ความคิดเห็นที่ 1   ตื่นขึ้นมาเรารีบอาบน้ำอาบท่าลงมากินข้าวเช้าแล้วออกเดินทางกันเลยครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 06:36:58

ความคิดเห็นที่ 2   เรามายืนโบกรถแดงที่หน้าโรงแรมเพื่อที่จะไปศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ แต่ว่าพี่รถแดงเรียกราคาเราซะจนไม่กล้าต่อเลยครับ ทั้งๆที่ศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ ไม่ไกลมากเลย .... แอบอารมณ์เสียหน่อยๆ ก็เลยไปไหว้พระก่อนดีกว่า .... โบกรถแดงได้ 1 คัน "ไปวัดเชียงมั่นครับ" นั่งรถไปซักพักคุณลุงเริ่มขับรถข้ามคูเวียง..... "เฮ๊ยยยยย.....วัดเชียงมั่นมันอยู่ในคูเวียงนี่นา..." แล้วลุงเค้าก็มาจอดที่นี่ครับ....... จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 06:47:04

ความคิดเห็นที่ 3   ปาดดดดดด ตามพี่ทนายอ้วนไปเจียงใหม่ด้วยเจ้า จากคุณ : นมขาวเย็น เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 06:47:33

ความคิดเห็นที่ 4   เอาก็เอา.... ไหว้วัดนี้ก่อนก็ได้ .....เพราะยังไงๆก็ต้องมาวัดนี้อยู่แล้ว จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 06:48:24

ความคิดเห็นที่ 5   คุณ : นมขาวเย็น  ------ อ้าวววววว..... ทำไมตื่นเช้าจังครับ.....หรือว่าติดอยู่ที่ทำงานเนี่ย อิอิอิอิ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 06:49:31

ความคิดเห็นที่ 6   “วัดเชียงยืน” หรือในเอกสารโบราณเช่นพงศาวดารโยนกอาจเรียกว่า “วัดฑีฆชีวะวัสสาราม” หรือในตำนานชินกาลมาลีปกรณ์เรียกว่า “วัดฑีฆายวิสาราม” หรือ “ฑีฆาชีวิตสาราม” ซึ่งล้วนแล้วแต่หมายถึงชีวิตที่ยืนยาวทั้งสิ้น เฉกเช่นชื่อวัดที่เรียกกันโดยทั่วไปนั่นเอง ทำให้หลาย ๆ คนต่างมุ่งที่จะได้ไปไหว้ไปสาที่วัดแห่งนี้ในวันสำคัญ ๆ ไม่ว่าจะเป็นวันปีใหม่สากล วันปีใหม่ไทย เป็นต้น ความเป็นมาของวัด ยังไม่แน่ชัด แต่ก็มีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับที่มาเอาไว้ตามเอกสารของทางวัดว่าไว้ว่า น่าจะสร้างในสมัยพระญามังราย ด้วยสร้างไว้ให้เป็นคู่กันกับวัดเชียงหมั้น(เชียงมั่น) ที่เป็นวัดแรกในเวียงเชียงใหม่ ส่วนวัดเชียงยืนเป็นวัดที่สอง สร้างไว้นอกเวียงทางด้านหัวเวียง เพื่อให้มีความหมายว่า “มั่นคง” และ “ยั่งยืน” นอกจากนี้ ยังสร้างไว้ให้เป็นที่สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา สำหรับศรัทธาข้าเมืองทั้งหลายที่อยู่รอบนอกกำแพงเมือง ยามเมื่อประตูเมืองปิดลง จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 06:50:53

ความคิดเห็นที่ 7   การกล่าวถึงวัดเชียงยืนครั้งแรกนั้น ได้ปรากฏอยู่ในเอกสารที่ชื่อว่า ชินกาลมาลีปกรณ์ ที่รจนาโดยพระรัตนปัญญาเถระ ผู้เป็นปราชญ์แห่งล้านนาท่านหนึ่ง ซึ่งกล่าวไว้ว่า เมื่อปีเถาะ จุลศักราช ๘๘๑ (พ.ศ. ๒๐๖๒) พระเมืองแก้วและมหาเทวีพระมารดา “ได้กระทำการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระสถูปใหญ่ที่วัดทีฆาชีวิตสาราม เมื่อวันพุธ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๓” ส่วนในปีถัดมา “ปีมะโรง จุลศักราช ๘๘๒ (พ.ศ. ๒๐๖๓) ฝ่ายพระราชากับพระราชมารดาได้โปรดให้จัดงานยกฉัตรมหาเจดีย์วัดทีฆาชีวิตสาราม เมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๘ ยามเที่ยง” ทำให้เชื่อกันว่า เจดีย์วัดเชียงยืนแห่งนี้สร้างในสมัยพระเมืองแก้ว และได้มีการบูรณะกันเรื่อยมา จนถึงปัจจุบัน องค์เจดีย์เป็นเจดีย์ทรงกลม ฐานเหลี่ยมสูง ย่อเก็จ มีรูปปั้นสิงห์ตัวใหญ่ ๑ ตัว เล็ก ๒ ตัวประดับมุมฐานเจดีย์ทั้ง ๔ ทิศ กอปรกับตัวองค์เจดีย์นั้นได้มีการประดับด้วยดอกไม้สีทองอยู่ทั่วไปอีกด้วย จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 06:51:37

ความคิดเห็นที่ 8   จนเมื่อวันจันทร์ ที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้มีการบวงสรวงอัญเชิญยอดฉัตรเจดีย์ลงเพื่อทำการบูรณะใหม่ ปรากฏว่ามีการพบองค์พระธาตุซึ่งประดิษฐานอยู่บริเวณข้างในดอกบัวตูมยอดฉัตร จำนวน ๗ องค์ และได้อัญเชิญนำไปประดิษฐานไว้ในวิหารพระสัพพัญญูเจ้า เพื่อรอการอัญเชิญนำขึ้นประดิษฐานที่เดิม ยามที่ทำการบูรณะเสร็จสิ้นแล้ว จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 06:52:35

