ความคิดเห็นที่ 1 *** ปล. รูปในทู้นี้เป็นผลงานของสมาชิกในคณะ ช่วยๆกันถ่ายนะขอรับ *** ความเดิมตอนที่แล้ว หลังจากชาวคณะปีนป่าย Matanuska Glacier จนเสร็จสมอารมณ์หมาย เราก็บึ่งรถต่ออีก 4 ชั่วโมงเพื่อมายัง Valdez (อ่านว่า วาลดีส ไม่ใช่ วาลเดส แบบภาษาสเปนปกติ) เมืองเล็กๆที่อยู่บนชายฝั่งของอ่าว Prince William Sound จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:26:13

ความคิดเห็นที่ 2 เราจองโรงแรม Best Western Harbor Inn ที่ Valdez ไว้ โดยใช้คูปอง Alaska Toursaver ฮ่ะ ซึ่งคูปองเล่มนี้ สนนราคา $100 แต่คุ้มค่ามั่กๆ เพราะสามารถใช้ลดราคาทัวร์และโรงแรมได้ โดยโปรโมชั่นส่วนมากจะเป็นแนวซื้อ 1 แถม 1 อย่างเช่นซื้อทัวร์ 1 คน แถม 1 คน หรือจองโรงแรม 1 คืน แถมอีก 1 คืนเป็นต้น แต่ถ้าใช้จองโรงแรม ต้องรีบจองหน่อยนะคะ อย่างทริปนี้ นอกจากที่ Valdez แล้วเนี่ย เราใช้คูปองจองโรงแรมไม่ได้เลยค่ะ เพราะโควต้าห้องพักที่สามารถใช้คูปองได้มัน Sold Out ไปหมดแหล่วววว ส่วนรายละเอียดของโปรโมชั่น ว่าใช้ได้กับทัวร์ไหน โรงแรมไหน เงื่อนไขเป็นไง ก็หาข้อมูลได้จากเว็บนี้เจ้าค่ะ http://www.toursaver.com/ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:27:46

ความคิดเห็นที่ 3 ส่วนนี่ก็โรงแรม Best Western Harbor Inn ที่เราพักน่ะเอง ราคาห้องพักรวมบุฟเฟต์อาหารเช้าไว้แล้วด้วย จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:29:51

ความคิดเห็นที่ 4 พวกเราหม่ำไข่คนกับไส้กรอกไป ส่องน้องกระต่ายไปชิลๆ อูย น้องต่ายตัวอวบอ้วน น่ากิน เอร๊ย น่าฟัดมากเลยอ่าาาา จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:30:16

ความคิดเห็นที่ 5 หะแรก เรานึกว่าจะมีแค่น้องต่ายที่เดินป้วนเปี้ยนในสนามของโรงแรมอยู่ตัวเดียว ที่ไหนได้ ไม่ว่าจะเดินไปไหนเราก็เจอแต่ กระต่าย! กระต่าย! เต็มไปหมดเลย >_< เห็นคนแถวนี้เล่าว่า มีคุณป้าคนนึง แกเลี้ยงกระต่ายไว้ที่บ้านบนภูเขา แล้วก็มีกระต่าย 4-5 ตัวหลุดออกจากกรง วิ่งดุ๊กๆลงเขามายังเมือง Valdez ที่อยู่ด้านล่าง หลังจากนั้น Valdez ก็โดนกองทัพน้องต่ายเข้ายึดครองไปตามระเบียบ กร๊ากกกกกก จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:31:20

ความคิดเห็นที่ 6 หรือที่น้องต่ายหนีออกจากบ้าน เพราะอยากมานอนตีพุงชมวิวแจ่มๆริมน้ำหว่า เอ่อ ที่เห็นในภาพเนี่ย วิวหลังโรงแรมเราเองค่ะพี่น้อง! >_< จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:31:46

ความคิดเห็นที่ 7 มองไปทางนี้ก็เจอภูเขา จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:32:16

ความคิดเห็นที่ 8 มองไปทางตัวเมืองก็เห็นภูเขาได้อีก จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:33:18

ความคิดเห็นที่ 9 ส่วนนี่ก็ท่าเรือที่อยู่หลังโรงแรมเรา สุดยอดโลเคชั่นจริงๆโรงแรมนี้ เพราะเดิน 10 ก้าวก็ถึงทางขึ้นเรือบริษัท Stan Stephens Cruise แล้ว จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:33:45

ความคิดเห็นที่ 10 วันนี้พวกเราซื้อทัวร์ล่องเรือ 9 ชั่วโมง ชมธารน้ำแข็ง Meares Glacier กับ Stan Stephens ด้วยฮ่ะ ส่วนภาพล่างก็สภาพด้านในเรือ เก้าอี้นอน เอีย นั่งสบายพอสมควร Cruise เจ้านี้เค้ารวมอาหารกลางวันไว้ในราคาตั๋วแล้ว แต่ snack ไม่ฟรีจ้า ฉะนั้นขอแนะนำให้เพื่อนๆขนเสบียงมาเองเบ็ดเสร็จ จะได้ไม่ต้องหิวจนไส้กิ่วแบบชาวคณะ ที่ดันลืมหยิบ snack ขึ้นเรือมาด้วยน่ะเสะ หรือจะพกหนังสือ ไพ่ บอร์ดเกมไปเผื่อแก้เซ็งก็ไม่เลวนะขอรับ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:34:27

ความคิดเห็นที่ 11 โม้มาพอแล้ว ไปล่องเรือกันดีก่า จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:34:46

ความคิดเห็นที่ 12 ออกเรือไปไม่ถึง 10 นาที กัปตันก็รายงานว่า เราเจอเหยื่อรายแรกเข้าให้แล้ว จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:35:11

ความคิดเห็นที่ 13 ซึ่งก็คือฝูง Sea Otter (นากทะเล) ที่กำลังนอนผึ่งพุง ลอยอืดไปมาอยู่นั่นเอง โฮกกกกก Sea Otter น่ารักโคดๆอ่ะ ยังกะตุ๊กตาเลย >_< จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:35:33

ความคิดเห็นที่ 14 แถมเวลาเราโบกมือให้น้อง Sea Otter มันก็จะโบกมือกลับแบบในภาพล่างด้วยนะคะ กร๊ากกกก (เดี๊ยนมั่ว) คุณกัปตันยังบอกอีกด้วยฮ่ะว่า Sea Otter ตัวนึงหนักประมาณ 20 โล แต่วันนึงๆมันจะต้องกินกุ้งหอยปูปลาถึง 5 โล เพื่อสร้างชั้นไขมัน >_< ก็คงจริง ถ้าขืนตัวผอมแห้ง Sea Otter คงไม่สามารถนอนแช่ในน้ำเย็นๆอย่างสบายใจเฉิบแบบนี้ได้แน่ หลายคนอาจจะสงสัยว่า Sea Otter หม่ำหอยได้ไง คำตอบก็คือมันใช้หินทุบฝาหอยเอาค่ะ แล้วถ้ามันไปเจอหินก้อนไหนที่ถูกใจ ใช้ถนัดมือ มันก็จะหนีบหินก้อนนั้นไว้ตรงรักแร้ เพื่อรีไซเคิลใช้ในมื้อถัดไปด้วยนะฮะ! แหม่ ฉลาดไม่เบาเลยนะนั่น จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:35:56

