ความคิดเห็นที่ 1 พระราชวังมัณฑเลย์สร้างตามผังภูมิจักรวาลแบบพราหมณ์ปนพุทธ  ยอดปราสาทเป็นศูนย์กลางของโลก  ใจกลางเป็นห้องพระมหาปราสาทที่มีสีหาสนบัลลังก์สำหรับกษัตริย์นั่งว่าราชการ มัณฑเลย์ที่พระเจ้ามินดงทรงสร้างขึ้น   เป็นราชธานีแห่งสุดท้ายของกษัตริย์พม่า   หลังจากที่อังกฤษเข้ายึดครองประเทศ   พม่าก็ไม่มีพระเจ้าแผ่นดินอีกต่อไป จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 02:02:38

ความคิดเห็นที่ 2 ปาดครับ มาซะดึกเลยครับ ตามไปเที่ยวด้วยครับ ป้าฟู จากคุณ : Hero11147 เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 02:10:54

ความคิดเห็นที่ 3 พระเจ้ามินดงเมื่อได้ทำการยึดพระราชอำนาจจากพระเจ้าพะคันหมิ่นผู้เป็นเชษฐาต่างพระมารดา    พระองค์ก็ทรงสร้างเมืองหลวงขึ้นใหม่ที่มัณฑเลย์ พระเจ้าแผ่นดินพม่านิยมสร้างราชธานีใหม่เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติยศ   เมื่อมีเหตุอาเพทใดๆ  ก็มักต้องย้ายเมืองกันเสมอ     จากที่ป้าอ่านประวัติศาสตร์ของพม่าภายในสามร้อยปี   มีการย้ายเมืองหลวงบ่อยมากกกก....ถ้าเทียบกับประเทศอื่นๆ จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 02:16:39

ความคิดเห็นที่ 4 เข้าวังด้วยคนครับป้าฟู จากคุณ : chartchy เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 02:25:28

ความคิดเห็นที่ 5 ปาดไม่ทัน กลับไปดูเอเชี่ยน เกมส์ ที่นครกวางโจวก่อน แล้วจะมาดูต่อครับ จากคุณ : Innocent เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 02:29:31 A:96.255.194.62 X: TicketID:141679

ความคิดเห็นที่ 6 สวัสดีค่ะ   คุณ Hero11147     ดีใจที่ตอนนี้ก็ยังมีคนมาทักทาย   ดึกที่โน่นแต่ที่บ้านของป้าเป็นตอนบ่ายๆ ค่ะ... คนที่นั่งข้างๆ พระเจ้ามินดง ไม่แน่ใจว่าเป็นพระอัครมเหสีหรือพระมเหสีองค์รองที่เป็นซูสีไทเฮาแห่งพม่า     มีแต่ภาษายึกยืออ่านไม่ออก   แถมต้องเพ่งมองผ่านห้องกระจกที่มีแสงสะท้อนจากภายนอก   ถ่ายรูปก็ยากมากค่ะ... สมมุติว่าเป็นพระมเหสีองค์รองหรือพระนางอเลนันดอก็แล้วกันเนอะ   จะได้เม้าท์เข้าเรื่อง   พระนางอเลนันดอเป็นผู้มักใหญ่ใฝ่สูงเป็นที่โปรดปรานใกล้ชิดกับพระเจ้ามินดงมากกว่าพระมเหสีองค์อื่นๆ     แต่พระนางมีพระราชธิดาเพียงสองพระองค์ไม่มีราชบุตร     ทำให้พระนางต้องมองหาลูกเขย (ไม่รู้ราชาศัพท์ค่ะ)  ที่สามารถควบคุมได้และอยู่ในลำดับการสืบสันติวงศ์ เมื่อพระราชธิดาองค์เล็กคือเจ้าฟ้าศุภยลัตผู้มีจิตใจมักใหญ่ใฝ่สูงเหมือนกัน  มีจิตใจผูกประดิพัทธ์เสน่หากับเจ้าฟ้าสีป่อซึ่งในขณะนั้นบวชเป็นพระภิกษุอยู่    เจ้าฟ้าสีป่อเป็นเจ้าชายที่ไม่มีความสำคัญใดๆ  เพราะพระราชมารดาถึงแม้จะมีตำแหน่งพระมเหสีองค์หนึ่งเหมือนกันแต่ก็เป็นเจ้าหญิงจากประเทศราช  ซึ่งถือว่าเป็นเพียงแค่เชลยตัวประกันเท่านั้น พระภิกษุสีป่อ มีบุคลิกที่อ่อนแอ   พระนางอเลนันดอเห็นว่าถ้าสนับสนุนให้ครองราชย์ก็จะต้องตกอยู่ในอำนาจของพระราชธิดาของพระองค์อย่างไม่ต้องสงสัย   และเมื่อพระนางเป็นพระราชมารดาจึงย่อมมีอำนาจเหนือบุตรสาวของตนเอง เมื่อพระเจ้ามินดงทรงพระประชวรหนัก   พระนางอเลนันดอจึงสมรู้ร่วมคิดกับบรรดาเสนาบดีต่างๆ เพื่อทำการสถาปนาพระเจ้าสีป่อให้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไป   โดยที่พระเจ้ามินดงไม่สามารถคัดค้านหรือทำอะไรได้เลย จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 02:45:35

ความคิดเห็นที่ 7 สวัสดีค่ะ คุณ chartchy   กำลังจะไปเข้าเฝ้าพระเจ้าสีป่อค่ะ      ระวังตัวกันให้ดีนะคะเจ้าองค์นี้โหดมากค่ะ....   คุณ Innocent    ไปดูทางโน้นก่อนเลยค่ะ   รีวิวคราวนี้ช้ามากเพราะประวัติศาสตร์เยอะ...แล้วต้องมาย่อความสั้นๆ ...ปวดหัวดีจังค่ะ เมื่อพระเจ้าสีป่อเป็นกษัตริย์และมีพระนางศุภยลัตเป็นพระมเหสี    ทั้งสองพระองค์มิได้เชื่อฟังพระนางอเลนันดอผู้ที่ทำให้พระเจ้าสีป่อได้ขึ้นครองราชย์แม้แต่น้อย      พระนางอเลนันดอจึงหมดอำนาจวาสนาได้แต่ประทับอยู่อย่างเงียบๆ มิได้มีผู้ใดเกรงกลัวเหมือนอย่างแต่ก่อน...  โส....น้า..หน้า...  อิอิ.. จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 03:03:10

ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อสีป่อขึ้นครองราชย์...  พระนางศุภยลัตก็ได้ทำการสำเร็จโทษเจ้านายชั้นสูงที่อาจจะเป็นภัยต่อราชบัลลังก์โดยการทุบด้วยท่อนจันทน์และวิธีการอื่นๆ ตามลำดับชั้น...   การประหารชีวิตดำเนินไปกันถึงสามวัน  มีคนตายไปทั้งหมดแปดสิบคน   นับว่าเป็นการเริ่มยุคมิคสัญยีของพม่าขึ้นอย่างแท้จริง ใน พ.ศ. 2423  เกิดมีไข้ทรพิษระบาดอย่างหนักในพม่า  พระราชโอรสของสีป่อที่เพิ่งประสูติใหม่ก็ต้องถึงแก่ทิวงคตไปด้วย     โหราจารย์จึงแนะนำให้ย้ายราชธานีไปที่แห่งใหม่.. (อีกแล้ว)..   แต่เนื่องจากไม่สะดวกในหลายๆ ด้าน   โหรจึงแนะนำให้จับเอาคนมาฝังทั้งเป็นตามประตูเมือง  หรือมุมพระราชวังต่างๆ    ก็จะถือว่าเป็นการสร้างเมืองใหม่ได้เหมือนกัน ข่าวพวกนี้ได้ยินไปถึงหูของผู้ตรวจการณ์อังกฤษ   ซึ่งในขณะนั้นได้ยึดครองพม่าทางใต้อยู่มีศูนย์อำนาจอยู่ที่ย่างกุ้ง     น่ายชอว์ผู้ตรวจการณ์จึงยื่นหนังสือประท้วงอย่างแรงต่อรัฐบาลพม่า     พม่าก็ปฏิเสธที่จะทำตามและเตรียมพร้อมที่จะสู้รบ    เมื่ออังกฤษไม่ได้ยกทัพมาก็ทำให้พม่าคิดว่าอังกฤษไม่กล้า   ทั้งๆ ที่ในขณะนั้น..อังกฤษได้เข้ายึดบ้านเมืองของพม่าไปกว่าครึ่งแล้ว รูปจำลองของพระเจ้าสีป่อ และ พระนางศุภยลัต จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 03:23:03

ความคิดเห็นที่ 9 พระเจ้าสีป่อไม่ได้ทำอะไรให้กับประชาชนเลย   มีแต่มัวเมาเสวยน้ำจันทน์ใช้จ่ายพระราชทรัพย์อย่างฟุ่มเฟือย  จนเงินในท้องพระคลังเริ่มร่อยหรอ    เมื่อทำการขึ้นภาษีอากรจนไม่สามารถเรียกเก็บได้มากกว่านี้อีกแล้ว   ก็ทำการออกหวยเบอร์     ชาวพม่าในขณะนั้นก็คลั่งหวยกันจนไม่เป็นอันทำมาหากินใดๆ   ประชาชนยิ่งยากจนลง..พวกอันธพาลและขโมยก็ชุกชุมมากขึ้นทุกวัน   หลายปีผ่านไปผู้คนก็ไม่มีเงินมาซื้อหวยอีกต่อไป    พระราชทรัพย์ที่พระเจ้าได้มาจากการขายหวยก็ร่อยหรอลงไปอีก    พระองค์จึงตัดสินใจให้ฝรั่งเข้ามารับสัมปทานทำกิจการต่างๆ ในประเทศ เบื้องหลังพระราชบัลลังก์ย่อมมีบันได...อิอิอิ จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 03:42:49

ความคิดเห็นที่ 10 บริษัทบอมเบย์ของอังกฤษได้เข้ามาทำการค้าในพม่า   โดยได้รับสัมปทานการทำป่าไม้ในพม่าเหนือ    และภายหลังก็เกิดความบาดหมางกันขึ้นกับรัฐบาลของพม่า พม่ากล่าวหาว่าบริษัทบอมเบย์ได้ทำการทุจริต  จึงมีคำสั่งให้จ่ายค่าปรับเป็นจำนวนมากซึ่งจะทำให้บริษัทต้องล้มละลาย    อังกฤษไม่ยอมรับคำตัดสินของคณะลูกขุนพม่า   แต่ขอให้แต่ตั้งคนกลางเป็นอนุญาโตตุลาการทำการสอบสวนและตัดสิน   ซึ่งไม่ว่าคำพิพากษาจะเป็นเช่นไรอังกฤษยินดีที่จะปฏิบัติตามทุกประการ แต่พม่าไม่ยอม...กลับไปผูกสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศส   ทำให้อังกฤษไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง  ประกอบกับข้อบาดหมางอื่นๆ อีกมากมาย   อังกฤษจึงยกทัพเข้ามายึดพม่า   และเนรเทศพระเจ้าสีป่อและพระนางศุภยลัตไปอยู่ที่ประเทศอินเดียจนสวรรคต (ตรงกับสมัยของรัชกาลที่ 6)    ถือเป็นการจบสิ้นราชวงศ์ของพม่าอย่างชั่วนิจนิรันดร์ พระนางศุภยลัตจึงขอกลับมาอยู่ที่พม่าอีกครั้ง   ซึ่งอังกฤษก็ยินยอมและให้เบี้ยหวัดเงินปีเลี้ยงชีพพอสมควร   พระนางมิได้ทรงละพระอารมณ์อันดุร้ายเกรี้ยวกราดลงเลยจนทิวงคต     ยังทรงเคร่งในประเพณีหมอบคลานและระเบียบต่างๆ  จนต้องมีการหาคนไปเป็นมหาดเล็กอยู่ใหม่มิได้ขาด เรื่องราวโดยละเอียดไปอ่านได้จากเรื่อง พม่าเสียเมือง  ของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์  ปราโมช     ยิ่งอ่านยิ่งเที่ยวมันส์ค่ะ....   ก่อนไปเที่ยวเมืองไหนก็ตาม   ป้ามักจะค้นคว้าเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะด้านประวัติศาสตร์ภูมิศาสตร์ ฯลฯ มาอ่านก่อนเสมอ    เมื่อกลับมาบ้านถ้ามีเวลาก็มาอ่านโดยละเอียดอีกครั้ง   ทำให้การท่องเที่ยวมีรสชาติขึ้นมากมายค่ะ จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 04:06:34

ความคิดเห็นที่ 11 ยอดปราสาทจะมีบันไดพาดไว้  เพื่อให้ทหารยามปีนขึ้นไป จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 04:53:11

ความคิดเห็นที่ 12 ยอดหลังคาของพระตำหนักแต่ละหลัง  มักจะมีบ้านเล็กๆ สีขาวอยู่ข้างบน   ในหนังสือท่องเที่ยวเล่มหนึ่งบอกว่า  สำหรับทหารยามขึ้นไปนั่งคอยยิงนกแร้งที่ชอบบินมาเกาะ   แสดงว่านกแร้งชุกชุมมากในเมืองพม่าสมัยก่อน จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 04:57:09

ความคิดเห็นที่ 13                    (เวลาไทย) อรุณสวัสดิ์ครับ ป้าฟู                      จากคุณ : หนุ่ม ณ วันวาน เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 04:58:56