ความคิดเห็นที่ 9   ส่วนจุดที่ทำให้วัดเชียงยืนกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ ที่ผู้จักครองเมืองเชียงใหม่จะต้องมาทำการสักการะพระสัพพัญญู พระประธานในวิหารวัดเชียงยืนเสียก่อนทุกคราไปนั้น มาจากสมัยของพระไชยเชษฐาธิราช หรือในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่เรียกว่า พระญาอุปปโย ในคราวที่มาครองเมืองเชียงใหม่ต่อจากมหาเทวีจิรประภาผู้เป็นยาย หลังจากที่พระญาอุปปโยเดินทางจากล้านช้าง มาพักอยู่ที่เชียงแสน เชียงรายตามลำดับ จนมาถึงเหมืองแก้ว ที่นั้นเหล่าบรรดาเสนาอามาตย์ได้นำเครื่องเทียมยศมาแห่ต้อนรับเอาพระญาอุปปโยเข้าไปยังเวียงเชียงใหม่ เดินทางมาจนถึงวัดเชียงยืน ซึ่งในตำนานกล่าวไว้ว่า “อังคาสราธนาเข้ามาเถิงปะตูโขงวัดเชียงยืน พระเปนเจ้าถอดเครื่องประดับไว้ ทรงผ้าเสื้อขาว ทือขันเข้าตอกดอกไม้เทียนเงินเทียนคำ เข้าไพปูชาไหว้นบพระสัพพัญญูเจ้าวัดเชียงยืน” จากนั้นจึงทำการเข้าสู่เวียงทางประตูช้างเผือก อันถือเป็นด้านหัวเวียง ไปสู่ราชมณเฑียรหอคำแท่นแก้ว จารีตนี้ได้สืบทอดต่อกันมา แม้นว่าช่วงหนึ่งที่ล้านนาตกเป็นเมืองขึ้นของพม่านานถึงสองร้อยกว่าปี ตราบจนฟื้นม่านสำเร็จ เจ้ากาวิละแห่งตระกูลเจ้าเจ็ดตน เมื่อจักครองเมืองเชียงใหม่ ก็ยังคงได้กระทำดังเช่นบูรพกษัตราธิราชได้กระทำมาแต่ก่อนนั้น ดังนี้ “ดือน ๖ ออก ๑๒ ฅ่ำ วัน ๕ ยามตูดเช้า ท้าวค็เสด็จเข้ายั้งอยู่วัดปุพพาราม ตามปุพพะทำนองโปราณะแห่งท้าวพระญาทังหลายฝูงอันเปนแล้วมาแต่ก่อน บ่ห่อนละเสียยังปเวณี ค็ปทักขิณวัฏฏ์กระหวัดไพทิสสะหนใต้ ลำดับไพด้วยด้านวันตกไพเถิงวัดเชียงยืนด้านเหนือ พระเปนเจ้าเข้าไพสักการบูชาไหว้พระเจ้าวัดเชียงยืนแล้ว เถิงเพลายามแตรจักใกล้เที่ยง ท้าวค็ยกเอาหมู่ยัสสปริวารเข้าเวียงหลวง ด้วยปะตูช้างเผือกทิสสะหนเหนือ หื้อลวะจูงหมา พาแชกนำเข้าก่อน” เหล่านี้เป็นธรรมเนียมเกี่ยวกับกษัตริย์ผู้ครองล้านนาเชียงใหม่ ตกทอดสืบถึงรุ่นหลัง แต่ชาวบ้านทั่วไปก็เคารพนับถือพระสัพพัญญูเจ้าวัดเชียงยืนเป็นอย่างยิ่ง กอปรกับชื่อวัดอันเป็นมงคลมักนิยมที่จะมาทำการสืบชะตาที่วัดเชียงยืนนี้ เพื่อหวังให้มีอายุที่ยืนยาว ดังจะเห็นเมื่อครั้งยามที่พระเจ้าอินทวิชชยานนท์ หลังจากที่กลับมาจากกรุงเทพฯ โดยขึ้นที่ท่าน้ำวัดไชยมงคล ก็จำไปทำการลอยเคราะห์ที่วัดลอยเคราะห์และดับภัย ที่วัดดับภัย แล้วจึงมาทำการ สืบชะตาที่วัดเชียงยืนแห่งนี้ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 06:54:04

ความคิดเห็นที่ 10   ผมว่าเจดีย์ที่วัดนี้สวยที่สุดเลยนะครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 06:55:12

ความคิดเห็นที่ 11   เป็นอย่างหลังคร้าบบผม อิอิ แต่จะได้กลับแล้วครับ เดี๋ยวถึงบ้านมาชมต่อนะคร้าบ   จากคุณ : นมขาวเย็น เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 06:55:21

ความคิดเห็นที่ 12   ส่วยพระวิหารนั้นเค้าปิดไว้ครับ เลยไม่ได้เข้าไปไหว้พระเลย จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 06:56:37

ความคิดเห็นที่ 13   คุณ : นมขาวเย็น  ------- เย้ๆๆๆ จะได้กลับบ้านแล้วเนาะ.... ปิ๊กบ้านเวยๆนะเจ้า อิอิอิ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 06:58:01

ความคิดเห็นที่ 14   โห... ขยัน up มากมาย อุตส่าห์ซุ้มดูนะเนี๊ยะ รูปสวยค่ะ ^^ จากคุณ : tOnGtA69 เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 07:09:00