ความคิดเห็นที่ 15 สมัยที่อลาสก้ายังอยู่ใต้การปกครองของรัสเซีย อุตสาหกรรมอันดับหนึ่งของที่นี่ คือการล่า Sea Otter และแมวน้ำ เพื่อเอาขนนิ่มๆของมันไปทำเครื่องนุ่งห่มเนี่ยแหล่ะ แต่อลาสก้ายุคนี้ เขาเลิกหากินกับแมวน้ำแล้วฮ่ะ ขุดน้ำมันรวยกว่าเยอะ แต่ถึงแม้น้ำมันจะนำความมั่งคั่งมากมายมาให้อลาสก้า แต่มันก็เกือบสร้างหายนะชนิดกู่ไม่กลับเช่นกัน อย่างในปี 1989 เกิดอุบัติเหตุเรือบรรทุกน้ำมันของบริษัท Exxon พลิกคว่ำ จนน้ำมันไหลทะลักเต็มอ่าว ทั้งปลาทะเล นกทะเล นาก แมวน้ำตายไปเป็นเบือ กว่าจะ Clean Up กันได้ก็ต้องใช้เวลาหลายปีอยู่ ภาพด้านล่างคือแผนที่แสดงความเสียหาย ที่เกิดจากเหตุการณ์น้ำมันรั่ว Exxon-Valdez ในปี 1989 (เครดิต : eoearth.org) จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:45:19

ความคิดเห็นที่ 16 ส่วนนี่ก็โรงเก็บน้ำมันอันบะเอ้ง ที่อยู่ตรงข้ามชายฝั่งเมือง Valdez ถ้าใครขับรถมาเมือง Valdez ท่านจะเห็นท่อน้ำมันยาวเฟื้อยอยู่ตามภูเขาข้าง Richardson Highway ด้วยนะเอ้อ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:46:08

ความคิดเห็นที่ 17 เปลี่ยนบรรยากาศจากโรงน้ำมันมาเป็นชายฝั่งสวยๆของ Prince William Sound กันบ้างจ้า วันนี้เมฆเยอะก็จริง แต่แบบนี้ก็ได้บรรยากาศเมืองลับแลในม่านหมอกดีเหมือนกันแฮะ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:46:46

ความคิดเห็นที่ 18 คุณกัปตันชี้ให้ดูหินก้อนนี้ดีๆ ว่าเหมือนหน้าคนเลย จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:47:11

ความคิดเห็นที่ 19 ดูหินแล้วก็หันไปดูต้นไม้ต่อนะครับทั่นผู้โดยสาร ตัวอะไรเอ่ยอยู่บนยอดต้นไม้ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:47:37

ความคิดเห็นที่ 20 เอร๊ยยยย นั่นมัน Bald Eagle มาสค็อตเมืองลุงแซมนี่หน่า อยู่เมกามาหลายปีแสง จขกท.เพิ่งจะมีบุญได้เห็นพญาอินทรีตัวเป็นๆก็ครานี้แหล่ะ T^T จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:48:25

ความคิดเห็นที่ 21 รับรอง จขกท.ไม่ได้เบอร์ห้าอยู่คนเดียวแน่นอน เพราะผู้โดยสารที่เหลือก็กดชัตเตอร์กันกระหน่ำเช่นกัน จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:49:31

ความคิดเห็นที่ 22 ยังไม่สะใจ สักพักเราก็ได้จีะเอ๋กับ Orca (หรือ Killer Whale) อีกด้วย กรี๊ดดดดดด แต่แหม่ ถ่ายรูป Orca ของจริงนี่มันลำบากจัง เพราะมันว่ายแบบดำผลุดดำโผล่ ไม่เห็นมีโดดตีลังกาโชว์แบบปลาวาฬ Sea World เลย ชริ ปล. Orca นี่ จริงๆแล้วอยู่ในตระกูลปลาโลมา ไม่ใช่ปลาวาฬนะเคอะ! สร้างความผิดหวังให้ชาวคณะ ที่กะจะไปโม้ให้เพื่อนฝูงฟังเต็มที่ ว่าตูเห็นปลาวาฬตัวเป็นๆที่อลาสก้าด้วยนะเฟ้ย T^T จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:50:06

ความคิดเห็นที่ 23 หลังจากนั่งเรือไปได้ซัก 5 ชั่วโมง ก็ถึงเวลามื้อเที่ยงที่ชาวคณะรอคอยแล้ว ซึ่งมาในรูปไก่อบที่รสชาติเหมือนก้อนยางลบเลยฟ่ะ -*- แต่ด้วยความหิว พวกเราก็ฟาดน้องไก่ยางจนเกลี้ยงอยู่ดี -_- จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:51:11

ความคิดเห็นที่ 24 หลังจากทำการเสกไก่เข้าท้องแล้ว ก็พอดีที่ฝนที่ตกลงมาอย่างหนักก่อนหน้านี้เริ่มซาลง จขกท.เลยออกไปยืนรับลมตรงหัวเรือซะหน่อย แม้แรงลมจะตีหน้าอิฉันป้าบๆจนหน้าแทบชาก็ตาม เอาวะ หนาวหน่อยแต่ก็ได้เห็นวิวชายฝั่งสวยๆ กับ Glacier บนภูเขาละกัน จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:52:04

ความคิดเห็นที่ 25 สักพักเริ่มเห็นก้อนน้ำแข็งลอยมาตามน้ำ หรือว่า...หรือว่า... จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:52:33

ความคิดเห็นที่ 26 ถึงแย๊วววว ถึง Meares Glacier แย๊ววววว จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:53:03

ความคิดเห็นที่ 27 โอ้ ว้าว จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:53:21

ความคิดเห็นที่ 28 ช่างงดงามยิ่งใหญ่อย่างไร้คำบรรยายจริงๆค่ะ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:53:39

ความคิดเห็นที่ 29 ใหญ่ไม่ใหญ่ ก็เทียบขนาด Meares Glacier กับเรือลำน้อยในภาพได้ >_< จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:54:01

ความคิดเห็นที่ 30 Meares Glacier จัดเป็น Tidewater Glacier นั่นคือน้ำแข็งบนภูเขาผลักดินหินลงมา จนเป็นธารน้ำแข็งที่ยื่นลงน้ำ สังเกตจากสีน้ำทะเลได้ฮ่ะ เพราะน้ำทะเลอลาสก้าช่วงซัมเมอร์สีจะออกเขียวๆ แต่ตรงด้านหน้า Meares Glacier นี่ น้ำดำเชียวด้วยเศษหินดินทรายที่เจอธารน้ำแข็งดันออกมานั่นเอง จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:54:41

ความคิดเห็นที่ 31 พลังของธรรมชาตินี่ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆนะคะ ว่ามั๊ย จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:55:08

ความคิดเห็นที่ 32 ข่าวดีก็คือ Meares Glacier เป็นหนึ่งในไม่กี่ธารน้ำแข็งของอลาสก้า ที่อยู่ในโหมด Advancing ด้วยค่ะ นั่นคือธารน้ำแข็งยังขยายตัวออกมาเรื่อยๆ ไม่ได้หดวันหดคืนเเหมือนเจ้าอื่น สังเกตได้จากต้นไม้ริมชายฝั่ง ต้นโตเขียวปี๋อย่างนี้ แปลว่า Glacier ยังรุกคืบมาไม่ถึง ถ้า Meares Glacier อยู่ในโหมดหดตัวแล้วไซร้ ริมฝั่งคงมีแต่กองดิน ไม่มีต้นไม้อยู่เลย จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:55:40