ความคิดเห็นที่ 14 ลวดลายสวยงามของผนังพระตำหนัก    เป็นลายฉลุที่ทำให้คนข้างนอกไม่สามารถมองเข้ามาข้างในได้   แต่คนข้างในมองเห็นความเป็นไปทุกอย่างข้างนอกได้ จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 04:59:21

ความคิดเห็นที่ 15 สวัสดีค่ะ   คุณ หนุ่ม ณ วันวาน   ตื่นแต่เช้าทุกวันเลยนะคะ    ไปเข้าเฝ้ากันค่ะ... คนข้างในมองออกมาเห็นหมดทุกอย่าง   แบบนี้ป้าว่าน่าจะได้อิทธิพลการออกแบบมาจากประเทศอินเดีย   เพราะเคยเห็นในรีวิวห้องบลูว่าอินเดียมีการทำแบบนี้มาเนิ่นนานแล้ว.. จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 05:02:29

ความคิดเห็นที่ 16 อยากเที่ยวให้ทั่วทั้งทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลยค่ะ ^^ จากคุณ : cat_on_a_hot_tin_roof_ เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 05:03:39

ความคิดเห็นที่ 17 มาถึงตอนพระเจ้าสีป่อถูกเนรเทศนี่เศร้ามาก เพราะถูกพระมเหสีบังคับควบคุมจนกลายเป็นกษัตริยที่อ่อนแอน่อมแน้มไป ป้าฟูครับแถวบ้านผมฝนตก เลยไม่ได้ออกไปไหน จากคุณ : Innocent เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 05:04:12 A:96.255.194.62 X: TicketID:141679

ความคิดเห็นที่ 18 นึกจินตนาการถึงสมัยก่อน   ถ้ามีนกแร้งเป็นฝูงมาเกาะบนหลังคา....อืออมมมม....  เห็นใจๆๆ    มันคงเสื่อมเสียพระเกียรติยศน่าดู.... แต่เห็นใจคนที่ต้องปีนขึ้นไปทำหน้าที่มากกว่า... จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 05:05:56

ความคิดเห็นที่ 19 สวัสดีค่ะ คุณ cat_on_a _hot_tin_roof_   ดีค่ะ..สนับสนุน   การท่องเที่ยวทำให้เราหูตากว้างไกลมีประสบการณ์มาก  เนื่องจากต้องผจญภัยจากการถูกหลอกมาเยอะ... จะทำให้เราเก่งและแกร่งขึ้นค่ะ คุณ Innocent    ผู้ร้ายที่แท้จริงก็คือพระมเหสีองค์นี้แหละค่ะ   สั่งประหารคนเป็นผักปลา  ดุร้ายเกรี้ยวกราดอำมหิตสุดจะทานทน ที่บ้านก็ฝนตกเหมือนกันค่ะ   เดี๋ยวนี้ก็มืดเร็วมาก..คิดถึงซัมเมอร์จังเลยค่ะ หมู่พระตำหนักแดง   ที่อยู่ของพระมเหสีเจ้าจอมหม่อมห้ามนางในทั้งหลาย แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 53 05:16:00 แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 53 05:14:10 จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 05:12:24

ความคิดเห็นที่ 20 มองไปอีกด้านหนึ่ง....เย้..เจอแล้ว...  หอคอยในวังที่พระนางศุภยลัตเสด็จขึ้นไปทอดพระเนตรเรือรบอังกฤษ  ตามที่อ่านมาจากในหนังสือ พม่าเสียเมือง ของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ เมื่อข้าหลวงเข้าไปทูลว่าเรือรบของอังกฤษเข้ามาถึงเมืองมัณฑเลย์แล้ว   พระนางไม่เชื่อจึงเสด็จขึ้นไปทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง "เมื่อพระนางศุภยลัตทอดพระเนตรแม่น้ำอิระวดีจากยอดหอคอยนั้น   ภาพที่ปรากฏขึ้นคือเรือรบและแพขนานของอังกฤษ  กำลังแล่นเข้าเทียบท่าหน้ากรุงมัณฑเลย์   ความจริงก็ปรากฏขึ้นอย่างไม่มีที่สงสัยได้ต่อไป..."   ตื่นเต้นๆๆๆ   จะได้ย้อนรอยอดีต... จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 05:24:15

ความคิดเห็นที่ 21 หอคอยแห่งนี้ใช้เป็นที่สำหรับพระเจ้าสีป่อเสด็จขึ้นไปทอดพระเนตร   เพื่อเห็นความเป็นไปนอกวังโดยที่ไม่ต้องออกไปจากพระราชวัง ลุ้นๆๆๆ    เดินไปก็เล่าประวัติศาสตร์ส่วนนี้ให้เพื่อนฟัง   จะได้เห็นแม่น้ำอิระวดีแล้ว....ดีใจๆๆๆ   เรือรบอังกฤษไม่มี..ป้าจะจินตนาการเองก็ได้....ไม่มีปัญหา....อิอิอิ... จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 05:27:31

ความคิดเห็นที่ 22 หน้าบันไดทางขึ้นหอคอย   มีป้อมยามน่ารัก...  ชอบโทนสีของมันจัง... จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 05:28:37

ความคิดเห็นที่ 23 เย้...ถึงแล้วเชิงบันไดประวัติศาสตร์   เป็นสถานที่ที่เมื่อพระนางศุภยลัตทอดพระเนตรเห็นกองเรือของอังกฤษแล้วก็เสด็จลงมาจากหอคอย   เมื่อถึงพื้นดินแล้ว "...ความจริงที่เข้ามาทำลายโมหะแห่งพระนางศุภยลัตก็ท่วมท้นพระราชหฤทัย  ทรงร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง  แล้วก็ทิ้งทอดพระองค์ปริเวทนาการว่า  พระองค์เองเป็นต้นเหตุที่นำความพินาศล่มจมมาสู่พระสวามีและกรุงอังวะ..." เพียงครู่เดียวพระนางก็ได้สติ  ลุกขึ้นยืนจับพระเกศาและเสื้อผ้าให้เรียบร้อย  แล้วก็เสด็จอย่างนางพญากลับไปที่พระราชมณเฑียร ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่พระนางศุภยลัตทรงแสดงความโทมนัสให้ปรากฏแก่สายตาผู้อื่น ตื่นเต้นๆๆๆๆ ... ต้องเป็นบริเวณนี้แน่ๆ เลย....  เอ..จะลองทิ้งตัวร่ำไห้ตีโพยตีพายมั่ง....จะได้อินมากๆ ....ดีไหม...   แต่อย่าเลย   กลัวทหารยามตกใจ... แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 53 07:16:16 จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 05:46:42

ความคิดเห็นที่ 24 เดินขึ้นไปบนหอคอย  มองลงมาเห็นหมู่พระตำหนักเรียงราย   มุมมหาชน.. จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 05:50:15