ความคิดเห็นที่ 15   คุณ : tOnGtA69  ---- ไม่ได้ครับ เดี๋ยววันธรรมดาคงหาโอกาสมาอัพยากหน่อย เลยจะทำให้เสร็จๆไปครับ ------------------------------------------------------------------ ตามโพยบอกว่ามีอุโบสถแปดเหลี่ยมด้วย... แต่เราหาไม่เจอครับ เดินซะรอบวัดเลย จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 07:29:16

ความคิดเห็นที่ 16   เก็บรูปตรงนี้อีกรูปครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 07:30:01

ความคิดเห็นที่ 17   พอมายืนอยู่ตรงนี้เราว่ามันน่าจะใกล้ๆประตูช้างเผือกทางไปศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่แล้วค่ารถน่าจะถูกลง พี่รถแดงที่เราโบกคันแรกแนะนำให้เราไปขึ้นรถเหลืองตรงประตูช้างเผือกเลย...เราจึงเดินย้อนไปที่ประตูช้างเผือก แต่เจ้ากรรมครับ...รถวิ่งอกซ้ายหมดเลย เรายืนรอเป็นนานสองนานก็ไม่มีรถเหลืองที่ไปแม่ริมจอดซักคัน...ไม่ไปก้อได้... ไปไหว้พระต่อดีก่า..... โบกรถแดงเหมือนเคยมาลงที่วัดเชียงมั่นครับ เอ้า....ทำไม่ถ่ายป้ายวัดมานิ แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 52 07:36:08 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 07:35:44

ความคิดเห็นที่ 18   วัดเชียงมั่น ตั้งอยู่บนถนนราชภาคินัย ตรงซอยโจ๊กสมเพชร เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในตัวเมืองเชียงใหม่สร้าขึ้นเมื่อพญามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่โน่นแน่ะครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 07:38:38

ความคิดเห็นที่ 19   วัดเชียงมั่น  ในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่และพงศาวดารโยนก กล่าวถึงไว้ว่า   หลังจากที่พญางำเมือง พญาร่วง และพญามังรายทรงสร้างเมืองเชียงใหม่ สำเร็จในปี พ.ศ.๑๘๓๙ แล้ว ทั้งสามพระองค์ทรงโปรดให้สร้างเจดีย์ขึ้นตรงที่หอนอนบ้านเชียงมั่นซึ่งพญามังรายทรงสร้างเป็นที่ประทับชั่วคราวในระหว่างที่ควบคุมการสร้างเมืองใหม่โดยให้ชื่อที่ประทับแห่งนั้นว่า "เวียงเล็ก" หรือ "เวียงเหล็ก" หมายถึง"ความมั่นคงแข็งแรง" ต่อมาเมื่อพญามังรายเสด็จแปรพระราชทานไปยังพระราชนิเวศน์มณเฑียรสถานแห่งใหม่ซึ่งเรียกว่า "เวียงแก้ว" (ปัจจุบันคือเรือนจำกลางเชียงใหม่) แล้ว ทรงอุทิศตำหนักคุ้มหลวงเวียงเหล็ก ถวายแด่พระศาสนา โดยตั้งเป็นพระอารามหลวงแห่งแรกและพระราชทานนามอันเป็นมงคลว่า "วัด เชียงมั่น" อันหมายถึงบ้านเมืองที่มีความมั่นคงทั้งนี้ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 07:40:30

ความคิดเห็นที่ 20   ศิลาจารึกวัดเชียงมั่นพุทธศักราช ๑๘๓๙ ได้จารึกไว้ว่า "ศักราช ๖๕๘ ปีรวายสัน เดือนวิสาขาออก ๘ ค่ำ ขึ้น ๕ ไทยเมืองเปล้า ยามแตรรุ่งแล้ว สองลูก นาฑี ปลายสองบาทน้ำ ลัคคนาเสวยนวางค์ประหัส ในมีนยะราศี พญามังรายเจ้า พญางำเมือง พญาร่วง ทังสามคน ตั้งหอ นอนในที่ไชยภูมิ ราชมณเฑียร ขุดคือก่อตรีบูรทั้งสี่ด้านและก่อเจติยะทัดที่นอนบ้านเชียงมั่น ในขณะยาม เดียวนั้น ที่นั้นลวดสร้างเป็นวัด หื้อทานแก่แก้วทังสามใส่ชื่อว่าวัดเชียงหมั้น ต่อบัดนี้ ..." จึงนับได้ว่า วัดเชียงมั่นเป็นพระอารามหลวงแห่งแรกในเขตกำแพงเมืองเชียงใหม่ คือสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.๑๘๓๙ จาก นั้นคาดว่าเจดีย์นี้ได้พังลงมาในสมัยของพระเจ้าติโลกราช กษัตริย์ราชวงค์มังรายลำดับที่ ๑๐ (ครอง ราชย์ พ.ศ.๑๙๘๕ - ๒๐๓๑) พระองค์จึงโปรดให้สร้างขึ้นใหม่ด้วยศิลาแลงในปี พ.ศ.๒๐๑๔          ต่อมาในปี พ.ศ.๒๐๙๔ เชียงใหม่ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า วัดเชียงมั่นจึงถูกทอดทิ้งให้ เป็นวัดร้าง ครั้นถึง พ.ศ.๒๑๐๑ เจ้าฟ้ามังทรา (สมเด็จพระมหาธัมมิกะราชาธิราช)แห่งพม่า ทรงมีพระราชศรัทธาในพุทธศาสนา โปรดให้พระยาแสนหลวงสร้างเจดีย์ วิหาร อุโบสถ หอไตร ธัมมเสนาสนะกำแพง และประตูโขงขึ้นที่วัดเชียงมั่น โดยมีพระมหาหินทาทิจจวังสะเป็นเจ้าอาวาสเมื่อถึงสมัยพระยากาวิละครองเมืองเชียงใหม่(พ.ศ.๒๓๒๔ - ๒๓๕๘) ได้ทำการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดเชียงมั่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่วัดนี้ได้ตกอยู่ในสภาพวัดร้างเมื่อครั้งที่ทำสงครามกอบกู้เอกราช คืนมาจากพม่า ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๓๑๙ ต่อมาในสมัยของเจ้าอินทวโรรส (พ.ศ.๒๔๔๐ - พ.ศ.๒๔๕๒) พระพุทธศาสนาแบบธรรมยุกนิกายได้เข้ามาเผยแผ่ในอาณาจักรล้านนาเจ้าอินทวโรสจึงได้นิมนต์พระธรรมยุตมาจำพรรษาอยู่ที่วัดเชียงหมั้นเป็นครั้งแรก ภายหลังย้ายไปอยู่วัดหอธรรมและวัดเจดีย์หลวงตามลำดับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 07:42:11