ความคิดเห็นที่ 33 ชาวคณะได้ชมความงามของ Meares Glacier กันอย่างสำราญบานตะเกียง เพราะเรือจอดแช่อยู่หน้าธารน้ำแข็งซัก 15-20 นาทีได้ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:56:03

ความคิดเห็นที่ 34 ธารน้ำแข็งสีฟ้าสะใจมั่กๆ ส่วนจุดดำๆที่อยู่ตรงหน้า Glacier ก็คือฝูง Harbor Seal นั่นเอง จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:56:45

ความคิดเห็นที่ 35 น่าเสียดายที่เรานั่งเรือใหญ่ เลยเข้าใกล้ Glacier มากไม่ได้ ไม่เหมือน Lu-lu-belle เจ้านี้ที่เรือเล็กกว่า เง้ออออ เสียใจ แมวน้ำ เค้าจะอาวแมวน้ำาาาาาาา จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:57:11

ความคิดเห็นที่ 36 ยังดีที่เทพเจ้าแห่งการท่องเที่ยวเมตตาพวกเรา ด้วยการส่งแมวน้ำอินดี้ตัวนี้มา! อินดี้ไม่อินดี้ ก็ในขณะที่แมวน้ำตัวอื่นๆเค้าไปกระจุกกันอยู่ตรงหน้า Glacier กลับมีแต่เจ้าตัวนี้เนี่ยแหล่ะ ที่ดันปลีกวิเวกมานอนผึ่งพุงอยู่นอกชายฝั่ง จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:57:57

ความคิดเห็นที่ 37 คุณกัปตันเลยต้องเอาใจผู้โดยสาร ด้วยการวนเรือรอบๆน้องแมวน้ำซะหน่อย "ง๊าววววว หนูจะนอนกลางวันสงบๆ มากวนหนูทำมาย มี๊~~" จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:58:52

ความคิดเห็นที่ 38 แกล้งเจ้าแมวน้ำพอเป็นพิธีแล้ว พวกเราก็ได้ฤกษ์บ๊ายบาย Meares Glacier โชคดีมากที่ตอนเรือจอดอยู่หน้า Meares Glacier ฝนไม่ตกเลย แต่พอเรือแล่นออกมาจากธารน้ำแข็งแค่แป๊บเดียว ฝนก็เทลงมาอย่างหนักหน่วงทันที จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 07:59:56

ความคิดเห็นที่ 39 ฝนตกหนักขนาดมองออกไปไม่เห็นชายฝั่งเลยฮ่ะ แถมเรือก็ยังโคลงไปมาด้วยแรงคลื่นลมอีก เผอิญ จขกท.ไม่ใช่คนเมารถเมาเรือง่ายๆ เลยไม่รู้สึกคลื่นไส้ แต่ดันเกิดอาการอยากงีบอย่างรุนแรงแทน แหม่ ล้มตัวลงนอนบนเรือที่โคลงไปเคลงมานี่ มันหลับสบายอย่างงี้นี่เอง มิน่าสมัยเด็กๆ หม่ามี๊ถึงต้องคอยแกว่งเปลให้เดี๊ยนนอน กร๊ากกกก จขกท.หลับไปได้งีบใหญ่ ก็โดนเพื่อนๆปลุกให้ขึ้นมาหม่ำซุป Clam Chowder ที่ทางเรือเสิร์ฟเป็น snack ภาคบ่าย ซุปอร่อยกลมกล่อมผิดฟอร์มอาหารกลางวันมาก หอยเป็นหอย ฮี่ๆ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:02:37

ความคิดเห็นที่ 40 ตอนนั่งเรือขากลับเนี่ย ผู้โดยสารเริ่มเหนื่อย แต่ละคนนั่งรากงอกอยู่ในเรือ ไม่ค่อยมีคนออกไปยืนรับลมด้านนอกเท่าไหร่ แต่พอคุณกัปตันประกาศว่า “ทุกท่านครับ ผมเห็นหมีที่ 10 นาฬิกาลิบๆ” เท่านั้นแหล่ะ ทุกคนก็เด้งออกจากเก้าอี้ แล้ววิ่งออกไปส่องน้องหมีทันที โหย ขนาดใช้กล้องส่องทางไกลยังเห็นหมีตัวกระปิ๊ด คุณกัปตันเค้าเห็นได้ไงวะเนี่ย >_< จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:03:31

ความคิดเห็นที่ 41 นอกจาก cameo น้องหมีแล้ว เรายังได้น้องโลมาคอยเอ็นเตอร์เทนผู้โดยสารด้วยอีก จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:03:59

ความคิดเห็นที่ 42 ปิดท้ายความบันเทิงด้วยเหล่า Steller Sea Lion เจ้าค่ะ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:04:16

ความคิดเห็นที่ 43 นอนอืดเชียวนะแก จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:04:37

ความคิดเห็นที่ 44 เอ่อ ทำไมด้านหลังสิงโตทะเลตัวนั้นมีเสาอากาศด้วยล่ะเหวย O_o อันนี้คุณกัปตันเฉลยว่า เนื่องจากสิงโตทะเลยังมีจำนวนประชากรต่ำกว่าเป้าหมาย เค้าเลยติดเสาอากาศไว้บนหลังสิงโตทะเลบางตัว เพื่อทำการศึกษาว่า ทำไมมันถึงเพิ่มประชากรช้าจัง ส่วนตัว จขกท.มีสมมติฐานว่า ที่สิงโตทะเลเลยขยายพันธุ์ช้า เพราะในทะเลมีทุ่นลอยไม่พอน่ะสิฮะ! ก็ดูเอาเถอะท่าน บนทุ่นมีนอนอืดกันอยู่แค่สามตัว ในขณะที่สิงโตทะเลอีก 4-5 ตัว ว่ายน้ำเวียนเทียนรอบทุ่นไปมา แล้วพอมันทำท่าแง๊วๆจะขอขึ้นไปนอนด้วย มันก็โดนตัวที่ยึดพื้นที่อยู่แว๊กใส่ซะงั้น เมื่อเสียพลังงานกับการว่ายน้ำมากๆแบบนี้ มันจะเหลือแรงปั๊มลูกได้ไงล่ะเนอะ กร๊ากกกก (มั่วได้โล่อีกแล้วตู ) จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:06:45

ความคิดเห็นที่ 45 เป็นอันจบทัวร์อลาสก้าวันที่สองของเราไปอย่างประทับใจพอดู แม้อากาศจะป่วยไปนิด แต่เราก็ได้เห็นทั้งธารน้ำแข็งอันบะเอ้ง พร้อมด้วยสารพัดสัตว์มากมาย ได้สูดอากาศบริสุทธิ์เต็มปอด ได้เพลิดเพลินใจไปกับวิวชายฝั่งเขียวชอุ่มงดงาม เต็มไปด้วยน้ำตกและน้ำแข็ง โดยไม่มีรีสอร์ทหรือคอนโดโผล่มาให้เกะกะลูกตาเลยแม้แต่เจ้าเดียว!! สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ได้มาอย่างฟลุ๊คๆ หากแต่เป็นผลงานที่เกิดจากแรงกาย แรงใจ และกำลังภายใน ของเหล่าบุคคลที่มีความมุ่งมั่น ที่จะรักษาความงดงามของอลาสก้าไว้อย่างสุดความสามารถตะหาก จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:08:34