ความคิดเห็นที่ 25 ทันถ่ายทอดสดด้วย ตามเก็บข้อมูลค่ะ 4 ธันวา จะได้ตามรอยคุณป้าฟูไปแล้ว พม่าเสียเมืองเคยอ่านมาชาติหนึ่งแล้ว เดี๋ยวไปหาซื้อมาอ่านอีกรอบดีกว่า จากคุณ : scuba734 เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 05:51:22

ความคิดเห็นที่ 26 ขึ้นไปถึงด้านบน...  แหม...ทหารยามกำลังจีบสาวกันอยู่เห็นๆ ...  หมั่นไส้...อย่ามาทำ จี๊ดกะไฟ แถวนี้นะ...   สาวน้อยพอเห็นป้ายกกล้องก็รีบหลบ....  แหม...มีตระกร้าปิคนิคมาด้วย...กีต้าร์ล่ะอยู่ไหน... อิอิอิ....ขออภัย..ป้ากำลังติดละครงอมแงม...เห็นอะไรก็ไปเป็นฟายขาไปหมด.... จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 05:54:46

ความคิดเห็นที่ 27 สวัสดีค่ะ   คุณ scuba734     ป้าก็เคยอ่านมาตั้งแต่ชาติที่แล้วเหมือนกันค่ะ   ก่อนไปหลังไปก่อนทำรีวิวและกำลังทำรีวิว  ก็ต้องมาอ่านอีก   รวมแล้วหลายรอบ   ดีที่มีสะสมไว้ติดบ้านตั้งหลายปีมาแล้ว... ฮั่นแน่...เจอแล้วสาวน้อย...  มายืนเหนียมอายอยู่นี่เอง    เออ..ไม่ฟ้องเจ้านายหรอกน่า.... ป้าเริ่มมองหาแม่น้ำอิระวดี...   เอ...ไม่ใช่ด้านนี้แน่ๆ มีแต่ต้นไม้... จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 05:59:12

ความคิดเห็นที่ 28 ด้านนี้ก็ไม่เห็นมีแม่น้ำตรงไหน... จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 06:00:27

ความคิดเห็นที่ 29 ไหนล่ะยะ...แม่น้ำที่เธอว่า....คุณเพื่อนเริ่มทำหน้าหงิก   หลอกให้ฟังเรื่องที่ป้าโม้ตั้งนาน.... เอ๊ะ...ในหนังสือเขาบอกว่ามันมองเห็นนี่นา...หรือว่าแม่น้ำมันเปลี่ยนทางเดินมั๊ง  ก็มันนานเป็นร้อยปีแล้วนี่....  ป้าก็พยายามหาเหตุผลกันหน้าแตก 5555555...ก๊าก...ก๊าก...ก๊าก....   คือคำตอบจากเพื่อนตัวแสบ จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 06:04:31

ความคิดเห็นที่ 30 แม่น้ำที่ไหนเปลี่ยนทางเดิน...เกิดมาไม่เคยได้ยิน...  อ้าว..แล้วกัน...  มีจริงๆ นะเออที่แม่น้ำเปลี่ยนทางเดินได้   มันเกิดขึ้นไม่บ่อยนักแต่ก็เคยเกิดขึ้นแล้ว     แม้แต่แม่น้ำที่ไหลผ่านบ้านของแม่เธอก็เคยเปลี่ยนมาแล้ว   เมื่อสักเกือบๆ ร้อยปีมาแล้ว    เพราะป้าเคยไปนั่งคุยกับผู้เฒ่าผู้แก่ผู้ที่มีอายุเกือบร้อยปีแถวนั้นเล่าให้ฟัง มิใช่ผู้จัดการเท่านั้นนะที่จะเปลี่ยนแปลง   แม่น้ำก็เปลี๋ยนไปได้เหมือนกั๊นนนน.... ใครหาแม่น้ำเจอป้าให้สองร้อยเลยเอ๊า....(จั๊ต..) จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 06:15:37

ความคิดเห็นที่ 31 ทนฟังเสียงหัวเราะเยาะเย้ยจากคุณเพื่อนไม่ไหว....ลงดีกว่า...   อิอิอิ... จริงๆ แล้ว ขี้เกียจยืนดมกลิ่นฉี่บนนั้นมากกว่า     ผู้ต้องสงสัยก็ทหารยามนี่แหละ   จะเข้าห้องน้ำก็ขี้เกียจเดินลง....  วันหลังใครไปเอากระบอกใส่ฉี่ไปฝากเขาสักหน่อยก็คงจะดีนะ.... จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 06:20:33

ความคิดเห็นที่ 32 อากาศร้อนๆ แบบนี้..นี่เลย..  มันต้องน้ำส้มสักขวด...   เฮ้...ป้า...ไม่เนียนเลย   ทำท่าเปิดขวด  แต่น้ำส้มทำไมเหลือไม่ถึงครึ่งขวดล่ะ... แหะ..แหะ...ดื่มไปเกือบหมด...นึกขึ้นได้...   ไอ้ที่เปิดขวดมันสุดแสนเท่ห์   ต้องเอารูปมาฝากห้องบลูเสียหน่อย     แก่แล้วก็เลยคิดช้าน่ะ.... จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 06:23:45

ความคิดเห็นที่ 33 ใครเป็นคนต้นคิดนะ...เจ๋งจริงๆ    ที่เปิดขวด..ภูมิปัญญาชาวพม่า.. จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 06:25:27

ความคิดเห็นที่ 34 คณะของพระเจ้าสีป่อที่อยู่อาศัยในอินเดีย  ก็ยังหรูหราฟุ่มเฟือยอยู่เช่นเดิม   เงินปีที่ได้รับพระราชทานจากอังกฤษไม่เพียงพอ  ทำให้พระเจ้าสีป่อต้องจำนำพระราชทรัพย์ของมีค่าที่ติดตัวมาอยู่เนืองๆ  เพื่อนำเงินมาจับจ่ายใช้สอย  ทำให้ต้องทรงตกเป็นเหยื่อของพ่อค้าหน้าเลือด...ที่คอยจ้องเอาเปรียบอยู่ตลอดเวลา เช่นเพชรเม็ดใหญ่ที่มีค่าสองแสนรูปี   ต้องหลุดจำนำตกไปเป็นของเจ้าหนี้ด้วยเงินเพียงสี่หมื่นรูปีเท่านั้น...   สาธุ...กรรมใดใครก่อ.... จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 06:32:58

ความคิดเห็นที่ 35 ตามมาเที่ยวเมืองมัณฑเลย์กับป้าฟูค่ะ พม่าเคยไปแค่ย่างกุ้ง ยังไม่เคยไปภาคเหนือเลย ขอบคุณสำหรับรีวิวสวยๆนะคะ จากคุณ : Memories pink เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 06:43:51