ความคิดเห็นที่ 21   พระอุโบสถตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ของวัดถัดจากหอไตรรูปทรงสถาปัตยกรรมแบบล้านนาด้านหน้าอุโบสถประดิษฐานศิลาจารึก หลักที่76 จารึกเมื่อปี พ.ศ. 2124 อุโบสถหลังนี้สร้างขึ้นพร้อมกับวิหารและหอไตร กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนพร้อมกันกับเจดีย์ วิหาร และหอไตร เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2478 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 07:43:20

ความคิดเห็นที่ 22   สานที่สำคัญอย่างหนึ่งของวัดนี้คือ เจดีย์สี่เหลี่ยมผสมทรงกลม ฐานช้างล้อม จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 07:45:16

ความคิดเห็นที่ 23   เป็นเจดีย์รูปทรงสถาปัตยกรรมล้านนาทรงระฆังฐานสี่เหลี่ยม แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 52 07:46:21 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 07:46:06

ความคิดเห็นที่ 24   ฐานช้างล้อม หมายความว่าคำจุนพระพุทธศาสนาไว้ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 07:46:45

ความคิดเห็นที่ 25   อีกรูปครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 07:47:13

ความคิดเห็นที่ 26   องค์เจดีย์ผสมสี่เหลี่ยมและทรงกลมเปิดทองจังโก สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1840ครั้งพญามังรายสถาปนาวัดเชียงมั่น และได้รับการบูรณะซ่อมแซมจากผู้ครองนคเชียงใหม่สืบมา กรมศลปากรขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแล้วเมื่อ พ.ศ. 2478 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 07:48:00

ความคิดเห็นที่ 27   หอไตร ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโบราณสถาณเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2478 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 07:48:59

