ความคิดเห็นที่ 1 เกาะโบกี้ไปด้วยคน...........ขอบคุณครับ   จากคุณ : Low Batt เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 09:52:27

ความคิดเห็นที่ 2 ก่อนอื่นก็ต้องขอกางแผนที่เดินทางตามธรรมเนียมก่อน  ซึ่งคราวนี้ถือเป็นแผนการเดินทางที่ยาวไกลมาก ต้องวางแผนพักนอนตามเส้นทางเป็นระยะ เพราะผมขับรถคนเดียว(มือเดียว ไม่มีใครเปลี่ยน) แถมยังต้องลงรถออกเดินสำรวจ(คนเดียว) อีกด้วย ในคืนแรกของการเดินทาง (เพราะออกจากกรุงเทพฯก็มืดค่ำแล้ว) แวะพัก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่เพิ่งไปทำธุระมาเมื่อปลายปีที่แล้ว แถมด้วยเที่ยวเขาช่องกระจก กับอ่าวมะนาว ซึ่งก็ยังไม่ได้ทำรีวิวให้ดูกัน(คาดว่า อาจเป็นปีหน้า...ฮา...เพราะไม่มีเวลา มีคิวรอลงเพียบ!)  แผมแสดงด้วยเส้นสีม่วงระบุวันเดินทางที่ 11 เมษา 55  จากนั้น ในวันรุ่งขึ้นก็ออกเดินทางต่อไปยังเป้าหมายแรกของทริปนี้ คือ  สะพานรถไฟข้ามแม่น้ำสวี ที่ทราบมาก่อนว่า เป็นสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำที่ยาวที่สุด....เดี๋ยว..ยังก่อน ไม่ใช่ยาวที่สุดจริงๆ (เพราะยาวที่สุดคือสะพานพระราม 6 ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาที่กรุงเทพฯ นี่แหละ)  ที่ว่ายาวของสะพานแห่งนี้ ก็คือ ช่วงสะพานโล่งๆ ที่ไร้เสา ภาษาคนรถไฟเขาเรียกว่า Span  นับเป็นสะพานที่ไม่มีเสากลางน้ำ มีเสาอยู่บนตลิ่งทั้งสองฟาก แถมด้านหนึ่งยังเลยตลิ่งเข้าไปอีกหน่อย มีถนนให้รถวิ่งลอดได้อีก...  รวมแล้ว 81 เมตร!  เกือบ ร้อยเมตรโน้น โดยไม่มีเสาค้ำยันอะไรข้างล่าง โล่งๆ หวิวๆ แต่ก็ทนผ่านกาลเวลามาได้นานนับร้อยปี จึงเป็นสิ่งท้าทายให้ไปชมกันครับ และในวันต่อไปก็มีเป้าหมายหลักคือ อุโมงค์รถไฟช่องเขา (เน้นว่าช่องเขา ไม่ใช่เขาช่อง เพราะนั่นคือยี่ห้อกาแฟ ครับ...ฮา  ผมเองยังเผลอพิมพ์ชื่อผิดไปเหมือนกัน)  จากนั้นก็เข้าสู่หาดใหญ่  แวะชมสถานีชุมทางหาดใหญ่ ที่ไม่ค่อยเห็นมีใครถ่ายภาพ รีวิวมาให้ชมกัน ไม่รู้ว่าห้ามถ่ายหรือเปล่า แต่ผมก็ถ่ายมาได้ท่ามกลาง จนท.ทหาร รักษาความปลอดภัย เรียกว่า ดงปืน กันเลย  จากนั้น ก็ล่องไปชายแดน แวะชมสถานีเก่า ศาลาทุ่งลุง (เรียกยากมากๆ เพราะจะหลงเป็น ทุ่งรุ่ง ไปอีก)  ที่เลิกใช้แต่ถูกปรับปรุงให้เป็นสวนสาธารณะ ตามด้วย สถานีคลองแงะ อันเป็นสถานีรถไฟสุดท้ายที่อยู่ในเขตประเทศไทย จนไปถึงที่ ปาดังเบซาร์ ชายแดนไทย-มาเลเซียเพื่อค้นหาสถานีฝั่งไทยเก่าที่เคยมี และ แอบมองผ่านรั้วไปดู สถานีปาดังเบซาร์ ที่เป็นของมาเลเซีย เพราะเข้าไปไม่ได้ เนื่องจากไม่มีพาสปอร์ต แล้วก็วกกลับ เที่ยวเมืองสงขลา ไปดูสถานีรถไฟเก่า (อีกแล้ว...)  ก่อนจะพาขึ้นเขาตังกวน ไปดูวิวเมืองสงขลา แล้วตามด้วย ปลายแหลมสุดแห่งเมืองสงขลา ปากน้ำทะเลสาบ หาดสมิหรา แล้วกลับกรุงเทพฯ ทางสะพานติณสูลานนท์  จนมาพักที่ชุมพร เพื่อท่องเที่ยวแถม อีก 1 วัน ครับ โอย..แค่บรรยาย ก็เยอะจนจำแทบไม่ได้แล้ว... จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 09:57:28