ความคิดเห็นที่ 36 ตอนที่ป้าไปเขาให้รถยนต์นำเที่ยวของป้าจอดอยู่ที่กำแพงเมืองด้านนอก   แล้วก็ต้องเดินอย่างไกลเพื่อไปชมพระราชวังมัณฑเลย์    ผ่านบ้านพักของทหารที่อยู่ริมทาง...  เลี้ยงทั้งวัว..ทั้งอะไร...เหมือนเป็นหมู่บ้านใหญ่ๆ แห่งหนึ่งทีเดียว ถ้าไม่ชอบเดินก็มีสามล้อที่ต้องหันหลังชนกันให้บริการ จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 06:50:35

ความคิดเห็นที่ 37 สวัสดีค่ะ   คุณ Memories Pink    เมืองทางเหนือของพม่าน่าเที่ยวมากค่ะ...   ป้าไปแล้วก็ติดใจ.... ไปต่อกันที่ วัดชเวนันดอ  ซึ่งมีพระตำหนักที่เดิมเคยเป็นที่ประทับของพระเจ้ามินดงจนวาระสุดท้ายในพระราชวังหลวง     เมื่อพระเจ้ามินดงสวรรคต  พระเจ้าสีป่อผู้ครองราชย์ต่อมาทรงรังเกียจ    จึงสั่งให้รื้อแล้วเอามาถวายไว้ที่วัดแห่งนี้ ทำให้ตำหนักนี้เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่หลงเหลืออยู่หลังจากที่พระราชวังหลวงถูกไฟไหม้หมด     ตำหนักนี้แสดงให้เห็นถึงฝีมือของช่างพม่าว่ามีความงดงามเพียงใด จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 07:00:21

ความคิดเห็นที่ 38 แต่ไม่ว่างานไม้แกะสลักจะงดงามเพียงใด....    ก็หลังคาสังกะสีค่ะ....นิยมกันจริ๊งงงงง ประเทศนี้ จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 07:02:00

ความคิดเห็นที่ 39 มุมยอดนิยม...  ใครๆ ก็มาถ่ายรูปที่นี่... จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 07:03:35

ความคิดเห็นที่ 40 เดินชมพระตำหนักชเวนันดอจนทั่ว   ก็มานั่งชมที่ข้างล่างใต้ต้นมะขวิด...กำลังออกลูกห้อยต่องแต่ง...  อย่าหล่นมาใส่หัวกันเน้อ.... จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 07:05:06

ความคิดเห็นที่ 41 เดินเล่นชั้นใต้ถุนของพระตำหนักชเวนันดอ...   เสาแต่ละต้นประดับด้วยพญานาคราชแกะสลักอย่างสวยงาม จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 07:06:22

ความคิดเห็นที่ 42 ตามมาเที่ยวด้วยครับ รูปถ่ายมาสวยจังครับ จากคุณ : nonneena เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 07:08:19

ความคิดเห็นที่ 43 มองเข้าไปในใต้ถุนด้านใน.....มะ...มะ...มะ..มะ...มัน..คะ..คือ..อะไรน่ะ....   บรื๋อสสสสส์...    เหมือน...อย่างว่าจัง.... ใครรู้ช่วยบอกหน่อยค่ะ...ว่าเขาเอาไว้ทำอะไร  ทำไมถึงได้ก่อปูนขาวๆ สี่เหลี่ยมไว้ใต้ถุนแบบนี้..... เหมือนที่เก็บอะไร..ที่ป่าช้าเลย    .... ถอยยยยย....ดีกว่า...  ม่ายเอาวววว...ดีกว่า....  ฟิ้ววววว... แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 53 10:27:49 จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 07:09:06

ความคิดเห็นที่ 44 วัดที่อยู่ใกล้ๆ กัน  ชื่อไรมิรู้ค่ะ รู้แล้วๆๆๆ ค่ะ   ไปค้นหาซะหลายวัน  ชื่อ วัดอะตุ๊หม่าชิ   วัดนี้เคยมีอารามที่งามที่สุดในเมือง   แต่ถูกไฟไหม้ไปหมดเมื่อปี ค.ศ. 1890   ดังนั้นโบสถ์ที่เราเห็นในปัจจุบันเป็นของที่สร้างขึ้นใหม่ค่ะ แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 53 09:58:10 จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 07:11:12

ความคิดเห็นที่ 45 ตัวโบสถ์รูปทรงแปลกตาของวัดอะตุ๊หม่าชิ แก้ไขเมื่อ 19 พ.ย. 53 09:59:02 จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 07:12:03

ความคิดเห็นที่ 46 พระตำหนักชเวนันดอ สวยงามน่าไปดูไปชมมากๆครับ จากคุณ : TeeChoco เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 07:20:14

ความคิดเห็นที่ 47 Good morning somewhere ค่ะป้าฟู เข้ามาเรียนวิชาประวัติศาสตร์กะป้าฟูดีก่า.. ประวัติศาสตร์ไม่บิดเบือนชิมิค่ะ 55+ ล้อเล่นค๊า.. ว่าแต่ว่า คห.26 มุมที่ทหารกะสาวน้อยกะลังกะหนุงกะหนิงกันน่ะค่ะ ตรงเสาแดง ๆ นี่มีคนเขียนอะไรเต็มไปหมดเลย เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์รึป่าวคะ หรือพวกมือ... นิสัยม่ายดีเลยนิ จากคุณ : หนูกิตหอ 4 ชาย เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 07:31:18

ความคิดเห็นที่ 48 ได้ยินว่ามัณฑเลย์สวย มาตั้งนานแล้วครับ มาเห็นเต็มๆ ในรีวิวนี้ บอกได้เลยว่าเลยสมคำล่ำลือจริงๆ ครับ ขอบคุณสำหรับรีวิวสวยๆ นะครับ จากคุณ : นายโอเลี้ยง (ปลาหมึกน้อยกับนายโอเลี้ยง) เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 07:43:41

ความคิดเห็นที่ 49 ดูยิ่งใหญ่ อลังการมากๆ เลยครับ ขอบคุณคร้าบ ป้าฟุ จากคุณ : One Light One Shadow เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 07:46:37

ความคิดเห็นที่ 50 อ่านเพลินเลยค่ะป้าฟู นึกถึงตอนเด็ก ๆ ที่อ่านพม่าเสียเมือง ขอแว๊บไปสอนก่อนล่ะค่า   จากคุณ : แม่ซากานะ เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 08:03:25

ความคิดเห็นที่ 51 ขอบคุณครับ ป้าฟู เก็บข้อมูล ไว้ปีหน้า แฮะ ๆ   จากคุณ : นายฟ้าใส เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 08:19:46

ความคิดเห็นที่ 52 .... ตามมาเที่ยวพม่ากับป้าฟูต่อครับ จากคุณ : the Sixth Floor เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 08:21:08