ความคิดเห็นที่ 28   highlight ของวัดเชียงมั่นคือ พระเสตังคมณี หรือพระแก้วขาว ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนชาวเชียงใหม่ ที่ประดิษฐานอยู่ในวิหาร พระแก้วขาว” หรือ “พระเสตังคมณี” เป็นพระพุทธรูปที่นับถือกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ สามารถคุ้มครองป้องกันอันตรายและอำนวยความ สุขสวัสดิ์มงคลแก่ผู้ที่เคารพสักการะและได้   ปรากฏว่าในอดีตกาลเป็นพระพุทธรูป สำหรับบูชา ประจำพระองค์ของพระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์ผู้ครองนครหริภุญชัย และพระเจ้าเม็งรายมหาราช(หรือพระเจ้ามังราย) ปฐมวงศ์เม็งราย ผู้สถาปนาอาณาจักรล้านนาไทยและกษัตริย์ผู้ครองนครหริภุญชัย และนครเชียงใหม่ ในยุคต่อๆ มา   ก็นับถือเป็นพระพุทธรูปบูชาประจำพระองค์ทั้งสิ้น ในตำนานได้กล่าวถึงการสร้างไว้ว่าเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานล่วงแล้วได้ 700 ปี ในวันเพ็ญเดือน 7 พระสุเทวฤๅษีได้เอาดอกจำปา 5 ดอก ขึ้น    ไปบูชาพระจุฬามณียังดาวดึงษ์สวรรค์ ได้พบปะสนทนาด้วยพระอินทร์ พระอินทร์จึงบอกกล่าวแก่สุเทวฤๅษีว่า    ปีนี้ในเดือนวิสาขะเพ็ญที่ลวะรัฏฐะ จะสร้างพระพุทธปฏิมากรด้วยแก้วขาว ครั้งสุเทวฤๅษีกลับจากดาวดึงษ์เทวโลกแล้วจึงไปสู่เมืองละโว้ ขณะนั้น พระยารามราชเจ้าเมืองละโว้กับพระกัสสปเถระเจ้าปรารภการที่จะสร้างพระแก้ว ซึ่งพระอรหันต์ไปได้แก้วขาวบริสุทธิ์บุษยรัตน์มาจากจันทเทวบุตร แล้วขอพระวิศณุกรรมมาเนรมิต สำเร็จรูปเป็นองค์พระพุทธปฏิมากรสุเทวฤๅษีและฤๅษีองค์อื่นๆ ก็ได้ประชุมช่วยในการสร้างองค์พระด้วย ครั้นสำเร็จแล้วก็บรรจุพระบรมธาตุ 4 องค์ ไว้ในพระโมลี(กระหม่อม) พระนลาต(หน้าผาก) พระอุระ (หน้าอก) พระโอษฐ์(ปาก) รวม 4 แห่งเมื่อสร้างเสร็จแล้ว        พระแก้วขาวก็ได้ประดิษฐานอยู่ที่เมืองละโว้สืบมาเป็นเวลานาน ถึงสมัยพระฤๅษีสร้างนครหริภุญชัยขึ้นแล้ว ใช้ให้ควิยะอำมาตย์ ไปเชิญพระนางจามเทวี ราชธิดาของพระเจ้ากรุงละโว้มาครองเมืองหริภุญชัย พระนางจึงขออนุญาตจากพระราชบิดานิมนต์พระภิกษุสงฆ์สามเณร และพระเสตังคมณี(พระแก้วขาว) มาเป็นพระพุทธรูปบูชาประจำพระองค์ พระแก้วจึงได้ประดิษฐาน ณ นครลำพูนแต่นั้นมาเป็นเวลานานหลายร้อยปี บรรดากษัตริย์ที่ครองเมืองหริภุญชัย(ลำพูน) ทั้งวงศ์เดียวกับพระนางจามเทวีและต่างวงศ์ ต่างได้เคารพบูชาเป็นประจำองค์มาทุกวงศ์ และได้สร้างหอประดิษฐานไว้ในพระราชวัง พระเสตังคมณีประดิษฐานอยู่ ณ เมืองลำพูน ตลอดมาจนกระทั่งรัชสมัยของพระยายีบาเป็นกษัตริย์ครองเมือง ในครั้งนั้นพระเจ้าเม็งรายซึ่งเป็นเจ้าครองนครเงินยวง(เชียงแสน) ได้ยกกองทัพไปปราบบ้านเล็กเมืองน้อยต่างๆ ที่ยังแข็งเมืองอยู่ให้เข้ารวมอยู่ในอำนาจของพระองค์จนหมดสิ้นแล้ว แต่นครหริภุญชัยในครั้งนั้นมีกำลังเข้มแข็งมาก พระองค์จึงคิดกลอุบายให้ขุนอ้ายฟ้า ราชวัลลภคนสนิทไปทำการจารกรรมนานถึง 7 ปี ขุนอ้ายฟ้าเห็นได้โอกาสแล้วจึงส่งข่าวไปให้พระเจ้าเม็งรายให้ยกกองทัพมาตีเมืองหริภุญชัยโดยด่วน พระเจ้าเม็งรายยกกองทัพมาตีเมืองหริภุญชัยในปีพุทธศักราช 1824 ชาวเมืองที่ไม่ยอมทิ้งเมืองเข้าต่อสู้อย่างเข้มแข็งดุเดือด กองทัพเม็งรายต้องใช้ธนูไฟเพลิงยิงเข้าไปทำให้เกิดเพลิงไหม้ทั้งเมือง ในที่สุดก็พ่ายแพ้แก่กองทัพพระเจ้าเม็งราย              เมื่อยกเข้าเมืองได้แล้ว       พระเจ้าเม็งรายจึงเสด็จออกตรวจดูความเสียหาย    สิ่งที่ทำให้พระองค์ทรงประหลาดพระทัยที่สุดคือ     หอพระซึ่งอยู่ในบริเวณพระราชวังของพระยายีบา หาได้ถูกเพลิงไหม้ แต่บริเวณรอบๆ นั้นถูกเพลิงเผาผลาญพินาศหมด พระองค์จึงเข้าไปทอดพระเนตรดู เห็นพระแก้วขาวสถิตอยู่ ณ ที่นั้น ก็เกิดมีพระราชศรัทธาปสาทะเป็นอันมากจึงอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ ที่ประทับของพระองค์ ทรงเคารพสักการบูชาเป็นพระพุทธรูปประจำพระองค์แต่นั้นมา ต่อเมื่อพระองค์มาสร้างนครเชียงใหม่เป็นราชธานี เมื่อปีพุทธศักราช 1839 ได้อัญเชิญพระแก้วขาวมาประดิษฐานในพระราชวังจนตลอดรัชกาล แม้ในเวลาเสด็จออกศึกก็ทรงนิมนต์พระแก้วขาวไปด้วยทุกครั้ง พระองค์มิได้ประมาทในพระแก้วขาวเลย เมื่อพระองค์สวรรคตแล้ว พระแก้วขาวก็ยังคงประดิษฐานอยู่ในเมืองเชียงใหม่ตลอดมาจนกระทั่งถึง      รัชกาลของพระเจ้าติโลกราช รัชกาลที่ 11   แห่งราชวงศ์เม็งราย พระองค์ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง ได้ทำนุบำรุงการพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่ายุคใดๆ ทั้งสิ้น พระองค์โปรดให้หมื่นด้ามพร้าคต ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสร้างถาวรวัตถุในวัดวาต่างๆ และสร้างหอพระแก้วมรกตและพระแก้วขาวไว้ในพระอารามราชกุฏาคารเจดีย์(คือเจดีย์หลวง) ในปีพุทธศักราช 2022 ในยุคนี้พระพุทธรูปสำคัญหลายองค์ ได้มาประดิษฐานในนครเชียงใหม่พระแก้วขาวได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง ในสมัยของพระเจ้าติโลกราช มาตราบถึงสมัยของพระยอดเชียงราย ราชนัดดา ในสมัยนี้มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพระแก้วขาวคือ ในครั้งนั้นมีราชบุตรพระยาเมืองใต้ชื่อสุริยะวังสะบวชเป็นภิกษุขึ้นมาจำพรรษาอยู่วัดเวฬุวัน(กู่เต้า) ในระหว่างปีพ.ศ. 2030 - 2049 ได้มารักใคร่ชอบพอกับนางท้าวเอื้อยหอขวาง ราชธิดาของพระเจ้าติโลกราชเป็นอย่างยิ่ง สุริยะวังสะภิกขุมีความประสงค์อยากได้พระแก้วขาว จึงรบเร้าขอให้นางท้าวเอื้อยหอขวางจัดการให้ นางท้าวเอื้อยฯจึงทำกลอุบายว่าป่วยไข้ ขออาราธนาพระแก้วขาวมาสักการบูชาในที่อยู่ของตนเพื่อหายป่วยไข้ ครั้นนานหลายวันเข้า พันจุฬาผู้รักษาหอพระจึงมาขอเอาพระแก้วคืน นางท้าวเอื้อยฯก็ให้ทองคำพันหนึ่งเป็นสินบนปิดปาก แล้วนางจึงเอาพระแก้วขาวใส่ไว้ในสถูปแล้วใส่ถุงคลุมมิดชิดดีแล้ว ใช้ให้อ้ายกอน ทาสชายนำไปถวายแก่สุริยะวังสะภิกขุ จากนั้นสุริยะวังสะภิกขุจึงเอาไม้เดื่อมาแกะเป็นองค์ แล้วเอาพระแก้วขาวใส่ไว้ภายในแล้วก็พาหนีไปเมืองใต้เสียต่อมาในปีพ.ศ. 2035 พระยอดเชียงรายราชให้ทรงสร้างพระอารามขึ้นในทิศตะวันตกเฉียงใต้เมือง ให้ชื่อว่าวัดตะโปทาราม(วัดรำพึง) ด้วยมีพระประสงค์จะเอาพระแก้วขาวไปประดิษฐานไว้ที่นั้น เมื่อทราบข่าวว่าพระแก้วหายไป จึงสืบสวนได้ความจากอ้ายกอนว่า นางท้าวเอื้อยหอขวางได้ใช้ให้ตนนำไปถวายแก่สุริยะวังสะภิกขุ และได้นำพระหนีไปจากเมืองแล้ว พระยอดเชียงรายได้ใช้ราชทูตเชิญเครื่องราชบรรณาการและราชสาส์น ไปถวายพระเจ้ากรุงศรีอยุธยาเพื่อขอพระแก้วคืน พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาตอบพระสาส์นมาว่า สืบหาก็ไม่ได้ความ และหาที่ไหนก็ไม่พบ พระยอดเชียงรายราชขัดพระทัย จึงยกกองทัพไปยังกรุงศรีอยุธยา อยู่ได้เดือนหนึ่งจึงได้พระแก้วขาวคืนแล้ว จึงเลิกทัพกลับมา พระแก้วขาวจึงได้ประดิษฐาน ณ เมืองเชียงใหม่ตามเดิม ในปัจจุบันนี้ พระแก้วขาว(เสตังคมณี) ประดิษฐาน ณ วัดเชียงมั่น เมืองเชียงใหม่ เพื่อเป็นมิ่งขวัญของชาวเชียงใหม่เป็นปูชนียวัตถุชิ้นสำคัญของชาวลานนาไทยสืบต่อมา เสียดายที่ในวิหารวันนั้นคณะผู้เข้าอบรมไกด์ได้เข้าชมและเข้าศึกษากันอยู่ครับ เราเลยไม่ได้เข้าชมพระแก้วขาวเลย จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 07:52:29