ความคิดเห็นที่ 3 สวัสดีครับ คุณ  Low Batt : ด้วยความยินดี สวัสดีแต่ต้นกระทู้ ครับ  บังเอิญผมไม่ได้นั่งรถไฟไป  นั่งรถยนต์ไปจึงเป็นการตามรอย หรือ แกะรอย รถไฟ นะครับ (ลำบากเหมือนกัน เพราะต้องหาจุดเข้าถึง จุดต่างๆ ที่อยู่บนทางรถไฟให้ได้) สำหรับแผนที่ข้างบน ก็ดูปะติดปะต่อ มาก เพราะภาคใต้นั้นมีระยะทางที่ยาวเป็นเส้นตรง จึงหาแผนที่ ที่ละเอียดพอดู มาแสดงพร้อมๆ กันได้ยาก ได้ฤกษ์เบิกดี พร้อมเดินทางแล้วก็ออกเดินทางได้ 2 ทุ่มครึ่งพอดี  คืนนี้เราต้องไปให้ถึง ประจวบให้ได้ ไม่รู้จะกี่โมงกี่ยาม ก็ต้องไป  ไม่งั้นแผนงานที่วางไว้จะเลื่อนออกไปจนอาจถูกตัดออกไปได้ เพราะต้องรีบกลับมาถึงกรุงเทพฯตอนเย็นวันที่ 16 ให้ได้  ไม่ได้จองที่พักไว้ด้วย แต่ก็หมายตาไว้ที่แห่งเดิม เมื่อคราวมาประจวบปีที่แล้ว เพราะราคารับได้ แต่ท้องที่น่าสงสารก็เกิดร้องขึ้นมาอีก เลยต้องจอดแวะทานข้าวปั๊มใหญ่ ตรงจุดตัดถนนเอกชัย-พระราม 2 เลยมหาชัยเมืองใหม่ไปนิด (เป็นปั๊มที่เข้าออกได้ 2 ถนน เลยทำให้มีรถใช้วิ่งเข้ามาจากกรุงเทพฯ ทาง ถ.พระราม 2 เพื่อกลับรถย้อนไป บางบอนทาง  ถ.เอกชัยได้ ผมเองก็ชอบวิ่งแบบนี้เหมือนกัน)    จุดเหมาะๆ ที่จอดก็คือหลังปั๊ม เงียบๆ ไม่ค่อยมีผู้คน อาหารที่คุณพ่อตา ท่านเตรียมมา ก็ได้รับใช้พวกเราไปเรียบร้อย 1 มื้อครับ  ประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง ถึงได้ออกจากจุดนี้...เฮ้อ.. ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้ถึง ประจวบกัน.. จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 10:09:33

ความคิดเห็นที่ 4 มารอชมค่ะ :) จากคุณ : ไม่เมา ไม่อ้วก ไม่พูดมาก เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 10:14:31

ความคิดเห็นที่ 5 อู้งานไปเที่ยวด้วยค่ะ อิอิ จากคุณ : ตัวยาว (lekatuayao) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 10:15:15

ความคิดเห็นที่ 6 รอชมครับ จากคุณ : ยุง บิน ชุม เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 10:45:19