ความคิดเห็นที่ 53 สวัสดีค่ะ   คุณ nonneena    ขอบคุณนะคะ  เมืองของเขาสวยและมีมุมให้ถ่ายรูปเยอะด้วยค่ะ คุณ TeeChoco   เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง  งานแกะสลักของพระตำหนักนี้สุดยอดฝีมือในพม่าแล้วค่ะ คุณ หนูกิตหอ 4 ชาย    ป้าก็ว่าตามหนังสือของท่านคึกฤทธิ์น่ะค่ะ  เดาว่าคงไม่ผิดนะคะ...อิอิอิ...     มีคนมือบอนไปเขียนไว้เต็มไปหมดค่ะ...  มันน่านัก... คุณ One Light One Shadow     ของจริงก็สวยค่ะ   เมืองนี้น่าเที่ยวมากไม่ไกลจากเมืองไทยเท่าไรเลย... ฟิ้ววววววว....  รอดตัวไป...ไม่มีภาษาไทยจารึกอยู่บนเสา ยอดหอคอย จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 08:36:00

ความคิดเห็นที่ 54 สงสัยว่า ต้นเสาทาปูนเพื่อป้องกันปลวกมั้งครับ และก็สงสัยว่าที่ป้าฟูไม่สามารถมองเห็นแม่น้ำอิระวดีได้ก็เพราะต้นไม้ขึ้นบังสายตาหมดนะครับ จากคุณ : Innocent เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 08:37:22 A:96.255.194.62 X: TicketID:141679

ความคิดเห็นที่ 55 สวัสดีตอนเช้าครับป้าฟู พระราชวังสร้างใหม่ถึงจะดูสวยงามดี แต่ว่าก็ขาดคุณค่าทางประวัติศาสตร์ไปเยอะเลยนะครับ ดูแล้ว ก็ให้รู้สึกภูมิใจว่าเมืองไทยเรายังมีโบราณสถานอยู่คู่บ้านคู่เมืองเราอีกมากมาย จากคุณ : kriengchai เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 08:45:55

ความคิดเห็นที่ 56 มาเป็นลูกทัวร์คุณป้าฟูคนสวย ค่ะ จากคุณ : cultureclub เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 08:49:49

ความคิดเห็นที่ 57 สวัสดีค่ะ   คุณ  นายโอเลี้ยง    ตอนที่ไปถึงมัณฑเลย์วันแรกป้าก็ไม่ชอบค่ะ   แต่พอไปโน่นนี่หลายแห่ง   ตอนนี้ชอบแล้วค่ะ คุณ แม่ซากานะ    ต้องอ่านของจริงอีกรอบค่ะ   สนุกจนวางกันไม่ลงทีเดียว   ขนาดท่านคึกฤทธิ์เขียนมาหลายสิบปีแล้ว   มาอ่านวันนี้ก็ยังชอบอยู่เลยค่ะ   ป้าอ่านมาหลายรอบแล้วนานๆ ก็หยิบขึ้นมาอ่านสักที... คุณ นายฟ้าใส    อ่านประวัติศาสตร์ก่อนไปเที่ยวเยอะๆ ค่ะ  จะได้สนุกเวลาเห็นของจริง คุณ the Sixth Floor   วันนี้ชมเมืองแบบนักท่องเที่ยว..สบายๆ ค่ะ    ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นเท่าไร โอ่งใบเล็กใส่น้ำไว้ให้ผู้หิวกระหายได้ดื่มกิน   เมืองไทยสมัยก่อนตามชนบท...  ชาวบ้านก็จะตั้งโอ่งดินแบบนี้ไว้หน้าบ้านแทบทุกหลังคาเรือน  เพื่อผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ดื่มให้ชื่นใจ   เพราะโอ่งดินจะทำให้น้ำเย็นกว่าอุณหภูมิภายนอก.... โอ่งแบบนี้ก็ถือว่าเป็นหน้าเป็นตาของเจ้าของบ้านทีเดียว   ถ้ามันสะอาดมีน้ำเต็มเปี่ยมตลอดเวลา   ก็ถือว่าคนบ้านนี้เป็นคนขยันน่าชื่นชม   แต่ถ้ามันสกปรกก็ได้ถูกนินทาไปทั่วหมู่บ้านอย่างแน่นอน จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 08:52:27

ความคิดเห็นที่ 58 สวัสดีค่ะ  ป้าฟู   ตามมาเที่ยวต่อ   ข้อมูลประวัติศาสตร์ปึ้กมากเลยค่ะ  ^_^ จากคุณ : ชอบกินชอบเที่ยว เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 08:56:02

ความคิดเห็นที่ 59 มาเมียงๆมองๆ  มัณฑเลย์ ..เมียนม่าร์...กับป้าฟู  พร้อมทั้งขออนุญาตเก็บเข้าคลังกระทู้ของ(ตัวเอง)  เผื่อปีหน้าจะตามรอยแบบไม่ต้องคิดบ้าง  ขอบคุณค่ะ จากคุณ : ป้าเกษ (inhouse) เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 08:58:49

ความคิดเห็นที่ 60 สวัสดีค่ะ   คุณ Innocent   ป้าหมายถึงไอ้ที่ก่อปูนสี่เหลี่ยมเป็นห้องๆ อยู่ใต้ถุนน่ะค่ะ   มันเหมือน...ที่เก็บ...อะไรซักอย่าง...บรื๋อสสส... คงจะจริงมั๊งคะที่ต้นไม้บังจนมองไม่เห็นแม่น้ำ   ดูจากแผนที่แล้วมันก็ไม่น่าจะไกลกันเท่าไรค่ะ คุณ kriengchai    เห็นด้วยค่ะ  ของสร้างใหม่ไม่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์เท่ากับของดั้งเดิมแน่นอน   คุณ cultureclub      ตามมาเที่ยวเลยค่ะ   หัวหน้าทัวร์คนนี้ปล่อยไก่เป็นเล้าอยู่บ่อยๆ ยานพาหนะสำหรับการท่องเที่ยววันนี้ค่ะ จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 08:59:38

ความคิดเห็นที่ 61 สวัสดีครับป้า  ผมไปเที่ยวพม่าด้วยครับ จากคุณ : ชายเอ ทุ่งรังสิต เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 09:03:49

ความคิดเห็นที่ 62 ซ้ำครับ แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 53 09:05:17 จากคุณ : ชายเอ ทุ่งรังสิต เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 09:04:29

ความคิดเห็นที่ 63 ไปเที่ยวต่อครับป้าฟู อ่านเพลินเลยทีเดียว จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 09:14:57