ความคิดเห็นที่ 29   นี่ไงครับป้ายวัด เพิ่งหาเจอ อิอิอิ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 07:54:02

ความคิดเห็นที่ 30   มาแถวนี้แล้วไม่ได้มาชิมโจ๊กสมเพชรก็เหมือกะว่ายังไม่มาถึงแหล่งนะครับ อิอิอิ เดินเลี้ยวซ้ายออกจากวัดไปนิดดียวครับ ร้านจะอยู่ทางซ้ายมือตรงถนนใหญ่เลยครับ ตรงมุมถนนราชภาคินัยครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 07:57:04

ความคิดเห็นที่ 31   มาเข้าคอร์สเรียนประวัติศาสตร์หึๆๆ จากคุณ : bicycle_trend เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 07:58:13

ความคิดเห็นที่ 32   นี่ขนาดกินข้าวเช้ามาแล้วนะครับ พี่ปลาทูรีเควสว่าอยากกิน...โฮะๆๆ เป็นไปได้ยังไงนิ ปกติพี่ปลาทูจะไม่ค่อยกินเข้าเช้านิ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 07:58:46

ความคิดเห็นที่ 33   เข้ามาแอ่วเจียงใหม่โต้ยเจ้า อิอิ จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:00:25

ความคิดเห็นที่ 34   คุณ : bicycle_trend  ---- โหยยยย ตื่นแต่เช้านะนี่.... ---------------------------------------- อันนี้โจ๊กหมูไม่ใส่ไข่ของพี่ปลาทู จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:01:01

ความคิดเห็นที่ 35   คุณ : ม่วงมหากาฬ  ---- มาพอดีกินโจ๊กเลยครับ แฟนคลับของผม อิอิอิอิ ของผมต้องใส่ไข่ครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:02:04

ความคิดเห็นที่ 36   จากนั้นเราไปเดินเล่นที่กาดหลวงกันครับ.... เดินตรงเข้าตรอก เล่าโจ๊ว แล้วจะมีทางเข้ากาดหลวงทางซ้ายมือครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:03:51

ความคิดเห็นที่ 37   ข้าวของละลานตามากครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:04:32

ความคิดเห็นที่ 38   ทั้งของแห้ง จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:05:01

ความคิดเห็นที่ 39   ผักเมืองหนาวต่างๆ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:05:38

ความคิดเห็นที่ 40   ที่สำคัญร้านเด็ดครับ..... ร้านดำรงค์ ร้านนี้หมูทอด ไส้อั่วอร่อยมากๆๆๆๆ มาทีไรขนกลับไปทุกที.... วันนี้เรามาสั่งไส้อั่ว 10 กว่ากิโล หมูทอด สามชั้นทอด กระดูกหมูทอด 10 กว่ากิโลเหมือนกัน...ไม่ได้เอาไปขายเน้อ... เค้าฝากซื้ออะครับ .... ป้าจ๋า... เดี๋ยววันอังคารสายมารับนะจ๊ะ.... ได้เลยเจ้า...ร้านเปิดตั้งแตตีห้าถึงหกโมงเมื่อแลงเจ้า จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:10:28