ความคิดเห็นที่ 7 สวัสดีครับ คุณไม่เมา ไม่อ้วก ไม่พูดมาก ,คุณตัวยาว (lekatuayao) และคุณ ยุง บิน ชุม: ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาทักทาย และให้กิฟท์ ครับ ท่ามกลางการจราจรคับคั่งยามดึก เล่นเอาเครียดมากไปเลย เพราะถนนเพชรเกษม ตั้งแต่ แยกเข้าชะอำไป เป็นถนน 4 ช่องทาง ฝั่งละ 2 ช่อง ในช่องซ้ายมีรถบรรทุกวิ่งเยอะ วิ่งช้า ส่วนช่องขวาเป็นรถวิ่งเร็วมาเป็นขบวนยาว ผมขับรถไม่เร็วกลางๆ ยิ่งตอนกลางคืน ใช้ความเร็วเฉลี่ย 75 กิโลเมตร/ชม. ต้องวิ่งในช่องซ้าย เลยทำให้ประสบปัญหาติดรถบรรทุกบ่อยๆ ต้องรอเปลี่ยนช่องทางเพื่อแซง กว่าจะได้แซงก็นาน และเครียดเพราะถูกเปิดไฟสูงใส่ เป็นบางครั้ง แซงได้ก็ต้องเร่งควันดำ แล้วรีบกลับเข้าช่องซ้าย แล้วไม่นานก็ไปเจอรถบรรทุกคันต่อไปอีก  ทางราชการน่าจะขอความร่วมมือ ให้รถบรรทุกหยุดวิ่งในช่วงต้นเทศกาล และปลายเทศกาล โดยเฉพาะตอนกลางคืนจะดีมาก ยกเว้นว่าถนนเส้นนั้นฝั่งละ 3 ช่องทางขึ้นไป   น่าเห็นใจคนใต้เหมือนกัน ที่ถนนยังมีฝั่งละ 2 ช่องทาง ในขณะที่สายเหนือ ถ.พหลโยธิน ไป นครสวรรค์ ฝั่งละ 4 ช่องทางแล้ว และในที่สุดก็มาถึง ที่พักเดิม จนได้ ฟ้าประทานรีสอร์ท  ไปพักครั้งแรกก็ลืมจำชื่อ จำได้แต่ตำแหน่งที่บันทึกไว้ใน GPS ต้องวิ่งรถออกจากถนนหลัก เขาถนนเล็กตอนตี 1 เปลี่ยวๆเหมือนกัน แต่ก็เข้าพักในเวลา ตีหนึ่งครึ่ง เกือบจะเปลี่ยนใจไปพักที่อื่นแล้ว เพราะผู้ดูแลนอนหลับ ต้องโทรเรียกกลางดึก...เฮ้อ... ก่อนขนของเข้าก็รีบถ่ายภาพห้องไว้ดูอ้างอิงก่อน จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 11:21:52

ความคิดเห็นที่ 8 ทริปนี้ไปกัน 6 คนกับเด็กเล็กอีก 1 คน เลยขอเปิดแค่ 2 ห้องได้ ห้องเล็กในรูปข้างบนผมนอนกับแฟน ห้องใหญ่ ที่เหลือนอนกัน ในห้องรูปข้างล่าง จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 11:24:11

ความคิดเห็นที่ 9 สำหรับห้องใหญ่นี้ มีสิ่งที่น่าสนใจพอควร คือเฟอร์นิเจอร์ของเก่าโบราณ เลยถ่ายภาพมาดูกันเล่น ชอบใจโต๊ะวางทีวี ที่ดัดแปลงมาจาก จักรเย็บผ้าเก่าแบบใช้เท้าถีบ ที่คุณแม่ผมเคยใช้เป็นประจำ เข้าใจคิด เพราะมีลิ้นชักให้พร้อมเสร็จ แถมนำกรอบภาพไม้สลักมาวางเป็นพื้นอีก จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 11:27:41

ความคิดเห็นที่ 10 ภาพซ้าย : ก่อนจะนอน ก็ไม่ลืมเก็บภาพแสงสียามค่ำคืนหน้าห้องพักไว้ด้วย ชอบจริงๆ ครับ เผลอๆ อาจได้ภาพติดวิญญาณมาออกทีวี ได้เงินไปใช้อีก...ฮา ภาพขวา : ตอนเช้าตื่นมา เล็งภาพมุมมองเดิม เป็นภาพถ่ายจากหน้าห้องพักใหญ่ ออกมายังถนนกลางรีสอร์ท ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 11:31:31