ความคิดเห็นที่ 64 สวัสดีค่ะ คุณ ชอบกินชอบเที่ยว     ข้อมูลก็อ่านมาจากหนังสือ พม่าเสียเมือง ค่ะ   อ่านแล้วก็...สยดสยอง...ใจร้ายกันจริงๆ พวกเจ้านายชั้นสูงสมัยก่อน คุณ ป้าเกษ   ตามสบายเลยค่ะ   อย่างนี้ป้าฟูยิ่งต้องตั้งใจทำรีวิวไม่งั้นหน้าแตกแน่ๆ คุณ ชายเอ  ทุ่งรังสิต     กำลังจะไปวัดอีกแห่งหนึ่งค่ะ     ถอดรองเท้าแล้วไปลุยกันเลยค่ะ คุณ ม่วงมหากาฬ     ขอบคุณค่ะลุงม่วง     ไปเที่ยวกันอีกวัดค่ะ     ไปพม่าก็เงี้ยะ...มีแต่...วัดกับวัด...นานๆ ก็มีวังมาคั่นเสียหน่อย ใครจะเข้าประตูวัดไปเที่ยวกับป้าก็ต้องถอดรองเท้าไว้นะคะ   ถือเข้าไปได้แต่ห้ามใส่เด็ดขาด    ไม่ว่าจะเดินบนดินบนอะไรก็ช่าง....    โอยยยย....อยากดูก็ต้องทน... จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 09:18:23

ความคิดเห็นที่ 65 วัดนี้ชื่ออะไรจำไม่ได้    แต่มันคล้ายๆ กับพระตำหนักวัดชเวนันดอมาก   เพียงแต่การแกะสลักไม้ไม่สวยงามเท่า จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 09:20:18

ความคิดเห็นที่ 66 บันไดทางขึ้นวัดมีลวดลายกนกคล้ายๆ ลายกนกของเมืองไทยจัง   ตกลงใครลอกใครมาเนี่ย.... จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 09:21:37

ความคิดเห็นที่ 67 ผนังไม้จะไม่มีการแกะสลักลวดลายวิจิตรพิศดารแบบ ตำหนักวัดชเวนันดอ จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 09:26:17

ความคิดเห็นที่ 68 ^ ^ มาปาดและแปะโป้งไว้ก่อน เดี๋ยวจะมาตามป้าฟูไปเที่ยวและเก็บข้อมูล  ขอเยอะๆเลยนะค่ะ จากคุณ : so long phr เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 09:29:18

ความคิดเห็นที่ 69 สวัสดีค่ะ  คุณ so long phr    ข้อมูลป้าก็จำได้มั่งไม่ได้มั่ง  ขออภัยมา ณ ที่นี้เลยค่ะ      เวลาเขาบอกชื่อวัดถ้าไม่ได้จดไว้ก็ลืมไปหมด   วัดนี้ก็คิดว่าจะมาหาชื่อในหนังสือท่องเที่ยว   แต่มันไม่ใช่สถานที่ยอดนิยมก็เลยไม่มีค่ะ แบบนี้หรือเปล่าที่เขาเรียกกันว่า ลั่นดาลประตู จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 09:36:33

ความคิดเห็นที่ 70 เห็นชื่อ " ป้าฟู " พลาดดู Review ก็คงจะเสียดายจริงๆ ครับ หลายๆ รูป ชอบมากเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงของหลังคาพระตำหนัก และอาคารอื่นๆ เพราะเมืองไทยหาดูแบบนี้ได้...ยาก ขอบคุณสำหรับ Review และภาพสวยๆ จากคุณ : Greenapple1 เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 09:39:09

ความคิดเห็นที่ 71 มองลงมาจากชั้นบน  เห็นลานดินวัดที่เอี่ยมเร้เรไรแสดงว่าพระและลูกวัดที่นี่ขยันกันดีมาก       ดินละเอียดๆ แบบนี้คล้ายกับดินที่บ้านของยาย  ตอนเด็กๆ ป้าชอบจะไปเล่นขายหม้อข้าวหม้อแกงที่ลานดินแบบนี้กับเพื่อนๆ     พวกเราจะเอาดินมาผสมน้ำให้ข้นเป็นโคลนเหลวๆ ใส่ไว้ในกะลามะพร้าวที่ไม่มีรู    และจะใช้ช้อนสังกะสีเก่าๆ ที่ผู้ใหญ่เขาทิ้งแล้ว ขุดดินให้เป็นหลุมเล็กพอประมาณ     แล้วก็เอาช้อนตักโคลนหยอดเข้าไปที่หลุม   รอให้มันแห้งสักหน่อยก็ตักมันขึ้นมา  กลายเป็นขนมครก  ออกเร่ขายให้กับผู้ใหญ่แถวนั้นที่ต้องซื้อขนมขี้ดินของป้าด้วยความจำใจ...   บางทีก็ทำขนมครกให้มันวิจิตรพิสดารเสียหน่อย   ด้วยการไปเด็ดดอกและใบพู่ระหงมาหั่นซอยเล็กๆ เอาไว้โรยหน้า   ตี๊ต่างว่าเป็นผักช่วยสร้างสีสันให้กับอาหารของป้า...   หลุมนั้นเมื่อใช้ไปนานๆ มันก็ลึกและกว้างมากขึ้นทุกที   ทำให้ขนมครกของป้าอันใหญ่ไปด้วย   จึงต้องเปลี่ยนที่กันบ่อยๆ ช่วงปิดเทอมใหญ่ทุกปี..  ลานดินที่บ้านยายของป้าเต็มไปด้วยหลุมด้วยบ่อเล็กๆ .....  ไม่รู้ว่าทำไม.... แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 53 10:02:09 จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 09:48:23

ความคิดเห็นที่ 72 ราชรถนำเที่ยว จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 10:04:31

ความคิดเห็นที่ 73 สวัสดีค่ะ   คุณ Greenapple1   ขอบคุณสำหรับกำลังใจ   ทำให้ป้ามีแรงขยันทำการบ้านขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ... แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 53 10:12:55 จากคุณ : ป้าฟู (ป้าฟู) เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 10:12:04

ความคิดเห็นที่ 74 นักท่องเที่ยวตีนเปล่า...   หาพบได้ตามวัดทุกแห่งทั่วไปในประเทศพม่า... จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 10:14:18

ความคิดเห็นที่ 75                หลับไปงีบนึง มาดูใหม่ ป้าฟูยังอยู่อีกแฮะ               จากคุณ : หนุ่ม ณ วันวาน เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 10:47:43

