขึ้น
 
แต่มาดีมากตอนเราเป็นพิธีกรรายการ "คอนเสิร์ต คอนเทสต์" ซึ่งตอนนั้นออกเทปพอดีเลยส่งเสริมให้ดังเป็นพลุแตก เพราะปี'29 เป็นปีที่วงการเพลงกำลังเฟื่องฟู นักร้องทุกคนออกเทปกันหมดและดังกันหมดรวมทั้งเรา ทำให้จุดการเป็นพิธีกรของเราถูกมองมากขึ้น และเราเองถูกบ่มเพาะมาเกือบ 2 ปี และได้ทำรายการที่ถนัดเหมาะกับตัวเราคือ "คอนเสิร์ต คอนเทสต์" เป็นรายการสดรายการเพลงที่ฮือฮามาก พี่เลยกลายเป็นพิธีกรที่โด่งดังมีชื่อเสียงและได้รับรางวัลด้วย ถามว่าคนรู้จักพี่มากที่สุดจาก "คอนเสิร์ต คอนเทสต์" แต่จะมาประทับใจพี่จาก "จันทร์กะพริบ"
 
แต่พี่ไม่เคยคิดว่านั่นคือชื่อเสียง พี่เป็นคนที่ไม่หลงใหลกับสิ่งต่างๆเหล่านั้น นั่นคือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พี่ยังเป็นคนเบื้องหลังอยู่ เพราะรู้ว่านั่นคือส่วนหนึ่งของวงการมายา มันเป็นภาพหนึ่ง แต่เราอยากมีอะไรที่เป็นความจริงอยู่ด้วย ฉะนั้นถ้าอยู่เบื้องหลังเราจะพบความจริงทุกอย่าง แต่การเป็นพิธีกรก็พบความจริงนะ เพราะพิธีกรต้องเป็นตัวคุณเองจริงๆ และเวลาที่เราอยู่เบื้องหน้าก็จะได้ขัดเกลาตัวเองด้วย หมายถึง ตัวเราเองไม่ได้เป็นคนมีบุคลิกลักษณะแบบนี้ แต่พอมาเป็นพิธีกรเราถูกขัดเกลาบุคลิกและมารยาทของเราไปเอง ทำให้เราเข้าสู่ทุกสังคมได้
 
สำหรับเอกลักษณ์หรือจุดเด่นของพี่ที่หลายคนบอกอยู่ที่น้ำเสียง เพราะเราเป็นคนร้องเพลงด้วยไง ซึ่งวิธีการใช้เสียงของเราช่วยทำให้เราใช้เสียงหนักเสียงเบาและถ่ายทอดอารมณ์ลงไปในน้ำเสียงมากกว่าคนปกติ แต่ต้องบอกว่าคนที่เป็นพิธีกรแรกสุดเลยที่คนจะมองคือ สวยหรือไม่สวยแต่งตัวดีไหม บุคลิกเป็นยังไง แต่เมื่อเขาดูไปเรื่อยๆสักระยะก็ไม่ดูแล้ว แต่เขาจะเริ่มฟังในสิ่งที่เราพูดหมายถึงน้ำเสียงมาก่อนว่าเป็นที่พึงพอใจไหม พอน้ำเสียงผ่านมาถึงสิ่งที่เราพูด พูดเรื่องอะไร พิธีกรคนไหนก็แล้วแต่ถ้าไม่ผ่านจุดนี้จะเป็นพิธีกรที่ดีต่อไปไม่ได้ แล้วคนดูก็จะไม่เลือกคุณ
 