ความคิดเห็นที่ 11 เดินมาห้องใหญ่ เพื่อนัดแนะสมาชิกไปหาอะไรทานกันก่อนเช็คเอาท์ เลยได้ภาพสวยๆ ด้านหน้าห้องมาให้ชมกัน  ชอบใจลวดลายประตูด้านหน้าที่วาด  เจ้าของรีสอร์ทนี้คงเป็นช่างศิลป์ หรือชื่นชอบศิลปะมาก่อน จึงพบภาพวาดมากมายทั่วไปทั้งในห้องและนอกห้อง จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 11:35:04

ความคิดเห็นที่ 12 กลับมาห้องเล็กของผม แม้จะเคยถ่ายภาพมาแล้วเมื่อมาครั้งก่อน แต่ก็อดใจไม่ได้เลยเก็บภาพกระท่อมประยุกต์มาให้ดูกัน ข้างในก็ดังรูปในคห.7 จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 11:37:00

ความคิดเห็นที่ 13 ภาพซ้าย : จากหน้าห้องผม มองออกไปยังถนนกลางรีสอร์ท ภาพขวา : หรือจากถนนกลางรีสอร์ท มองเข้ามายังห้องพักผม กลางคืนก็ดูรกหน่อย จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 11:39:22

ความคิดเห็นที่ 14 ภาพท่านล้นจอ ทำให้อ่านยาก ควรปรับขนาดภาพไม่ให้เกิน 800 x --- ภาพจะได้ไม่ล้นจอ จากคุณ : ต้นโพธิ์ต้นไทร เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 11:41:00

ความคิดเห็นที่ 15 ไปทานข้าวกลับมาแล้ว ระหว่างรอเช็คเอาท์ แฟนผมก็หยิบกล้องไปถ่ายภาพ นางแบบตัวจิ๋ว  ท่าทางอนาคตไกล รอแต่สปอนเซอร์ เท่านั้นครับ....ฮิฮิ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 11:42:17

ความคิดเห็นที่ 16 สวัสดี คุณต้นโพธิ์ต้นไทร : ขอบคุณที่ให้คำแนะนำ และต้องขอโทษด้วย เพราะเนื่องจากเป็นภาพเปิดกระทู้ที่อยากให้ยิ่งใหญ่อลังการ แต่คำบรรยายดันยาวไป เลยทำให้อ่านยากต้องเลื่อน (Scroll) ไปมาตลอด  ยกเว้นว่าจะปรับจอเป็น 1,280 X 1,024 จึงจะดูพอดีจอครับ (แต่จอที่ใช้ก็ต้องจอใหญ่พอ ไม่งั้นตัวอักษรเล็กนิดเดียว) แหม..เกือบลืมวางภาพแผนที่ จ.ประจวบไป เพราะเพิ่งไปเที่ยวมาตอนปลายปีที่แล้วด้วย เลยพอทราบตำแหน่งสถานท่องเที่ยวต่างๆ ได้ ผมเดินทางตามเส้นสีน้ำเงิน เข้าที่พัก ไปทานอาหารเช้า และผ่านไปดูที่ดินของแฟน ก่อนจะกลับออกถนนใหญ่ เพื่อลงใต้ไป อ.สวี จ.ชุมพรต่อไปครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 11:49:27

ความคิดเห็นที่ 17 ไปถึงที่ดินแฟน ที่ยังเตียนโล่งอยู่ มานานกว่าสิบปีแล้ว พบนกตัวใหญ่เต็มไปหมด พอเข้าไปใกล้ก็พากันบินหนีให้พรึ่บ ใกล้ๆกันมีกองทรายขนาดยักษ์หลายกอง สอบถามดู เขาบอกขุดออกมาจากข้างใน รอไปถมโครงการบ้านพักริมทะเล จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 11:54:05

ความคิดเห็นที่ 18 ตอนนี้ ออกมาถึงถนนใหญ่ สาย 4 มุ่งหน้าลงใต้ แดดจ้า รถไม่เยอะมากเหมือนตอนกลางคืน  บางช่วงมีต้นสนในร่องกลางถนนดูร่มรื่นสบายตาดีครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 11:57:17

ความคิดเห็นที่ 19 ขอตามไปเที่ยวด้วยคนค่ะ จากคุณ : costarica เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 12:15:28

ความคิดเห็นที่ 20 ตามไปเที่ยวด้วยคนครับ จากคุณ : เล็กทาโร่ เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 14:07:01