ความคิดเห็นที่ 46 ก่อนอื่นขออนุญาตเท้าความหน่อยว่า แต่ก่อนโน้นอลาสก้าเป็นดินแดนของรัสเซีย ซึ่งถ้าเห็นแผนที่แล้วก็คงไม่แปลกใจ เพราะอลาสก้าอยู่ใกล้รัสเซียมากกว่าเพื่่อนๆรัฐอื่นในเมกาเสียอีก! ช่องแคบที่คั่นกลางระหว่างไซบีเรียกับอลาสก้านั้น มีชื่อว่า Bering Strait ซึ่งตั้งชื่อตาม Vitus Bering นักเดินเรือชาวเดนมาร์ก ที่ดันไปสังกัดกองทัพเรือรัสเซีย โดย Vitus Bering ถือเป็นคนแรกที่สามารถเดินเรือจากรัสเซียจนมาขึ้นบกที่อลาสก้าได้ ปล. เค้ามีทฤษฎีด้วยว่า แต่ก่อนไซบีเรียเชื่อมกับอลาสก้าโดยไม่มีทะเลมากั้นกลาง ทำให้คนจากไซบีเรีย สามารถเดินเท้าข้ามแดนย้ายถิ่นฐานมายังทวีปอเมริกาได้ ฟังแล้วก็เค้าเข้าอยู่ เพราะชาวพื้นเมืองในทวีปอเมริกาใต้ กับเอสกิโมเนี่ย หน้าตาพิมพ์เดียวกับเลย จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:09:29

ความคิดเห็นที่ 47 ภายใต้การปกครองของรัสเซีย อลาสก้าเป็นเหมือนขุมทรัพย์ขนาดมหึมา โดยเฉพาะบรรดา Sea Otter, Harbor Seal และ Steller Sea Lion ที่กลายสภาพไปเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่ง และโดนล่าจนแทบสูญพันธุ์ แต่ก็นับว่าพวกมันยังโชคดีกว่า Steller Sea Cow (พะยูน) ที่นิสัยเป็นมิตร ไม่กลัวคน ที่สำคัญเค้าว่าเนื้อมันอร่อยด้วยฮ่ะ เลยโดนล่าจนสูญพันธุ์สนิท ไม่เหลือให้ชนรุ่นหลังได้ดูกันอีกแล้ว จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:10:27

ความคิดเห็นที่ 48 พอแหล่งรายได้เริ่มร่อยหรอ แถมการดูแลดินแดนห่างไกลความเจริญอย่างอลาสก้าก็ช่างลำบากยากเย็นเหลือเกิน ประกอบกับตอนนั้นรัสเซียเกิดปัญหาภายใน ดินแดนใต้อาณัติอย่างโปแลนด์ ลิทัวเนีย เบลารุส พากันเฮโลลุกขึ้นมาแข็งข้อ รัสเซียจึงตัดสินใจขายอลาสก้าให้เมกาในปี 1868 โดย William H. Seward รัฐมนตรีต่างประเทศของเมกาในตอนนั้น เห็นว่าถ้าเมกาได้อลาสก้ามา จะเป็นการขยายดินแดนแบบเห็นผลทันตา อีกทั้งอลาสก้าก็น่าจะมีทรัพยากรซ่อนอยู่มากมาย ที่สำคัญราคาที่รัสเซียเสนอมานั้น ช่างลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลเกินห้ามใจมาก 7.2 ล้านดอลลาร์ขาดตัว เฉลี่ยตกอยู่ที่เอเคอร์ละ 2 เซ็นท์!! >_< ขนาดซื้อมาถูกปานนี้ ท่านรมต. Seward ยังไม่วายโดน ส.ส.ในสภาค่อนแคะว่า ซื้อมาทำไมไอ้ WalRussia เนี่ย หนาวก็หนาว ไกลก็ไกล เปลืองงบประมาณ คือที่บ่นๆกันนี่ เพราะตอนซื้อยังไม่มีการขุดพบน้ำมันที่อลาสก้าน่ะสิฮะ เหอเหอ (ภาพ รมต. Seward ที่กำลังโฆษณาโปรเจ็คต์อลาสก้าให้เพื่อนๆในสภา ภาพโดย britannica.com) จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:14:05

ความคิดเห็นที่ 49 แต่ก่อนที่จะมีการค้นพบน้ำมันในอลาสก้า ก็มีการขุดพบทองทางตอนเหนือของแคนาดาและอลาสก้าในปี 1897 ทำให้มีมหาชนผู้อยากรวยทางลัด แห่มาขุดทองที่อลาสก้ากันโครมๆ แต่กว่าจะถึงที่หมาย เหล่านักขุดทองก็แทบหมดสภาพ หลายคนปีนภูเขาที่เต็มไปด้วยหิมะเป็นเวลายาวนานจนตาบอด หลายคนทนความแร้งแค้นไม่ไหว เสียสติ เป็นบ้า ฆ่าตัวตายก็มี ส่วนนักขุดทองที่เหลือรอดปลอดภัย น้อยรายนักที่เจอทองจนรวยสมใจ โดยมากต้องผันตัวเองไปทำเหมืองแร่บ้างล่ะ จับปลาแซลมอน หรือไม่ก็ล่าสัตว์บ้างล่ะ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:15:08

ความคิดเห็นที่ 50 แต่ใช่ว่าจะมีแต่นักขุดทองเท่านั้นที่มุ่งหน้ามายังอลาสก้า ภูมิประเทศที่งดงาม ชวนแก่การค้นหาของมัน เป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดคนรักธรรมชาติ ให้เดินทางดั้นด้นมาสัมผัสอลาสก้าอย่างใกล้ชิด ซึ่งหนึ่งในบุคคลดังกล่าวก็มี John Muir รวมอยู่ด้วย นอกจากจะเป็นผู้ก่อตั้ง Sierra Club ชมรมคนรักษ์ธรรมชาติที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในเมกาแล้ว John Muir ยังเป็นคนผลักดันให้ Yosemite ได้กลายเป็นอุทธยานแห่งชาติอีกด้วยนะขอรับ แม้บ้านคุณจอห์นจะอยู่แคลิฟอร์เนีย แต่แกก็ยังอุตส่าห์นั่งเรือกลับมาเยือนอลาสก้าอีกถึง 7-8 รอบ พร้อมเขียนบทความพร่ำพรรณนาถึงความงามของอลาสก้า ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ที่ซานฟรานอีกด้วย John Muir แกอยากให้คนมาเที่ยวอลาสก้าเยอะๆ เพราะแกเชื่อว่า เมื่อนักท่องเที่ยวทั้งหลายได้เห็นอลาสก้าแล้ว พวกเขาจะต้องตกหลมรักมันเหมือนคุณจอห์น และนั่นก็อาจเป็นแรงบันดาลใจให้นักท่องเที่ยวเหล่านั้น ลุกขึ้นมาช่วยกันปกป้องอลาสก้าให้สวยงามแบบนี้ตลอดไปก็เป็นได้ (ภาพ John Muir โดย Corbis.com) จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:17:11