แต่ตัวพี่เองอาจจะบอกได้ว่าความที่เป็นคนเบื้องหลังและอยู่กับการทำงานทุกๆ งานที่ตัวเองเป็นพิธีกรเหมือนเราเป็นหนึ่งในทีมงาน ก็เลยจะรู้ตื้นลึกหนาบาง และมีข้อมูลของเรื่องเยอะมาก ฉะนั้นสิ่งที่จะพูดออกไปจะมาจากข้อมูลจริงๆ พูดจากความรู้ของเรา โชคดีที่เราเป็นหนึ่งในทีมงานที่หาข้อมูล เขียนสคริปต์ เขียนบทเอง เลยส่งให้การทำงานเบื้องหน้าของเราเข้มแข็งมากขึ้น ก็เลยเกิดความแตกต่างจากพิธีกรคนอื่นในยุคนั้น เป็นจุดที่ทำให้การเป็นพิธีกรของเราเด่นขึ้นมา
   
ถ้าถามพี่ว่าพิธีกรที่ดีในมุมมองของพี่เป็นยังไง ต้องคิดดี เพราะพิธีกรเป็นงานที่ใช้สมอง เวลาที่เราทำงานออกกล้อง ณ วินาทีนั้น เราต้องคิดตลอดเวลาต้องมีข้อมูลอยู่ในหัวเยอะมาก เราจะดำเนินรายการต่อไปยังไง เพราะมันไม่ได้มีบทเป๊ะๆ ยิ่งเป็นบทสัมภาษณ์เราจะรู้ได้ยังไงว่าคนตอบจะตอบว่าอะไร เราต้องตั้งรับเตรียมตัวคอยตอบคอยโต้กลับคอยตะล่อม เราต้องเป็นผู้กำกับตัวเอง และต้องกำกับเนื้อหาของรายการด้วย
   
แล้วการเป็นพิธีกรไม่ได้มาเดินแฟชั่นโชว์หรือเพียงแค่มารายงานป่าวๆ ว่าเดี๋ยวจะเจออะไร แต่จริงๆ มันต้องมีเนื้อของคุณอยู่ข้างใน คุณต้องรู้จักอะไรเยอะแยะมากมาย คุณต้องสามารถนำข้อมูลสาระต่างๆไปสู่ผู้ชมได้ ไม่ว่าคุณจะทำรายการประเภทไหนก็ตาม ถ้าทำรายการเพลงต้องรู้เรื่องเพลงรู้ว่าศิลปินคนนี้เป็นยังไงเบื้องหน้าและเบื้องหลัง รวมไปถึงประวัติศาสตร์ของวงการเพลงด้วย เวลาพูดจะได้หนักแน่นเปรียบเทียบได้
   
แต่บางคนแม้แต่ข้อมูลง่ายๆ ยังไม่รู้เลย พี่เคยเจอพิธีกรคนนึง ผู้ถูกสัมภาษณ์พูดถึงวันที่ 23 ตุลาคม พิธีกรคนนั้นถามว่า 23 ตุลาคม วันอะไรคะพี่ โอ...แม่เจ้าช่วยด้วยเถิด ทำไมเขาไม่รู้ล่ะ เขาต้องรู้สิว่าเป็นวันพระปิยมหาราช อย่างน้อยที่สุดนี่คือความรู้พื้นฐานไง และถ้าเป็นอย่างนั้นทีมงานต้องเทคทันที คุณปล่อยให้พิธีกรของคุณโง่ออกไปได้ยังไง แล้วเชื่อมั้ยพี่เคยถูกสัมภาษณ์โดยที่ผู้สัมภาษณ์ถามว่าพี่ชื่ออะไร แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นนานแล้ว ซึ่งตอนนั้นเราอาจจะยังไม่ดังมาก
     
หรืออย่างคำพูดเลวๆ ก็เยอะมาก บางทีพิธีกรบางคนเห็นคนอื่นพูดก็พูดตามโดยไม่รู้ว่าคนอื่นที่พูดเขามีวัยวุฒิ มีสถานภาพที่พูดได้แต่ตัวเองยังเด็ก เด็กกว่าคนที่คุณกำลังคุยด้วย ก็เลยเหมือนเป็นการก้าวร้าว เขาพูดว่า "พี่ทำตัวชั่วๆ แบบนี้ได้ยังไง" เขาอาจจะล้อเล่น แต่ทำไมใช้คำพูดแรงขนาดนี้ หรือบางทีก็เล่นมุกโดยลืมไปว่าตัวเองยังเด็ก ไม่รู้เส้นของความควรอยู่ตรงไหนก็พูดไป
     