ความคิดเห็นที่ 21 ขอบคุณมากๆครับผม ตัวตลาดอำเภอสวีที่อยู่ตรงข้ามกับสถานีรถไฟนี่เป็นตลาดที่มีเสน่ห์มากๆครับ น่าไปเที่ยวมากๆ จากคุณ : digimontamer เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 14:11:10

ความคิดเห็นที่ 22 สวัสดี คุณ costarica, คุณ เล็กทาโร่ : ด้วยความยินดี เชิญติดตามไปได้ครับ สวัสดี คุณ digimontamer : ขอบคุณเช่นกันครับ ตลาดอำเภอสวีฝั่งตรงข้ามสถานี ผมเห็นแล้ว นั่นเป็นตัวอำเภอ หรือครับ ทีแรกยังคิดว่า ตัวอำเภออยู่ฝั่งหลังสถานี มาทาง ถนนเพชรเกษมซะอีก มาต่อกันครับ สภาพการจราจรบนถนน ช่วง ประจวบฯ - ชุมพร ก็อย่างที่เห็นในภาพครับ มีรถเยอะเป็นบางช่วง แต่การเปลี่ยนช่องทางไม่เครียดเหมือนตอนกลางคืน ที่มีการเล่นไฟสูง ว๊อบแว๊บกัน แสบตาไปหมด  สรุปแล้ว ตอนกลางวัน น่าวิ่งกว่ากันเยอะ แม้อากาศจะร้อนก็ตาม จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 15:13:22

ความคิดเห็นที่ 23 เข้าเขตชุมพรมาแล้ว ก็แวะปั๊มเติมน้ำมันกันหน่อย เป็นการเติมครั้งแรกของทริปนี้ หลังจากเต็มถังมาจากบ้าน (ยังไม่ถึงครึ่งทางเลย กว่าจะถึงหาดใหญ่คงต้องเติมอีกแน่นอน) เติมน้ำมันรถแล้วก็เติมอาหารเข้าท้องกัน พอดียังเหลืออาหารเตรียมมาจากบ้านอีกชุด (เมื่อคืนทานแล้ว 1 ชุด) เมื่อเช้าซื้อข้าว และกับข้าวเพิ่มนิดนึงก็หาที่จอดร่มๆ เหมาะๆ ริมทาง เพื่อทานมื้อเที่ยงกันในรถ ขอบอกว่า แดดร้อนมากๆ กว่าจะหาที่ร่มแบบในภาพได้ ก็นานเกือบครึ่งชั่วโมงเลยละครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 15:17:45

ความคิดเห็นที่ 24 ภาพซ้าย : ทานเสร็จแล้ว ขับรถต่อมาไม่ถึงชั่วโมง หลังจากผ่านแยกเข้าตัวจังหวัดชุมพร ก็ได้พบกับพระองค์โตบนเนินเขาข้างหน้า ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจต้องคว้ากล้องมาถ่ายภาพอีกครั้ง (เคยเห็นและถ่ายภาพมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนที่ไปภูเก็ตเมื่อปี พ.ศ.2548) เพราะดูแล้วมีมิติดีจัง  แต่ถ้ากาลเวลาผ่านไป ต้นไม้กลางถนนและริมถนนอาจโตขึ้นจนบดบังองค์พระในมุมมองนี้ได้ อาจไม่ได้เห็นภาพแบบนี้ต่อไป ภาพขวา : เข้าไปใกล้อีกนิด ใช้กล้องซูมภาพองค์พระใหญ่บนเนินเขาลงมาให้ดูกัน เนื่องจาก องค์พระหันหน้าทางทิศตะวันออก ถ้าจะถ่ายภาพให้ชัด ต้องผ่านไปตรงนั้นก่อนเที่ยงครับ  เวลาตอนนี้บ่ายสามโมงกว่าแล้ว ภาพที่ได้เลยออกมาอย่างที่เห็น (ซึ่งผมก็พยายามใช้โปรแกรม โฟโต้ช๊อบช่วยแก้ไขให้แล้ว) จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 15:25:15

ความคิดเห็นที่ 25 ผมมาจอดรถฝั่งตรงข้ามวัด เพื่อถ่ายภาพและไหว้จากระยะไกลนี่แหละ เพราะไม่มีเวลาแวะ อีกทั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามถนนด้วย จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 15:27:53

ความคิดเห็นที่ 26 ติดตามอ่านครับ...ชอบจังเที่ยวแบบนี้ รอลูกสาวโตก่อนครับ ค่อยพาเที่ยวยาวๆ แบบนี้ครับ.. จากคุณ : somay เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 15:30:50