ความคิดเห็นที่ 41   สั่งของเสร็จสรรพ ก้อเดินเล่นในกาดหลวงต่อครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:12:00

ความคิดเห็นที่ 42   ของฝากจากเชียงใหม่ละลานตามากๆครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:12:39

ความคิดเห็นที่ 43   เดินข้ามถนนมาก้อยังเป็นกาดหลวงอยู่ครับ...แต่อาคารหลังนี้จะเป็นของพื้นเมืองมากกว่า จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:14:11

ความคิดเห็นที่ 44   อันนี้คือยาสูบครับ ขายเยอะมากๆๆครับ แสดงว่าคนเหนือยังใช้กันอยู่ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:15:35

ความคิดเห็นที่ 45   กระเพราะปลา.... จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:16:08

ความคิดเห็นที่ 46   น้ำหนัง.....เอาไว้ทานกันน้ำพริกต่างๆครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:17:59

ความคิดเห็นที่ 47   เดินทะลุออกมาริมแม่น้ำก็จะเป็นกาดดอกไม้ครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:19:56

ความคิดเห็นที่ 48   ความคิดเห็นที่ 73   แคบหมู... แกงฮังเล จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 09:10:51 ความคิดเห็นที่ 74   หวัดดีครับป๋าเรดดดดด กินน้ำพริกหนุ่มกันครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 09:13:40 ความคิดเห็นที่ 75   ด๋อยไปแล้ว... กระทู้ช้าน....... จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 09:14:38 ความคิดเห็นที่ 76   ปาด ครับ ร้าน ช ข้าวหน้าไก่ทำวันละตัว ถ้าไม่อยากพลาดต้องไป 10 โมงเช้าครับ จากคุณ : shintaro เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 09:42:12 ความคิดเห็นที่ 77   Trip เที่ยว หรือ Trip กินค่ะเนี่ย อาหารล้นกระทู้เลย อิอิ แต่ก็ชอบค่ะ ถูกใจ   ใส้อั่วดำรงค์ ช่วงหลัง ๆ เราว่ารสชาติ ไม่คงเส้นคงวาเลย ถ้าจะซื้อจำนวนเยอะ เอาฝากผู้ใหญ่ เราเลยเปลี่ยนใจไปซื้อ ใส้อั่วยายปี๋ ที่อยู่แถวใกล้ โรงพักลำพูนแระ ยกเว้นซื้อนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ไม่ไป จากคุณ : Invisible Angel เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 09:44:48 ความคิดเห็นที่ 78   เค้กน่าทานจังเลย แต่อยากกินหมูทอด กาดหลวงมากกว่าค่ะ  เฮ้อๆๆๆ หิวจริงๆๆ จากคุณ : kizz_j เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 10:23:08 ความคิดเห็นที่ 79   แฟนขับมาแย้ว... ^ ^ จากคุณ : cultureclub เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 10:28:55 ความคิดเห็นที่ 80   - -' ด๋อยแร้วเหรอเนี่ย สงสัยเพราะน้าเรดมาปาดทีเดียวแหละ .......... จากคุณ : cultureclub เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 10:31:04 ความคิดเห็นที่ 81   ตามอ่านพร้อมความหิวค่ะ จากคุณ : scuba734 เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 12:00:47 ความคิดเห็นที่ 82   เข้ามาชมเรียกน้ำย่อยก่อนทานอาหารเย็นครับ จากคุณ : tataweb เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 18:10:50 ความคิดเห็นที่ 83   เพิ่งเข้ามาตอน ตลาดวาย แต่ขอเพิ่มเติมข้อมูลนิดหนึ่งค่ะ จากกาดหลวง(กาดวโรรส) ข้ามถนนไปอีกฝั่ง ที่ขายของพื้นเมือง หมากพลู ในความเห็นที่ 43 คือกาด เก๊าลำไย  หรือ ตลาดต้นลำไย ส่วนในความเห็นที่ 44 เมี้ยง ค่ะ ไม่ใช่บุหรี่ เมี้ยง  เป็นใบชาหมัก (แต่ก็เป็นของคู่กับบุหรี่) แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 52 20:12:33 จากคุณ : ตัวกลมๆผมม้า เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 20:11:58 ความคิดเห็นที่ 84   แง๊.. ตามมาไม่ทัน กระทู้ด๋อยซะแล้ว ความเห็นที่63 สตอเบอร์รี่ลูกโตมากกกกกก น่าทานมากเลยค่ะคุณบอล ป๊ะๆๆ ไปเที่ยวอีกช่วงมกรานะๆ อิอิ ดอกไม้สวยเหมือนกัน (ใน มช.)^^ จากคุณ : อรุณเบิกฟ้า นกกาโบยบิน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 20:54:27 ความคิดเห็นที่ 85   หิวแล้วครับ อาหารน่าทานมากครับ จากคุณ : โบริโบริ เขียนเมื่อ : 21 ธ.ค. 52 01:01:49 ความคิดเห็นที่ 86   แวะมาชมครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลและการพาไปเที่ยวชมนะครับ จากคุณ : กัปตันลูกชุบ เขียนเมื่อ : 22 ธ.ค. 52 08:26:55 ความคิดเห็นที่ 87   หนูตกรถไปแล้วใช่ป่าวคะพี่ทนายอ้วน...แฮ่กๆๆ จากคุณ : fox-uk เขียนเมื่อ : 27 ธ.ค. 52 12:39:48 ความคิดเห็นที่ 88   จากขันโตก ศูนย์วัฒนธรรม เชียงใหม่ ขอขอบคุณท่านลูกค้าเป็นอย่างมากที่ได้แวะมาใช้บริการของเรา และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการอนุรักษ์ศิลปะวัฒนธรรม ให้อยู่คู่คนไทยตลอดไป สำหรับผู้ที่สนใจอยากมาสัมผัสบรรยากาศล้านนา สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.OldChiangmai.com หรือโทร 084-1702772 จากเรา ขันโตก ศูนย์วัฒนธรรม เชียงใหม่ แก้ไขเมื่อ 18 ม.ค. 53 10:33:58 จากคุณ : agkadech เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 53 10:33:36 cript>   เรากลับมาตรงแจ่งศรีภูมิกันอีกทีครับ ร้าน ช.โภชนาอยู่ก่อนถึงโจ๊กสมเพชรนิดเดียวครับ ร้านอยู่ฝั่งเดียวกันครับ แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 52 17:07:38 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:27:44