ที่สำคัญเราต้องคิดไกลด้วยต้องรู้ว่าเรามีหน้าที่อะไรในฐานะที่เราเป็นสื่อ มีหลายคนคิดว่าฉันแค่ทำรายการให้จบ จริงๆ แล้วไม่ใช่ คุณต้องรู้ว่าคุณไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่นั้น แต่คุณคือสื่อคนหนึ่งต้องรู้หน้าที่ของสื่อ และจรรยาบรรณของสื่อคืออะไร เพราะทุกคำพูดที่คุณพูดออกไป ทุกกิริยามารยาทการกระทำมันมีผลมีอิทธิพลต่อสังคมทั้งนั้น ฉะนั้นพิธีกรที่ดี ควรต้องรู้ตรงนี้ว่าคุณมีบทบาทต่อสังคมมากนะ และจะเป็นตัวอย่างกับคนอื่นอีกมากมาย
     
ฉะนั้นคำว่าคิดดีของพี่จะบวกสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไปด้วย ถ้าเรามีตรงนี้อยู่ในหัวเมื่อไหร่มันจะออกมาในคำพูดของเราทันที   ไม่เหมือนนักแสดงที่ไม่ต้องคิดคำพูดเพราะถูกกำหนดถูกเขียนมาแล้วว่าต้องเสียใจร้องไห้ ต้องเดินออกไปตรงนี้นะ เขากำหนดมาหมด แล้วคุณก็ถ่ายทอดอารมณ์นั้นออกมาให้ได้คือหน้าที่ของนักแสดง แต่พิธีกรคุณต้องกำหนดชีวิตตัวเองต้องกำกับตัวเอง โดยที่ทำให้เป็นการแสดงไม่ได้ แต่ต้องทำให้เป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
 
ซึ่งมันต้องมีการฝึกฝนเพราะมีเส้นของมาตรฐานอยู่ คุณต้องรู้มาตรฐานของการออกจอทีวีว่าแค่ไหนถึงจะเพียงพอ คุณพูดตรงนี้มากไปมั้ยล้ำเส้นหรือเปล่า หรือคำพูดตรงนี้ต้องคิดก่อนว่าพูดไปแล้วส่งผลกระทบกับคนอื่นหรือเปล่า หรือคุณกำลังไปชอนไชเขาหรือดูถูกเขาหรือเปล่ารวมไปถึงกำลังดูถูกคนดู ดูถูกประเทศชาติหรือศาสนาอื่นหรือเปล่า ต้องคิดค่อนข้างเยอะ
 
แต่พิธีกรทุกวันนี้พี่ไม่รู้ว่าเขามีจุดนี้มากน้อยแค่ไหน บางคนอาจจะไปไม่ถึงขั้นนั้นแต่มันก็แล้วแต่ประสบการณ์เหมือนกัน ไม่ได้บอกว่าพี่รู้จุดนี้ตั้งแต่วันแรก พี่ก็ไม่รู้อะไรเหมือนกันก็งูๆ ปลาๆ และอาศัยประสบการณ์สะสมมาเรื่อย และโชคดีที่มี "พี่หน่อย"  จำนรรค์ ศิริตัน กับ พี่ต้น ลาวัลย์  กันชาติ คอยบอก ซึ่งพี่เขาจะวิจารณ์พิธีกรกันแรงมาก ถ้าใครใจอ่อนไม่เข้มแข็งก็ฆ่าตัวตายไปแล้ว

แต่พี่คิดว่าเอาละ ถ้าเราจะเป็นกระท้อนที่หอมหวานมันต้องถูกทุบ เราจะเป็นเหล็กที่คมต้องถูกตีแรงๆ เราต้องยอมรับความเจ็บปวดแต่เป็นความเจ็บปวดในความปรารถนาดี เราต้องยอมรับและฝ่าฟันไปให้ได้ หลายคนที่ฝ่าฟันไปไม่ได้ก็ต้องถอย
 