ความคิดเห็นที่ 51 แม้ John Muir จะมาเยือนอลาสก้าหลายครั้งหลายครา แต่ก็คงไม่มีทริปไหนของแก ที่จะยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างเท่า Harriman Expedition ในปี 1899 อีกแล้ว Harriman เป็นเจ้าของกิจการรถไฟ และถือเป็นมหาเศรษฐีลำดับต้นๆของเมกาในยุคโน้น ต่อมาคุณ Harriman หักโหมทำงานจนร่างกายทรุดโทรม หมอเลยแนะให้แกไปพักร้อนเสีย ท่านเจ้าสัวก็ดันอุตริคิดจะไปล่าหมีที่อลาสก้า แต่ให้ไปคนเดียวก็คงจะเซ็งๆ เฮียเลยเชิญนักวิทยาศาสตร์สารพัดสาขา ไม่ว่าจะเป็นนักธรณีวิทยา ชีววิทยา พฤกษศาสตร์ สัตวศาสตร์ ช่างภาพ รวมทั้งนักอนุรักษ์ชื่อดังอย่าง John Muir ให้มาร่วมมหกรรมเดินเรือสำรวจอลาสก้าเป็นเวลา 2 เดือนเต็มไปพร้อมๆกับเฮียซะเลย ตึ่งโปีะ! แหม่ คนรวยนี่ทำอะไรก็ไม่น่าเกลียดจริงๆเลยนะคะเนี่ย (ภาพบนคือเรือ George W. Elder ที่พาชาวคณะ Harriman Expedition ล่องไปตามริมฝั่งอลาสก้า ส่วนภาพล่างก็คือ บรรดาลูกทัวร์ของ Harriman Expedition - ทั้งสองภาพโดย pbs.org) จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:18:53

ความคิดเห็นที่ 52 นอกจากจะได้ไปเปิดหูเปิดตาถึงอลาสก้าแล้ว เหล่านักวิทยาศาสตร์ยังกลับมาตีพิมพ์เปเปอร์เล่มบะเอ้ง ในชื่อ The Harriman Alaska Series ที่ครอบคลุมหัวข้อสากกระเบือยันเรือรบที่เกี่ยวกับอลาสก้า พร้อมแสดงความเป็นห่วง ที่สภาพชายฝั่งอลาสก้าเริ่มออกอาการเละเทะเสียแล้ว เนื่องจากโดนนักขุดทอง(แต่ไม่เจอทอง)ทั้งหลาย มาจับจองพื้นที่ ตัดไม้ทำลายป่า ทำเหมืองแร่ หรือไม่ก็ตั้งโรงงานแซลมอนกระป๋องกันจนเต็มชายฝั่งเลย >_< ซึ่งอันนี้นักวิชาการของ Harriman Expedition ได้เสนอไอเดียน่าคิดไว้ว่า ทองคำ แร่ธาตุ ป่าไม้ หรือปลาในท้องทะเล ถ้าคนเรายังตั้งหน้าตั้งตาตักตวงแบบไม่บันยะบันยังแบบนี้ ซักวันมันก็จะหมดไป หากแต่ความงามอันเป็นเอกลักษณ์ของอลาสก้าเนี่ย ถ้ารักษาดีๆ รับรองหากินได้ชั่วลูกชั่วหลาน เพื่อนๆเห็นด้วยไหมฮะ (ภาพ : loc.gov) จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:19:56

ความคิดเห็นที่ 53 โชคดีที่หนึ่งในคนที่เห็นด้วยกับความคิดดังกล่าว มีดีกรีเป็นถึงว่าที่ประธานาธิปดีสหรัฐอย่าง Theodore Roosevelt! ปล. อเมริกามีประธานาธิปดีชื่อ Roosevelt สองคน อย่าจำสับสนล่ะเน้อ คนแรกคือ Teddy Roosevelt ผู้ผลักดัน Yellowstone ให้กลายเป็น National Park แห่งแรกของเมกา แถมแกยังเป็นที่มาของหมีเท็ดดี้แบร์อีกด้วยนะเธอ คนที่สองก็คือ Franklin D Roosevelt อดีตประธานาธิปดี 4 สมัย (!) แถมยังญาติห่างๆของเฮียเท็ดดี้อีก นอกจากจะเป็นหนึ่งใน The Big Three แห่งกองกำลังสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว (อีกสองหน่อที่เหลือก็ Churchill กับ Stalin ไงเคอะ ) FDR เป็นคนพาอเมริกาฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ The Great Depression ในปี 1930s อีกด้วยนะขอรับ ล่าสุดนิตยสาร Newsweek ทำการจัดอันดับว่า ใครคือสุดยอดประธานาธิปดียุคกลาง-ใหม่ (คือไม่นับรุ่นเดอะอย่างจอร์จ วอชิงตัน) ปรากฎ Franklin D Roosevelt นำลิ่วเข้าวินเป็นอันดับหนึ่ง โดยมี Teddy Roosevelt ตามมาเป็นอันดับสอง!! แบบนี้ไม่เรียกเป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูล ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้วเนี่ย >_< จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:20:54

ความคิดเห็นที่ 54 มาแย้ววว ตอนนี้ดูอากาศไม่ค่อยเคลียร์ต้องหนาวมั่กๆแน่เลย จากคุณ : Coffee Blended เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:22:38

ความคิดเห็นที่ 55 ปล 2. ถ้าใครเคยดูหนังเรื่อง Night at the Museum ภาคแรก อาจจะคุ้นๆกับ Robin Williams ในโหมดร่างทรงของ Teddy Roosevelt ก็ได้นะฮะ Teddy Roosevelt มีพื้นเพเป็นลูกไฮโซนิวยอร์คค่ะ สมัยเด็กๆแกเป็นโรคหอบหืดอย่างรุนแรง ทำให้ ด.ช.เท็ดดี้ไม่สามารถออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนฝูงได้ เลยได้แต่นั่งหมกตัวอ่านหนังสืออยู่กับบ้าน พออ่านตำราเกี่ยวกับสิงสาราสัตว์มากเข้าๆ ด.ช.เท็ดดี้ เลยมีความสนใจในธรรมชาติรอบตัวไปโดยปริยาย และทำให้โตขึ้น แกมีงานอดิเรกคือการเข้าป่าล่าสัตว์ค่ะ () วีรกรรมของคุณ Teddy Roosevelt นี่มีเยอะแยะจนแจงไม่ถูกเลย เพราะแกผ่านงานมาหลายจ๊อบมาก ตั้งแต่ทหารเรือ, นายอำเภอในรัฐ North Dakota, จัดตั้งกองกำลังอาสาสมัครเพื่อร่วมรบ ในสงคราม Spanish–American War, ผบ.ตำรวจนิวยอร์ค, Governor of New York รวมทั้งต่อมาแกได้รับเลือกให้เป็นรองประธานาธิปดีในสมัยปธน. William McKinley อีกด้วย ทว่าในปี 1901 ปธน. McKinley โดนลอบยิงเสียชีวิต Teddy Roosevelt เลยต้องตกกระไดพลอนโจน ดำรงตำแหน่งประธานาธิปดีไปอย่างมึนๆ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:22:56

ความคิดเห็นที่ 56 ตามมาปาดครับ จากคุณ : pj0001 เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:25:21