ความคิดเห็นที่ 76 ขอแถมประวัติศาสตร์อีกนิดนะคะ เมื่ออังกฤษยกทัพเรือขึ้นมาตามแม่น้ำอิระวดีจนมาถึงเมืองเมียงยาน    อันเป็นเมืองที่เจ้ากรมเรือหลวงของทัพพม่ายกทัพหน้าไปรอทำศึกด้วยอยู่ ทหารอังกฤษทั้งปวงตั้งแต่นายทัพลงไป  ก็ได้เห็นภาพอันน่าตื่นตาตื่นใจ   ทหารพม่ายืนอยู่แน่นขนัด  ถือหอก ดาบ ปืน และ เกาทัณฑ์  แต่งกายกันด้วยผ้าสีต่างๆ ตามหมวดหมู่กรมกอง  ดูดาษไสวไปด้วยธงเทียวประจำหมู่ มีสีเขียว สีเหลือง สีขาว สีแดง ภู่ปลายทวนและทิวยอดหอกนั้น  สบัดอยู่ท่ามกลางสายลม เสียงฆ้องเสียงกลองและเสียงช้างม้าก็ดังสนั่นอื้ออึงไปทั่ว...   มีทหารพม่าออกมาเซิ้งหน้าทัพเข้ากับจัดหวะฆ้องกลอง (เต้นระบำรำเซิ้งกลางสนามรบเนี่ยนะ...คิดกันได้ไง...)     ท้าทายข้าศึกอยู่อย่างองอาจ แม่ทัพพม่านั้นยืนช้างกั้นสัปทนประกอบด้วยกระบวนอิสริยยศ  มีคนเชิญธงชัยมยุระและธงฉาน  พร้อมด้วยเครื่องยศและดุริยดนตรีประโคมอยู่    นายกองนายหมวดทั้งปวงนั้นก็แต่งเต็มยศด้วยแพรพรรณหลากสี    เป็นภาพที่สง่างามน่าชมยิ่งนัก และครั้งนี้ก็เป็นครั้งสุดท้ายของประวัติศาสตร์พม่าหรืออาจจะของโลกด้วยก็ได้  ที่มีการตั้งกองทัพตามตำราพิชัยสงครามในสมัยโบราณ จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 10:49:24

ความคิดเห็นที่ 77 สวัสดีค่ะ  คุณ หนุ่ม ณ วันวาน   ใกล้จะไปแล้วค่ะ   ว่าจะให้จบแต่ไม่ไหวคงต้องมาต่อวันพรุ่งนี้.... ประวัติศาสตร์ช่วงนี้คนไทยอ่านแล้วคงจะรู้สึกปลงอนิจจังบ้างนะคะ   พม่าทำให้เราเสียกรุงศรีอยุธยาไป   คราวนี้ก็ถึงตาของพม่าบ้าง...ใครที่ยังโกรธพม่าอยู่ก็ให้อภัยเขาได้แล้วนะค้า.... ทหารอังกฤษเมื่อได้เห็นภาพที่น่าประทับใจเหมือนออกมาจากหนังสือพงศาวดารอย่างนั้น   ก็ตกตะลึงตื่นตาตื่นใจไม่กล้าจะลงมือทำอะไรเป็นนานสองนาน   แต่สงครามก็เป็นสงคราม..    ในที่สุดแม่ทัพอังกฤษจึงจำใจสั่งให้ระดมปืนใหญ่เข้าไปในภาพอันงดงามเหล่านั้น   ไม่นานนักกองทัพของพม่าก็แตกพ่ายไป อังกฤษก็เข้ายึดเมืองเมียงยานไว้ได้   ชาวเมืองก็พากันมาต้อนรับทหารอังกฤษด้วยความยินดีปรีดา   ทหารอังกฤษก็ตกใจต่างนึกว่าเป็นกลอุบายอะไร   แต่เมื่อสอบถามดูจึงรู้ว่าเมื่อกองทัพหน้าของพม่ามาเตรียมรับอังกฤษที่เมียงยานนี้   ชาวบ้านชาวเมืองได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัส  ทหารพม่าได้หยิบฉวยทรัพย์สมบัติตลอดจนลูกเมียชาวบ้านเอาตามใจ   ผู้ใดขัดขืนก็ใช้อาญาทัพลงโทษเฆี่ยนตีหรือฆ่าฟันเสีย พรุ่งนี้มาต่อนะคะ จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 11:01:55

ความคิดเห็นที่ 78                           ราตรีสวัสดิ์ครับ (เวลาป้าฟู)                                   จากคุณ : หนุ่ม ณ วันวาน เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 11:57:23

ความคิดเห็นที่ 79 เป็นรีวิวที่มีเนื้อหาประวัติศาสตร์ให้อ่านได้อย่างสนุกและน่าติดตามมาก ๆ เลยค่ะป้าฟู อ่านแล้วก็ให้จินตนาการไปด้วย ตื่นเต้นไปด้วยค่ะ ขอบคุณป้าฟูมาก ๆ เลยนะคะ จะรอติดตามต่อนะคะ จากคุณ : Yai Klong_Tour Rai เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 12:01:24

ความคิดเห็นที่ 80 สวัสดีค่ะคุณป้าหนูไม่ได้ไปแต่หนูดีใจที่ได้ดูขอบคุณภาพสวยๆค่ะ จากคุณ : ต้นโมกกับโยกเยก (ต้นโมกกับโยกเยก) เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 12:20:29

ความคิดเห็นที่ 81 อยากไปจัง จากคุณ : tiger's nest เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 12:34:52

ความคิดเห็นที่ 82 ตามมาเจาะลึกเมียนมาร์กับน้องป้าฟูต่อค่ะ จากคุณ : เตี้ยอ้วนชวนไถล เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 13:16:15

ความคิดเห็นที่ 83 อยากไปมากมาย ขอบคุณค่ะ จากคุณ : I'am always girl เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 13:44:24

ความคิดเห็นที่ 84 ขอบคุณมากๆครับผม จากคุณ : digimontamer เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 13:57:55

ความคิดเห็นที่ 85 เข้ามาชมรีวิวคุณป้าฟูได้เที่ยว ได้ความรู้ และสนุกด้วยค่ะ ตอนที่ป้าฟูเดินขึ้นหอคอยแอบจินตนาการถึงแม่น้ำอิระวดีน่าเสียดายจังที่ไม่เห็นน่ะค่ะ พระตำหนักชเวนันดอก็สวยงาม ขอบคุณป้าฟูมากนะคะ รอชมต่อค่ะ ^^ จากคุณ : คืนไร้ดาวพราวแสงจันทร์ เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 14:27:57

ความคิดเห็นที่ 86 ตามดูรีวิวป้าฟูอีกตอน จากคุณ : englefield เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 17:12:45

ความคิดเห็นที่ 87 ขอบคุณมากครับที่พาไปเที่ยว  สวยมากครับ จากคุณ : เล็กทาโร่ เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 19:27:21

ความคิดเห็นที่ 88 สวยมากครับ  คงต้องหาโอกาสไปอย่างแน่นอน  เคยไปแต่ย่างกุ้ง กับ หงสาวดี จากคุณ : แป๊ะแก่ เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 19:59:54

ความคิดเห็นที่ 89 สวยงามมากๆ เรื่องราวและข้อมูลก็สุดยอดมากๆเลยครับ ขอบคุณสำหรับรีวิวนะครับ จากคุณ : tataweb เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 20:25:54

ความคิดเห็นที่ 90 หนูตามมาเที่ยวพม่าต่อค่ะ ขอบคุณสำหรับรีวิวและข้อมูลมากๆนะคะ จากคุณ : สาวหน้าใส เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 20:33:18

ความคิดเห็นที่ 91 เข้ามาชม ป้าฟู พาเที่ยวครับ ดูสวยออก ไม่แก่อย่างที่คิดไว้เลย...ฮา จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 53 21:11:50