แต่การเป็นพิธีกรต้องรู้ว่าไม่ใช่เราจะทำได้ทุกรายการทุกประเภททุกเรื่อง แต่ต้องดูว่าเราถนัดกับอะไรเหมาะกับอะไร วัยเราไปถึงไหนแล้ว พอมาถึงวันนี้ เราต้องมานั่งพิจารณาตัวเองด้วยว่าเราไปแค่ไหนแล้ว  ถ้ารายการที่คิดมาใหม่ไม่เหมาะกับเราอย่าทำเลย พี่ก็เลยเบรกงานพิธีกรไป 3-4 ปี แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะหายไปเลยนะ เวลาไปไหนทุกคนพูดเสมอว่าเมื่อไหร่จะกลับมาทำ
     
แต่ถ้าเราจะกลับมาทำก็ต้องดูให้เหมาะที่สุด ไม่อย่างนั้นออกไปจะกลายเป็นสร้างความผิดหวังนะ ก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่พี่จะกลับมาทำพิธีกรอีก เพราะอาชีพพิธีกรสามารถทำไปได้เรื่อยๆ จนแก่ มันไม่มีหมดอายุหรอก แล้วงานพิธีกรที่เราสะสมมา 20 ปี ชื่อของเรามันไม่หายไปไหนหรอก ก็ยังอยู่แต่เราต้องใช้ให้ถูกที่ถูกทาง
     
ส่วนงานบริหารของพี่ตอนนี้ในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการของ เจ เอส แอล ต้องบอกก่อนว่าพี่ไม่ได้กุมอำนาจไว้คนเดียว (หัวเราะ) แต่เรากระจายอำนาจและหน้าที่ให้ทุกคนรับผิดชอบ จะมีน้องๆ ที่เป็นโปรดิวเซอร์ดูแลแต่ละรายการ ส่วนเรามีหน้าที่ดูภาพรวมคอยให้ความคิดคอยดูพิธีกรคอยดูว่ารายการขณะนี้มันก้าวหน้าไปถึงไหนแล้วโดยร่วมกับอีกหลายคน
     
อย่างตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจและการแข่งขัน ซึ่งมันเป็นปัญหาพอสมควรว่าทุกวันนี้ เราตัดสินรายการที่ประสบความสำเร็จด้วยอะไร ตัดสินกันที่เรตติ้ง ส่วนเอเจนซี่ก็ดูที่เรตติ้งซึ่งช่วยไม่ได้เพราะเป็นตัววัดดีที่สุด แต่จริงๆ แล้วตรงนั้นเป็นเรตติ้งของผู้ชม คนดูรายการแน่นอนต้องดูรายการบันเทิงมากสุด สปอนเซอร์ก็จะเข้า ทำให้ผู้ผลิตก็ผลิตแต่รายการบันเทิงจะได้ไม่เจ็บตัว แต่การเป็นสื่อในรายการทีวีต้องมีหลายแบบถูกไหม ต้องมีสารคดี ต้องมีรายการที่ให้ความรู้ด้วย
     
จริงๆ ควรมีการวัดคุณภาพของรายการตรงจุดนี้ด้วย ซึ่งเมืองไทยยังไม่มีก็เลยสร้างความลำบากให้กับผู้ผลิตที่อยากผลิตรายการประเภทนี้ แต่ผลิตแล้วขายไม่ได้เพราะไม่ได้ถูกวัดไงคะ  แต่พี่ว่าของดีถ้าไม่ถูกสนับสนุนต่อไปก็จะไม่มีสิ่งนี้เกิดขึ้น สังเกตดูทุกวันนี้คนไปดูรายการต่างประเทศมากขึ้น ดูเคเบิล ดูทีวีดาวเทียม เพราะมันสามารถดูรายการประเภทอื่นๆ ที่ประเทืองปัญญาเขาได้ จริงๆ รัฐบาลต้องเข้ามาช่วย เราอยากให้รัฐบาลมองเห็นจุดสำคัญตรงนี้
     