ความคิดเห็นที่ 57 Teddy Roosevelt อ่านรายงาน The Harriman Alaska Series ตั้งแต่ก่อนจะได้เป็นปธน.เสียอีก ซึ่งแกก็มุ่งมั่นมากว่า เราจะต้องปกป้องพื้นที่ป่าอลาสก้าไว้ให้จงได้ พอได้เป็นประธานาธิปดีปุ๊บ เฮียเลยลุยแหลกทันที ด้วยการประกาศให้พื้นที่มหาศาลของอลาสก้า ให้กลายเป็น Tongass และ Chugach National Forest ซึ่งการจัดตั้งป่าสงวนทั้งสองแห่งนี้ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้นายทุนเข้าไปหาผลประโยชน์ในพื้นที่นั่นเอง Teddy Roosevelt แกไม่กลัวหรอก ถ้าชาวบ้านจะเข้าป่าไปตัดไม้ 10-20 ต้นมาปลูกบ้านอยู่เอง สิ่งที่แกกลัวที่สุด คือการที่สักวันจะมีนายทุนเข้าไปตักตวงผลประโยชน์จากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการตัดไม้ทำลายป่า การล่าสัตว์ตามใบสั่งของเศรษฐีทั้งหลาย การระเบิดภูเขาเพื่อทำเหมือนแร่ทองแดง รวมทั้งการจับปลาทะเลอย่างไม่บันยะบันยัง นี่ไม่นับมลภาวะทั้งหลายแหล่ที่มาพร้อมอุตสาหกรรมเหล่านี้อีก ส่วนภาพนี้ก็คือแผนที่ Chugach National Forest ในปัจจุบัน ซึ่งครอบคลุม Prince William Sound ที่เรามาเที่ยวในวันนี้ด้วยค่ะ (ภาพ : wikipedia) จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:25:55

ความคิดเห็นที่ 58 #แต่เด๋วจะหนาวยังไง ก็ต้องติดตามต่อไปนะน้องกาแฟ #ตามมาเลยค่าคุณ pj0001 -------------------------------------------------------------------------------- โดนตัดหนทางทำมาหากินแบบนี้ ชาวบ้านก็เลยโวยวายใหญ่ว่า ฉันเป็นคนอลาสก้า นี่ก็พื้นที่ของอลาสก้า รัฐไม่มีสิทธิมาจุ้นจ้านนะ แต่ Teddy Roosevelt ตอบกลับไปอย่างนิ่มๆฮ่ะว่า หน้าที่ของรัฐบาลคือการดูแลผลประโยชน์ของคนทั้งประเทศ ไม่ใช่เฉพาะผลประโยชน์ของคนอลาสก้าอย่างเดียว ที่สำคัญ เราจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของชนรุ่นหลังด้วย อย่าคิดแต่ว่า ฉันสบายวันนี้ก็พอแล้ว ถ้าอีกหน่อยอลาสก้าไม่เหลือป่าไม้ ไม่เหลือสัตว์ป่า ไม่เหลือปลาให้จับ พวกคุณจะทำไรกิน ถามหน่อย เฮ้อ ไม่ทราบว่าเฮียเท็ดดี้จะคิดไง ถ้าแกเห็นรัฐบาลเมกายุคนี้ถลุงเงินไปมากมาย กับสงครามไร้สาระจนติดหนี้หัวโตเนี่ย -_- (ภาพ Teddy Roosevelt ถ่ายคู่กับ John Muir ที่ Yosemite โดย corbis.com เช่นเคย) จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:28:45

ความคิดเห็นที่ 59 ฟังแล้วเรื่องราวน่าจะจบลงด้วยดีใช่ไหมคะ Teddy Roosevelt ปกป้องธรรมชาติของอลาสก้าสำเร็จตามเป้าหมาย แถมตอนอำลาตำแหน่ง แกก็ย้ำนักย้ำหนากับ William Taft ผู้ที่จะมาดำรงประธานาธิปดีคนถัดไป (ซึ่งหน้าแอบเหมือนเฮียเท็ดดี้เลยฟ่ะ กร๊ากกกก) ว่าพี่ฝากน้อง Taft ดูแลอลาสก้าของพี่หน่อยนะ ฝ่าย Taft ก็ตกปากรับคำป๋าเท็ดเต็มที่ ว่าผมจะไม่ทำให้พี่เท็ดผิดหวังแน่นอนครับ T^T แต่พอ Teddy Roosevelt โบกมือลาเมกา ไปทัวร์ล่าสัตว์()ที่แอฟริกาเท่านั้นแหล่ะ ลูกน้องของพี่ Taft ซึ่งมีแบ็คเป็นสองอภิมหาเศรษฐีอย่าง JP Morgan / Guggenheim ก็ค่อยๆเดินเรื่องไฟเขียวให้นายทุนเข้ามาตั้งโรงงานใน Chugach National Forest ซะงั้น! จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:29:53

ความคิดเห็นที่ 60 มาตอกบัตร ลงชื่อ ไว้แวะมาอ่านนะครับ จากคุณ : ฟองสบู่ เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:31:57

ความคิดเห็นที่ 61 เจอดอกนี้เข้าไป Teddy Roosevelt ที่ประกาศรีไทร์ตัวเองจากการเมือง จึงต้องกลับลำมาฟัดกับ Taft ให้รู้ดำรู้แดง แต่เมื่อพรรครีพับลิกัน ยืนยันว่าจะสนับสนุนให้ Taft ลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิปดีต่อเป็นสมัยที่สอง เฮีย Teddy Roosevelt ก็เลยชิ่งออกมาตั้งพรรคการเมืองใหม่มันซะเลย ชะละล่า! โดยพรรคใหม่เอี่ยมอ่องของเฮียใช้ชื่อ Progressive Party และมีนิคเนมว่า Bullmoose Party ส่วนที่มาของชื่อเล่นสุดคิขุของพรรคเนี่ย นอกจากจะเข้ากับธีมอนุรักษ์ธรรมชาติของพรรคแล้ว ก็มาจากคำถามที่นักข่าวถามท่านเท็ดดี้ว่า หายไปนานแบบนี้ ท่านยังจะเป็นประธานาธิปดีไหวเหรอครับ ซึ่งเฮียเท็ดดี้ก็ตอบไปอย่างมั่นสุดๆว่า ไหวสิน้อง พี่นะฟิตปั๋ง เตะปี๊บดังพอๆกับ Bullmooose เลยนะจ๊ะ ปล.ภาพล่างนี่ ก็คือภาพ Teddy Roosevelt ขี่ Bullmoose ค่ะพี่น้อง >_< ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นรูปจริง หรือตัดต่อ เพราะ Bullmoose ตัวจริงก็ใหญ่อย่างที่เห็นนี่แหล่ะ น้ำหนักเฉลี่ยมันก็แค่ 500 กว่าโลเท่านั้นเอง เอร๊ยยย >_< (ภาพโดย นิตยสาร LIFE) แก้ไขเมื่อ 08 ต.ค. 55 11:22:49 จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:33:06