ความคิดเห็นที่ 50   ร้านนี้แนะนำ ข้าวหมูย่าง ข้าวหมูกรอบ หรือข้าวไก่ย่างครับ ถ้าเลือกไม่ถูกสั่งรวมไปเลย สำหรับคนหลายใจจ้าาา.. อิอิอิ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:29:07

ความคิดเห็นที่ 51   ขนมจีบก้ออร่อยนะครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:30:25

ความคิดเห็นที่ 52   แป้งที่ห่อบางๆ หมูเต็มๆเลยครับ อิอิอิ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:31:42

ความคิดเห็นที่ 53   ผมสั่ง ข้าวหน้าหมูย่าง หมูกรอบ ไก่ย่างครับ .... แต่เจ๊เจ้าของร้านบอกว่าวันนี้ไก่ย่างหมดแล้ว.... อดเลยครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:34:17

ความคิดเห็นที่ 54   จำใจกินข้าวหน้าหมูย่าง หมูกรอบ ไปก่อน... คราวหน้ามาเชียงใหม่อีกต้องกินให้ได้ อิอิอิ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:35:41

ความคิดเห็นที่ 55   บะหมี่ของเค้าก้ออร่อยนะครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:36:44

ความคิดเห็นที่ 56   เส้นเหนียวนุ่ม เกี๊ยวก้อแป้งบางๆ หมูเต็มๆเลยครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:38:08

ความคิดเห็นที่ 57   กินข้าวหมูแดง บะหมี่ เสร็จ ไปต่อที่ร้านริชกันครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:39:40

ความคิดเห็นที่ 58   ร้านนี้ก็อยูใกล้โจ๊กสมเพชรเหมือนกันครับ เลยโจ๊กสมเพชรไปหน่อยเดียวอยูปากซอยศรีภูมิ 3 พอดีเลยครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:43:06

ความคิดเห็นที่ 59   ร้านนี้เป็นร้านเล็ก แต่แต่งสวยมากครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:46:09

ความคิดเห็นที่ 60   มีโต๊ะไม่กี่โต๊ะเอง จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:47:18

ความคิดเห็นที่ 61   นั่งโต๊ะนี้มั๊ยครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:48:28

ความคิดเห็นที่ 62   สั่งอะไรมากินไม่รู้ครับ... แต่สวย อิอิอิ แก้ไขเมื่อ 20 ธ.ค. 52 08:50:01 จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:49:24

ความคิดเห็นที่ 63   อ้ามมมมมมมม......มมมมมม จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:50:51

ความคิดเห็นที่ 64   พี่ปลาทสั่งเค้กมะพร้าวอ่อน จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:51:50

ความคิดเห็นที่ 65   เค้กมะพร้าวอ่อนนี่อร่อยมากกกกกกก ครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:53:04

ความคิดเห็นที่ 66   สตรอเบอรี่ โยเกิร์ต ปั่นครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:54:54

ความคิดเห็นที่ 67   ที่เด็ดที่สุดเห็นจะเป็นไอสครีมโฮมเมดครับ... วันนี้สั่งรสมะม่วงครับ.. มะม๊วงงงงงง......มะม่วง.... ครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:56:42

ความคิดเห็นที่ 68   พี่ปลาทูบอกว่าอยากไปนอนแช่จากุชชี่.. แหมๆๆๆๆ เอาก้อเอา..... เดี๋ยวตอนเย็นค่อยไปกินขันโตกที่ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ กับเดินเล่นที่ถนนคนเดินที่วัวลาย กันครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 08:59:06

ความคิดเห็นที่ 69   ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ อยู่บนถนนสายเชียงใหม่-หางดง เป็น เป็นหมู่เรือนไทยไม้สักประตูหน้าต่างประดับด้วยไม้แกะสลักอย่างสวยงาม เสียดายที่พิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณ "สบันงา" ได้ปิดตังลงแล้ว.... ผมแอบเห็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณ "สบันงา" มาขายของอยู่ท่ถนนคนเดินท่าแพครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 09:01:44

ความคิดเห็นที่ 70   เดี๋ยวเราเข้าไปข้างในกันเลยครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 09:03:40

ความคิดเห็นที่ 71   จะมีทั้งที่นั่งที่เป็นโต๊ะ กับที่เป็นที่นั่งพื้น ส่วนเวทีการแสดงจะอยู่ตรงกลางเลยครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 09:06:08

ความคิดเห็นที่ 72   พอนั่งโต๊ะปุ๊บ .. ขันโตกก็มาเสิร์ฟทันทีครับ จากคุณ : ทนายอ้วน เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 09:07:32

ความคิดเห็นที่ 73   ตามมาเที่ยวต่อพร้อมชิมอาหารอร่อยๆด้วยครับ จากคุณ : Red Fox เขียนเมื่อ : 20 ธ.ค. 52 09:10:51