เพราะสื่อเนี่ยมีอิทธิพลมากนะ ประเทศชาติจะพัฒนาได้คนต้องมีความรู้ แต่สื่อต่างๆ ก็ต้องช่วยกันเพราะสื่อเป็นตัวบอกความเป็นไปของโลก ถ้าเรามองประเทศอื่นๆ ที่เจริญเขาไม่ทิ้งเรื่องสื่อเลย แต่ถ้ามองทุกวันนี้เมืองไทยก็มีทีวีสาธารณะ ทำให้เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลง มีรายการดีๆ ที่ให้ความรู้ไม่ได้มุ่งเน้นไปเรื่องของบันเทิงเริงรมย์เพียงอย่างเดียว หรือบันเทิงก็จะเป็นบันเทิงที่ถูกขัดเกลามาบ้างแล้ว เราจะเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านั้นเกิดขึ้นถือว่าเป็นสิ่งที่ดี
     
แต่ทุกวันนี้รายการทีวีในบ้านเรามีบันเทิงสัก 90% ได้มั้ง แม้แต่ข่าวยังเป็นบันเทิงเลย ก็แปรเปลี่ยนตัวเองเยอะมาก เพราะกระแสทำให้ทุกคนต้องเอาตัวรอด เจ เอส แอล ก็เอาตัวรอดรู้จักที่จะปรับตัวเอง แต่ต้องบอกเลยว่าที่นี่เราถูกปลูกฝังอยู่เสมอว่าเราทำรายการบันเทิงสนุกได้แต่จำไว้นะ ท้ายที่สุดแล้วต้องบอกได้ว่าเรากำลังให้อะไรกับคนอื่น จะให้มากให้น้อยสุดแท้แต่นั่นคือประโยชน์ที่คุณกำลังจะให้กับคนดู ถ้าเราทำสนุกสนานบันเทิงแต่บันเทิงต้องให้อะไรกับคนดู
     
ถามว่ารายการของ เจ เอส แอล ทุกวันนี้เป็นอย่างไร บอกได้เลยว่าเป็นบันเทิงที่มีสาระ เราตั้งใจให้เป็นอย่างนี้และจะทำมากขึ้นด้วย รายการของเราจึงไม่เยอะมาก เพราะเราทำรายการที่มีคุณภาพดีกว่าทำไปให้มันอยู่รอดไปเรื่อยๆ คงไม่ใช่สิ่งที่ดี เรามีอยู่เท่านี้ก็ทำให้ดีสุด ถ้ามีการขยายเราก็ทำรายการที่จะบอกได้ว่าจะให้อะไรกับคนดู เพราะรายการทีวีเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา เด็กเรียนรู้จากโรงเรียนมาส่วนหนึ่ง แต่ทีวีต้องเป็นส่วนหนึ่งที่ให้ความรู้ในเชิงไหนกับเขาก็ได้
     
อย่างตอนนี้ที่พี่มาสอนพิธีกรหน้าใหม่  เพราะเราทำตรงนี้มาก่อน เราเรียนรู้มาก่อน แล้วการเป็นพิธีกรในทุกวันนี้มันแตกต่างจากการเริ่มต้นเป็นพิธีกรยุคก่อนมาก สมัยก่อนให้เวลาได้สักปีสองปีค่อยเก่ง คนค่อยๆ ยอมรับ แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่ ออกไปต้องเปรี้ยงเลย เพราะการแข่งขันเยอะมากถ้าคนไม่ชอบก็เปลี่ยนเลย ฉะนั้นการที่เราจะปล่อยใครสักคนออกไป ยิ่งหน้าใหม่เราต้องมั่นใจว่าอย่างน้อยที่สุดเขาออกไปต้องดูดี ต้องมีแนวทางที่จะพัฒนาต่อไปได้และต้องสร้างการยอมรับจากผู้ชมใน 2-3 ตอนแรกๆ ให้ได้
   
