นิตยสาร a car

“เติมเต็มให้ชีวิต” โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่

 

ทันทีที่ก้าวเท้าแตะสนามบินจังหวัดเชียงราย ผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดปุ่มเปิด ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นจึงยกแขนขึ้นดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ...พฤติกรรมซ้ำๆ ทั้งสองประการนี้ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาว่า ทำไมผมต้องดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ ทั้งที่สามารถดูได้จากโทรศัพท์มือถือได้

ใช่แล้วครับ “ของบางอย่างสามารถตอบสนองความต้องการหลากหลายของมนุษย์ได้” เช่นเดียวกับ “โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่” คันนี้ ซึ่งได้แต่งเติมรายละเอียดหลายจุดเพิ่มจากเวอร์ชั่นเดิม เพื่อเติมเต็มความต้องการของผู้ใช้รถที่ไม่มีวันสิ้นสุดนั่นเอง

นับจากเดือนพฤศจิกายน 2547 หรือเกือบ 4 ปีที่ “โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์” เปิดตัวสู่ตลาดเมืองไทย ตลอดเวลาที่ผ่านมารถรุ่นนี้เจอกับอุปสรรคมาเยอะครับ นอกเหนือจากการฟาดฟันกับคู่แข่งที่เป็นพีพีวีด้วยกันทั้ง “อีซูซุ มิว-เซเว่น” “ฟอร์ด เอเวอร์เรสต์” “มิตซูบิชิ จี-วากอน” รวมถึงรถเซ็กเมนท์อื่นในระดับราคาล้านต้นๆ ยังต้องเจอกับปัญหาการโจมตีเรื่องของระบบเบรก เรื่องของระบบช่วงล่าง ไล่ยันไปถึงปัญหาสุดคลาสสิกว่า “กินน้ำมัน” กระนั้นด้วยชื่อชั้นยี่ห้อโตโยต้า รวมถึงรูปลักษณ์ที่หรูหราและอรรถประโยชน์ที่มีให้ ส่งผลให้มียอดขายสะสมกว่า 74,000 คันพร้อมยอดส่งออกกว่า 62,000 คัน ก็ของมันจะขายดีอะไรก็หยุดไม่อยู่หรอกครับ
   
สำหรับไลน์อัพของ “ฟอร์จูนเนอร์” จะมีรุ่นดีเซล 3.0 ลิตรเกียร์อัตโนมัติและเกียร์ธรรมดา และรุ่นเบนซิน 2.7 ขับเคลื่อน 4 ล้อและขับเคลื่อน 2 ล้อที่โตโยต้าคว้า “น้องแพนเค้ก – เขมนิจ จามิกร” มาเป็นพรีเซนเตอร์จนเราเรียกกันติดปากว่า “รุ่นแพนเค้ก” นั่นเอง ซึ่งจะเห็นว่ารุ่นที่ขาดหายไปก็คือ “ดีเซลขับ 2” นั่นเอง ไม่เป็นไรครับ “ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่” ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมามีมาให้แล้วครับ ทั้งยังเพิ่มรุ่นดีเซล 3.0 ขับ 4 เกียร์อัตโนมัติติดตั้งระบบเนวิเกเตอร์มาให้ และตัดรุ่นเบนซินขับ 4 ออกไป โดยทั้งหมดหวังเพื่อต่อยอดของรถรุ่นนี้และขยายฐานกลุ่มลูกค้าไปสู่กลุ่มผู้หญิงให้มากยิ่งขึ้น ทั้งยังคว้าดารายอดนิยมระดับขึ้นห้าง “น้องแอฟ – ทักษอร” มาทำหน้าที่แบรนด์แอมบาสเดอร์ พร้อมทั้งจัดงานเปิดตัวอย่างอลังการที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เล่นเอาหลายๆ คนเข้าใจว่าเป็นนิวโมเดลหรือนิวเจเนอเรชั่น ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นรุ่นไมเนอร์เชนจ์นะครับ
   
โดยฟอร์จูนเนอร์ใหม่ได้รับการปรับโฉมให้สดใหม่ ตั้งแต่การออกแบบกระจังหน้า-โคมไฟหน้าใหม่ ไฟท้ายทรงสี่เหลี่ยมเหมือนเดิม ดูผ่านๆ ไม่เห็นว่าจะต่างจากเดิมแต่ถ้าเทียบกับรุ่นเดิมจะเห็นว่าสลับกรอบสีแดง-ขาวจากบนลงล่างก็ดูแปลกตาดี เปลี่ยนเบอร์รองเท้าอัลลอยด์เป็น 17 นิ้วลายใหม่ใหญ่ขึ้น 1 นิ้ว ประกบกับยางขนาด 265/65 R17 จากเดิม 265/70R16 และปรับระยะต่ำสุดจากพื้นหรือ Ground Clearance ลง 10 มิลลิเมตรเพิ่มการทรงตัวที่ดีขึ้น
             