ความคิดเห็นที่ 62 ปล. อันนี้นอกเรื่องหน่อยนะฮะ แบบว่าอยากเล่าวีรกรรมของเฮียเท็ดดี้ ว่าป๋าแกเปรี้ยวแค่ไหน ระหว่างที่ Teddy Roosevelt ออกทัวร์หาเสียงให้กับ Bullmoose Party ที่เมือง Milwaukee มลรัฐวิสคอนซิน ในจังหวะที่แกกำลังจะเดินขึ้นเวทีนั่นเอง เฮียเท็ดดี้ของเราก็ถูกลอบยิงเข้าที่อกค่ะ! O_o แต่โชคดีที่กระสุนไม่ทะลุอกคุณ Teddy Roosevelt เพราะเจอกล่องแว่นโลหะ และโพยสุนทรพจน์หนา 50 หน้า ที่เฮียพกอยู่ในเสื้อโค๊ตทำหน้าที่เป็นเกราะกำบังไว้เสียก่อน พอโดนยิงปุ๊บ บรรดาลิ่วล้อก็จะรีบพา Teddy Roosevelt ไปโรงพยาบาลทันที แต่พอเฮีย Teddy เห็นว่าไอออกมาแล้วไม่มีเลือด เฮียก็สรุปเองเบ็ดเสร็จว่า กระสุนคงไม่โดนจุดสำคัญ อีเลยขึ้นเวที่ไปให้สุนทรพจน์ต่อตามแผนค่ะพี่น้อง >_< แถมยังพูดอีกนะว่า "ไม่ทราบตะกี้พวกคุณเห็นรึเปล่านะครับว่าผมโดนยิง แต่ถ้าคิดจะฆ่า Bullmoose น่ะ แค่นี้ยังไม่พอหรอกนะจ๊ะ!" กร๊ากกกกก เดี๊ยนว่าเรื่องความ Bad Ass เนี่ย ต่อให้เป็นพี่คนเหล็กอาร์โนลด์ ก็ยังสู้ป๋าเท็ดของเราไม่ได้แน่นอนค่ะ คอนเฟิร์ม! จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:37:00

ความคิดเห็นที่ 63 ต่อค่ะต่อ เนื่องจากรีพับลิกันหันมาตีกันเอง พรรคเดโมแครตที่นำโดย Woodrow Wilson เลยชนะการเลือกตั้งหนนั้นอย่างถล่มทลาย แต่เฮียเท็ดดี้ก็ยังยืดอกได้หน่อย เพราะอย่างน้อยพรรคเฮียก็ทำคะแนนทิ้งขาด Taft จนไม่เห็นฝุ่นละกัน สำหรับ Chugach National Forest แล้ว แม้จะรอดการถางป่าไปได้ แต่มันก็โดนลดพื้นที่ลงเหลือแค่ 1 ใน 3 ของเวอร์ชั่นที่อนุมัติโดยป๋า Roosevelt เท่านั้น T_T เอาวะ อย่างน้อยผืนป่าที่เหลืออยู่ก็ยังใหญ่พอ ที่จะให้ชนรุ่นหลังอย่างเราๆท่านๆ ได้ชื่นชมไปกับความความงาม และความอุดมสมบูรณ์ของมันละเนาะ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:37:54

ความคิดเห็นที่ 64 หลังจากนั่งเรือก้นแบะ 9 ชั่วโมงแล้ว ชาวคณะก็กลับมาขึ้นบกที่เมือง Valdez อีกครา ริมท่าเรือ Valdez นี่เขาแขวนปลาขายกันจะๆแบบนี้เลยฮ่ะ ที่เห็นตัวขาวๆนั่นก็ปลา Halibut (ปลาตาเดียว?) ส่วนที่ล้างพุงปลาเนี่ย ไม่แน่ใจนะฮะว่าเป็นบริการหลังการขาย หรือคนซื้อต้องล้างกันเอาเองกันแน่ จะว่าไปแล้ว เมือง Valdez นี่ออกจะเงียบๆ เล็กๆ เก่าๆ มีแอบโทรมเล็กน้อย ทั้งที่ทำเลออกจะแจ่ม ติดภูเขา ติดทะเล ใกล้ธารน้ำแข็ง แถมยังมีแมวน้ำ นากทะเล ยันกองทัพน้องต่ายเป็นตัวเรียกแขกอีกตะหาก แม้จะขาดความเก๋ไก๋กุ๊กกิ๊ก แต่บรรยากาศบ้านๆทื่อๆอย่างนี้ ก็นับว่าเป็นเสน่ห์แบบแนวๆของ Valdez ก็ว่าได้นา จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:40:52

ความคิดเห็นที่ 65 จะเซ็งเป็ดสุดๆก็ตรงที่ คืนวันอาทิตย์อย่างงี้ ร้านอาหารใน Valdez ดันปิดทำการเกือบหมดเลย ยกเว้น Mike's Palace Ristorante ที่ยังเปิดให้บริการอยู่ (เหมือนว่าร้านนี้เจ้าของเป็นคนจีนด้วยฮ่ะ มิน่าล่ะ เหอเหอ) อาหารร้านนี้รสชาติก็โอเคค่ะ จขกท.สั่ง Cioppino ซึ่งเป็นสตูซีฟู้ดสไตล์ซานฟราน น้ำซุปเป็น tomato based กินแล้วไม่เลี่ยนดีฮ่ะ แต่ซุปมันไม่กลมกล่อมเท่าเวอร์ชั่นที่ จขกท.เคยหม่ำมา -_- แต่ต้องยกให้ว่า อีกระหน่ำกุ้งหอยปูปลามาให้เยอะมากๆ จานนี้แบ่งกิน 2 คนได้สบายๆเลยฮ่ะ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:41:53

ความคิดเห็นที่ 66 ส่วนน้องปอก็สั่งสลัด กับปลา Halibut ย่าง Halibut อร่อยมากกกกก เนื้ออย่างนิ่ม ออกมันนิดๆ flaky หน่อยๆ สุโค่ยมั่กอ่า T^T ผิดวิสัย Halibut ตามร้านทั่วไปในเมกา ที่เนื้อจะแข็งๆ จืดๆ กินแล้วเก็กซิมเป็นที่สุด จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:42:20

ความคิดเห็นที่ 67 ค่ำนั้นเราแวะไปที่ออฟฟิสของ Anadyr Adventures ด้วย เพราะพรุ่งนี้เรามีโปรแกรมพายเรือคายัคกับบริษัทนี้ เค้าเลยนัดให้พวกเราไปเซ็นต์ Waiver ซึ่งสรุปสั้นๆได้ว่า Kayak at your own risk เป็นไรตาย บริษัทไม่รับผิดชอบนะจ๊ะ -_- "พวกหนูจองทัวร์คายัคที่ Columbia Glacier ไว้ใช่มั๊ย" คุณยายที่เฝ้าเคาน์เตอร์ถาม "ค่ะยาย" "อืม แต่พยากรณ์อากาศเค้าว่าพรุ่งนี้ฝนจะตกหนัก คลื่นลมแรง เรือเล็กควรงดออกจากฝั่งนะหนู" "แต่พวกหนูจ่ายมัดจำไปแล้วนะยาย" (ค่าทัวร์คนละ $229 มัดจำ 25%) "ถ้าออกเรือไม่ได้จริงๆ เดี๋ยวยายคืนมัดจำให้เอง หรือไม่ก็เปลี่ยนทัวร์ไปพายตรง Shoupe Glacier (ธารน้ำแข็งเล็กๆตรงแถว Valdez) แทนก็ได้ ยังไงพรุ่งนี้ 8 โมงเช้า พวกหนูก็แวะมาที่ออฟฟิสนี้อีกรอบละกันนะ" คืนนั้น จขกท.เลยต้องกลับไปสวดมนต์ขอพรกับเทพเจ้าแห่งการท่องเที่ยวรัวๆ สาธุ ขอให้พรุ่งนี้ฟ้าใส อากาศดี ออกเรือได้เถอะเจ้าค่า จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:43:22

ความคิดเห็นที่ 68 สวย  ไปเที่ยวด้วยครับ จากคุณ : เล็กทาโร่ เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:44:01