เราก็เลยต้องเป็นทางลัดให้กับน้องๆ รุ่นใหม่ เอาสิ่งที่ตัวเองรู้ทั้งหมดถ่ายทอดบอกน้องๆ ก็มีหลายคน อย่าง "กิ๊ฟ" วรรธนะ กำธรทิพย์, "บ๊วย" เชษฐ์วุฒิ วัชรคุณ, อาร์ต พนิตนาฏ, "เอก" ชมะนันท์ วรรณวินเวศร์,  ทิน โชคกมลกิจ, "กบ" สุวนันท์ คงยิ่ง, "ป๋อ" ณัฐวุฒิ สกิดใจ,  เจนนิเฟอร์ คิ้ม ซึ่งสิ่งที่เราสอนจะสอนเป็นพื้นฐานให้เขา ไม่ได้สอนให้เขาเป็นพี่ตุ้มหรือเป็นแบบเรา แต่สอนให้ทุกคนเป็นตัวเอง สอนพื้นฐานพิธีกรที่ดีควรทำอะไรบ้าง รู้จักคิดยังไง พูดยังไง ประพฤติปฏิบัติตัวยังไง และต้องหาตัวตนของตัวเองให้เจอ ต้องมีเอกลักษณ์ของตัวเอง
     
และเมื่อเขาผ่านเราไปแล้ว เขาต้องไปฝึกฝนด้วยตัวเอง ส่วนเราจะคอยบอกเขาว่าใช่แล้วนะ ตรงนี้ต้องพัฒนานะ ตรงนี้ไม่ใช่ขัดเกลาอีกหน่อยดีไหม เขาก็จะหาตัวของเขาเองจนได้ และสิ่งที่พิธีกรทุกคนต้องมีคือคุณต้องรู้จักพัฒนา จุดไหนดีจุดไหนบกพร่องแล้วพัฒนาไปเรื่อยๆ แต่ถ้าวันหนึ่งคุณหยุดมันจะหายหมดเลยนะแล้วคนอื่นจะแซงคุณเอง อย่าง บ๊วย เขาสามารถหาตัวตนของเขาเจอได้ดีมากๆ เขาสนุก ตลก มีความเป็นธรรมชาติสูง ก็ไปทางนี้เลยรับรองไม่มีใครสู้คุณได้
   
หรือ น้องกบ ตอนแรกมาแบบไม่มั่นใจ เราก็สอนจนพอได้ แต่ก็ยังไม่ค่อยมีความมั่นใจในระยะแรกๆ จนมาวันนี้เขามีความมั่นใจในตัวเองสูง รู้ว่าตัวเองเป็นยังไง รู้ว่าจะเดินไปทางไหน ทุกวันนี้คิดว่าเขาสามารถเป็นต่อไปได้แต่ก็ต้องพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ส่วน ป๋อ มีพื้นฐานดี ไวและขยันแต่สิ่งที่ต้องเติมคือฝึกความเป็นธรรมชาติให้มากที่สุด คือเขาก็เป็นอยู่แล้ว และพยายามเอาสิ่งเหล่านี้ออกมาแต่บางครั้งอาจจะยังมีความไม่กลมกลืนก็ต้องฝึก แต่ตอนนี้เรียกว่าค่อนข้างลื่นไหลมาก
   