ด้านภายในนี่ก็เปลี่ยนไปเยอะครับ โดยเฉพาะออพชั่นอำนวยความสะดวกมาเพียบ อาทิ เบาะนั่งคนขับปรับระดับไฟฟ้า 6 ทิศทาง ในรุ่น 3.0 V Navi ซึ่งเป็นท๊อปออฟเดอะไลน์มีระบบนำทางเนวิเกเตอร์ พร้อมเครื่องเล่นดีวีดี จอแสดงผลแบบทัชสกรีน และเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือด้วยบลูทูธ รวมถึงครูซคอนโทรล ควบคุมความเร็วอัตโนมัติ กระจกมองข้างปรับ-พับไฟฟ้า ทั้งยังลบจุดบอดจากเวอร์ชั่นเดิมด้วยช่องแอร์ที่ฝังอยู่บนเพดานสำหรับผู้โดยสารแถวสองและสาม ซึ่งรุ่นเดิมมีอยู่ที่ด้านข้างแถวสามเท่านั้น
    
อีกประเด็นหนึ่งที่โตโยต้าให้ความสำคัญมากที่สุดเนื่องจากเป็นจุดบอดที่ถูกกระหน่ำในเวอร์ชั่นเดิม คือระบบความปลอดภัยทั้งเรื่องของเบรกและการช่วงล่าง โดยในระบบเบรกงานนี้ระดมตัวช่วยมาเสริมทัพเพียบ ตั้งแต่เบรก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD เสริมแรงเบรก BA ระบบควบคุมการทรงตัว VSC และระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC - Tracion Control ทั้งยังขยายขนาดจานเบรกขึ้นจาก 15 นิ้ว เป็น 16 นิ้ว เพิ่มแรงดันแม่ปั๊มเบรกจากเดิม 300 นิวตัน-เมตรเป็น 450 นิวตัน-เมตร เรียกว่าถ้าใครยังติในเรื่องนี้อยู่ ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
    
ด้านราคาของ “ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่” นั้นก็น่าสนใจครับ โดยเครื่องดีเซลรุ่น 3.0V 4WD A/T Navi ราคา 1,419,000 บาท รุ่น 3.0V 4WD A/T ราคา 1,309,000 บาท รุ่น 3.0V 2WD A/T ราคา 1,249,000 บาท รุ่น 3.0G 4WD M/T 1,059,000 บาท และรุ่น เบนซิน 2.7 2WD A/T อยู่ที่ 1,149,000 บาท รวมๆ แล้วเพิ่มขึ้นจากเดิมเฉลี่ย 2-5 หมื่นบาท

สำหรับเส้นทางการทดสอบกำหนดขับจากสนามบินเชียงรายสู่อำเภอแม่อายและอำเภอเชียงดาว ก่อนจะเข้าสู่เมืองเชียงใหม่รวมระยะทางเกือบๆ 300 กิโลเมตร โดยผมได้ทดสอบทั้งรุ่นท๊อป 3.0V 4WD A/T และรุ่น 3.0V 2WD ถือว่าเซ็ทช่วงล่างแบบคอยล์สปริงของฟอร์จูนเนอร์ใหม่ให้ความนิ่มนวลยิ่งขึ้นกว่าเดิมชัดเจนมากๆ จนเพื่อนร่วมคันท่านหนึ่งสามารถทานข้าวกล่องในรถได้แบบสบายๆ ด้านการเกาะถนนก็อยู่ในระดับที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะรุ่นขับ 4 ขณะที่รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อแม้จะเกาะถนนเป็นรองแต่ก็อยู่ในระดับไว้ใจได้ พวงมาลัยเพาเวอร์ แร็กแอนด์พิเนียนแม่นยำดีทุกโค้ง ส่วนอัตราเร่งจากพลังม้าทั้ง 163 ตัวจากเครื่องยนต์ 1KD-FTV เทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัต 4 สปีดยังคงเชื่อใจได้เช่นเดิมไม่ต้องเค้นก็มาตลอด การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารดีขึ้น ส่วนเบาะนั่งที่แจ้งว่านิ่มนวลขึ้น 10% ตรงนี้สัมผัสยากครับ

ในบางช่วงของเส้นทางที่มีความคดเคี้ยวนั้น ผมลองเข้าออกโค้งแบบแรงๆ หลายๆ ครั้งที่ระบบควบคุมการทรงตัวเจเนอเรชั่นที่ 2 ของ VSC ต้องทำงานร่วมกับระบบ TRC พร้อมทั้งส่งเสียงเตือนติ๊ดๆๆๆ อยู่ตลอด และระบบก็ช่วยให้สามารถควบคุมรถได้ง่ายดายยิ่งขึ้น ส่วนระบบเบรกก็นับว่าหยุดนิ่งได้ดังใจยอดเยี่ยมกว่าเดิมเยอะครับ
     
โดยรวมๆ กับ “โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่” เจ้าของสโลแกน “The Ultimate Attraction - ดึงดูดทุกใจ ให้ไปกับคุณ” นั้นถือว่าเป็นพีพีวีในสไตล์เอสยูวีที่มีความโดดเด่นและน่าสนใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะเรื่องของออพชั่นที่มีเพิ่มขึ้น ความปลอดภัยที่เติมระบบต่างๆ มาให้เพียบ การใช้งานที่สามารถเดินทางไปพร้อมๆ กันถึง 7 คนแบบสบายๆ ระดับราคาล้านต้นๆ ขึ้นไปถึงล้านกลางในรุ่นท๊อป ผมว่าคันนี้หละที่สามารถตอบสนองความต้องการที่ไม่มีวันสิ้นสุดของผู้ใช้รถได้ครับ


:: กลับไปหน้าหลัก ::