ความคิดเห็นที่ 69 ...ปรากฎ ตื่นเช้ามา ฟ้ามืดตื๋อ ฝนตกไม่หยุดเลย แง๊ Columbia Glacier ของช๊านนนนน แต่ช้าก่อนอีชอ อย่าเพิ่งถอดใจ รีบโทรหา Anadyr ก่อนดีกว่า "ฮัลโหล Anadyr Adventures สวัสดีค่ะ" ปลายสายเป็นสาวน้อยเสียงใส ที่มาเฝ้าร้านแทนคุณยายเมื่อคืน "จองทัวร์ Columbia Glacier ไว้อ่ะค่ะ เมื่อคืนคุณยายที่ร้านบอกว่า วันนี้อาจออกเรือไปไม่ได้ เลยโทรมาเช็คอีกที" "งั้นรอแป๊บนะคะ เด๋วถามกัปตันให้ .... กัปตันบอก สบมยห.ค่ะ ให้มาได้เลย เจอกัน 8 โมงตรงนะคะ!" "กรี๊ดดดดดดดดดดดด เพื่อนๆรีบแต่งตัวเร็วเข้า เด๋วเราจะได้ไป kayak กันแล้วน๊าาาาา" "เอ่อ...แน่ใจเหรอชอ ฝนตกแบบนี้จะพายเรือไหวเหรอ" เพื่อนตอถามด้วยความเป็นห่วง(สวัสดิภาพตัวเอง) "เฮ่ย เค้าว่าไปได้ก็ไปได้สิ รีบเก็บของเร็วเข้า ให้ไว! ให้ไว!" ชาวคณะที่เหลือเลยโดน จขกท.ลากกลับมายัง Anadyr Adventures ตั้งแต่ไก่โห่ด้วยประการฉะนี้แล จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:44:23

ความคิดเห็นที่ 70 #ตามสบายค่ะคุณฟองสบู่ #อย่าเพิ่งเปลี่ยนช่องนะฮะคุณเล็กทาโร่ นี่ยังเที่ยวไม่ถึงไหรเลย ------------------------------------------------------------------------------------ มาถึง เราก็ได้พบกับ Heather ไกด์คายัคสาวผู้น่ารักของเรา ซึ่งเจ๊เฮเตอร์ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง จับชาวคณะแต่งตัวกันหนาว กันน้ำเสียเต็มยศ มีทั้งรองเท้าบู๊ตยาง กางเกงกันน้ำ เสื้อหนาว แจ็คเก็ตกันน้ำ ชูชีพ ฯลฯ ส่วนกระโปรงที่ห้อยเอวเหลืองๆนั่น เวลาลงเรือคายัค ก็ให้เอากระโปรงนี่ไปครอบขอบที่นั่ง เป็นการกันน้ำเข้าอีกชั้นนึง แบบว่าชุดหลายชั้นมาก จนชาวคณะชักกลัว ว่าถ้าตกน้ำไป ตูจะจมเพราะโดนชุดถ่วงรึเปล่า -_- เอาฮ่ะ ชุดพร้อม! ชาวคณะพร้อม! ออกเดินทางได้! จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:46:24

ความคิดเห็นที่ 71 จากนั้นเราก็ขนสมบัติ (ที่อยู่ในถุงกันน้ำที่คุณไกด์ให้มาอีกที) ไปลงเรือลำน้อยที่จะพาเราไปยัง Columbia Glacier จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:46:44

ความคิดเห็นที่ 72 ขอบอกว่าตอนเรือแล่นออกมาจากท่าใหม่ๆนี่ เร้าใจโคตรๆเลยค่ะ เพราะคลื่นแรงมาก นั่งไป เรือกระดกขึ้นลงฟาดคลื่นไป ใครเมาเรือง่ายหน่อยนี่คงได้อ้วกพุ่งแน่ๆ -_- สักพัก เราก็เห็นมีเรือลำนึง จอดแช่อยู่กลางทะเล เขามุงอะไรกันอยู่น๊อ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:47:13

ความคิดเห็นที่ 73 เอร๊ยยยย น้อง Killer Whale น่ะเอง แถมงวดนี้ไม่ได้มีแค่ตัวสองตัวด้วย มากันเป็นฝูง 5-6 ตัว ว่ายวนอยู่รอบเรือเลย >_< แม้แต่เจ๊ไกด์ยังต้องงัดกล้องขึ้นมาถ่ายรูป เจ๊บอกว่า พวกเราโชคดีมากเลยนะ ขนาดตัวเจ๊ออกทะเลอยู่เนืองๆ เจ๊ยังไม่ได้เห็น Killer Whale มาตั้ง 2-3 เดือนแล้วเลย จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:48:15

ความคิดเห็นที่ 74 เมื่อพี่วาฬยังออกโรง มีเหรอฮะที่น้อง Sea Otter จะยอมแพ้ "พี่ๆเค้า synchronized swimming พวกหนูก็ต้อง synchronized floating แข่งมั่ง ฮี่ๆ" จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:48:45

ความคิดเห็นที่ 75 หลังจากนั่งเรือฝ่าคลื่นลมมาซักชั่วโมงหน่อยๆ ก็ได้เวลาออกกำลังกายพายเรือกันเสียที โดยคุณกัปตันมาปล่อยเราที่ริมชายฝั่ง เพื่อให้เราได้ปีนขึ้นเรือคายัคกันสบายๆ แล้วค่อยให้เจ๊ Heather รับบทหนัก ลากคายัคของเราลงน้ำ เง้อออ ฝนยังตกไม่หยุดเลยอ่า ทำไมเทพเจ้าแห่งการท่องเที่ยวไม่เมตตาพวกหนูบ้างเรย จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:49:39

ความคิดเห็นที่ 76 แต่เอาวะ มาถึงนี่แล้วก็ต้องสู้ตาย ชิมิ พายต่อไป ทาเคชิ! T^T ปล.เรือคายัคที่เราใช้เนี่ย เป็นเรืออย่างดี ไม่คว่ำง่ายๆ ขนาดเราพายชนกันเองเรือยังไม่คว่ำเลยฮ่ะ แถมยังใช้เท้าเหยียบเกียร์บังคับทิศทางซ้ายขวาได้ด้วยนะฮะ รับรองว่าพายไม่ยากเลยค่ะ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:50:04

ความคิดเห็นที่ 77 แต่ว่าไป บรรยากาศม่านหมอกในหุบเขาแบบนี้ ก็สวยไม่ใช่เล่นเลยนา จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:51:11

ความคิดเห็นที่ 78 แถมยังมีกองพันน้องนกมาคอยให้กำลังใจพวกเราด้วย (หรือน้องนกกำลังนินทาชาวคณะอยู่หว่า ว่าอีนี่พายก็ช้าแล้วยังมัวแต่หยุดถ่ายรูปอีก -_-) จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:51:32

ความคิดเห็นที่ 79 เราพายเรือผ่านน้ำตกเล็กๆขำๆ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:51:50

ความคิดเห็นที่ 80 ก่อนที่เจ๊ Heather จะให้พวกเราจอดเรือพักยก จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:52:07

ความคิดเห็นที่ 81 ออกไปเดินยืดเส้นยืดสายบนเนินเสียหน่อย จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:52:24

ความคิดเห็นที่ 82 ชมลำธารอันน้อยไปพลางๆ จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 8 ต.ค. 55 08:52:41