สำหรับ เจ เอส แอล เวลาเราทำงานอะไรไม่เคยดูถูกงานของตัวเราเอง ไม่เคยดูถูกคนดู เราคิดว่าการคิดงานก็ดีการมีคนเบื้องหน้าก็ดี ถ้าเราสามารถสร้างบุคลากรที่ดีออกไปได้ รายการมันก็ดี ได้ผลประโยชน์ทั้งตัวเราเองและคนดู เราเองก็ภาคภูมิใจ ทุกวันนี้ใครชมว่าพิธีกรคนนี้ดีเราจะแอบภูมิใจ หรือกบบอกว่าพี่ตุ้มคือครูของเขาเราก็จะรู้สึกดี เราไม่ได้คิดจะไปมีอิทธิพลกับตัวเขา แต่สิ่งที่ให้บอกเลยว่าถ้าเขาตั้งใจเรียนและรับเราให้เต็มที่  20 ปีที่เรามีให้เขาทั้งหมด เขาสามารถเอาไปใช้ต่อไป โดยที่เราไม่หวงวิชา แต่คนไหนไม่อยากรับไม่อยากเป็นก็ไม่ให้
     
พี่จะบอกน้องๆ ทุกคนว่าโอกาสมันมาเสมอ โอกาสเหมือนแสงไฟที่สาดมาแล้วหาคนที่เก่งคนที่พร้อมที่สุด แต่ถ้าวันนี้โอกาสมาหาเราต้องหันกลับมามองตัวเราเองว่าพร้อมหรือเปล่า ถ้าไม่พร้อมไม่ใช่โอกาสมันไปหาคนอื่นทันทีเลย ขณะนี้แสงไฟยังส่องมาไม่ถึงตัวเรา แต่เราเตรียมอะไรพร้อมหรือยัง คุณต้องหาข้อมูลใส่ในหัวไปเรื่อยๆ เรื่องอะไรก็ได้ที่คุณชอบโดยการอ่านเยอะๆ ดูเยอะๆ คุยเยอะๆ เพื่อคุณจะได้รู้จักมนุษย์
 
เพราะมีหลายคนไม่รู้จักมนุษย์ ไม่รู้จักการพูดคุยกับคน ไม่รู้ว่าการพูดคุยกับเด็กพูดคุยกับหมอพูดยังไง บางคนไม่รู้วิธีและไม่กล้าด้วย ฉะนั้นคุณต้องเปิดที่จะรับ คุณต้องคุยกับทุกคนได้ ฝึกไปเถอะและเรียนรู้ในทุกเรื่อง เพราะพิธีกรไม่ได้พูดเรื่องเดียวแต่พูดหลายเรื่องมาก  แล้ววันหนึ่งที่คุณมีโอกาสหรือไฟส่องมาหาคุณ แล้วคุณได้ทำหน้าที่นั้นจริงๆ คุณจะคมวาววับทันที นี่คือสิ่งที่บอกน้องๆ ทุกคนไว้ให้เตรียมตัวไว้เถอะ วันหนึ่งคุณประสบความสำเร็จเอง
   
ทุกวันนี้พี่มีความสุขที่ได้สอนคนอื่น เพราะวันหนึ่งเราก็ต้องตายจากหรือหดหายไปจากวงการนี้ ฉะนั้นมันต้องมีคนรุ่นใหม่ขึ้นมา พี่ไม่อยากให้สิ่งที่ตัวเองได้เรียนรู้มาหายไป แล้วอนาคตข้างหน้าโลกจะเปลี่ยนไปอีกเยอะมาก คุณก็จะต้องไปพัฒนาในแบบที่โลกนี้มันเป็น ต้องวิ่งตามและพัฒนามันอย่างที่ควรจะเป็นด้วย
     
พี่คงฝากตรงนี้ไว้กับคนรุ่นใหม่ เพราะเราเป็นคนรุ่นหนึ่งที่ผ่านชีวิตมาแล้ว ไม่อยากให้ตรงนี้มันหายไป ทุกวันนี้มีความสุขทุกครั้งที่มองน้องๆ มองพิธีกรที่เราเคยบอกเขา มองครีเอทีฟที่เราสอนเขามา มองโปรดิวเซอร์ที่เราเคยบอก วันนี้เขาทำได้และยืนได้ด้วยตัวของเขาเอง แถมพัฒนาต่อไปได้อีก คงไม่มีความสุขอะไรเกินไปกว่านี้อีกแล้ว และดีใจนะที่เห็นเขาทำได้"

   

:: กลับไปหน้าหลัก ::