ความคิดเห็นที่ 27 เข้าเขตอำเภอสวีแล้ว ก็เริ่มมองหาช่องทางเข้าไปยังตัวสะพานข้ามแม่น้ำสวี ซึ่งถนนเพชรเกษมนี้ก็ข้ามแม่น้ำสวีเช่นกัน ถ้าเจอแม่น้ำสวีก็แสดงว่าเลยแล้ว.. ภาพข้างล่างเป็นแผนที่ดาวเทียม แสดงภาพมุมสูง ของสะพานรถไฟ สถานีรถไฟสวี และเส้นทางที่ผมเข้าไป แสดงด้วยเส้นสีน้ำเงินครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 15:34:14

ความคิดเห็นที่ 28 สวัสดีครับ คุณsomay : ยินดีที่ชอบครับ ผมเองก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสเที่ยวยาวๆ แบบนี้เช่นกัน ต้องรอวันหยุดยาว เช่น สงกรานต์ ปีละครั้ง เองครับ ใช้ทั้งเวลาและเงินเยอะเหมือนกัน  แต่เที่ยวไป ได้ถ่ายภาพกลับมา ก็นับว่าคุ้มค่า (นี่ถ้าหากกล้องเสียกลางทาง คงต้องหาซื้อกันแถวนั้น ไม่งั้นการท่องเที่ยวนี้อาจต้องระงับทันที.....ฮา) ในที่สุดก็พบทางเข้าไปยังสะพานรถไฟสวี ตามรูปบนซ้าย ครับ เข้ามาสักพักก็จะมีสี่แยก ที่เลี้ยวขวาไปข้ามแม่น้ำสวีได้ ผมตรงไปก่อนครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 15:40:35

ความคิดเห็นที่ 29 ผ่านสี่แยกมาเล็กน้อยก็เจอป้ายเตือนรถไฟเข้าแล้ว ข้างหน้าเป็นทางข้ามรถไฟแบบไม่มีเครื่องกั้น มีแต่หลอดไฟเตือนกระพริบ ที่ตอนนี้ดับอยู่   สะพานคงอยู่ไม่ไกลละครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 15:42:47

ความคิดเห็นที่ 30 พ้นแนวสวนด้านขวามือ ก็เห็นตัวสะพานทันที เหมือนเจอเพื่อนเก่าที่คุ้นเคย (เพราะผมไปสำรวจอุโมงค์รถไฟ สะพานรถไฟ มาหลายครั้งแล้ว) เริ่มมองหาที่จอดรถร่มๆ ให้สมาชิกเขารอกันได้แล้วครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 15:45:57

ความคิดเห็นที่ 31 ผมขับรถข้ามทางรถไฟไปก่อน แล้วกลับรถมาหาที่จอดร่มๆ  เพื่อลงเดินไปสำรวจกันที่ตัวสะพานเลย ระหว่างเดินเข้าไปใกล้จุดข้ามทางรถไฟเห็นป้ายตัวอักษร ระ วัง รถ ไฟ ที่วางแยกกัน ดูแล้วตลกขำๆ ดีเหมือนกัน ถ้าหากป้ายตัวอักษรตัวใดหายไป อาจจะกลายเป็น ระวังไฟ ไปได้...ฮา จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 15:52:01

ความคิดเห็นที่ 32 ภาพกลาง : เดินมาถึงจุดตัดถนนข้ามทางรถไฟแล้ว ตรงนี้มีแผ่นรองพื้นถนนข้างรางแบบมาตรฐาน คล้ายที่เห็นบนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว หนองคายโน้นครับ ภาพบน : มองเลยไป ยังทางที่ผมเข้ามาจาก ถนนเพชรเกษม ภาพล่าง : หันกลับไปมองทางที่ผมเดินมา จากที่จอดรถ มีป้ายบอกว่า เริ่มเข้าเขต ม.3 บ้านโขยง ต.ปากแพรก (อ.สวี จ.ชุมพร)  แหม..จอดไกลเหมือนกัน ขนาดมองไม่เห็นรถเลย จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 15:56:36

ความคิดเห็นที่ 33 เข้ามารอติดตามครับ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 16:04:25

ความคิดเห็นที่ 34 คุณ มิราชสังเกตุใต้คางองค์พระใหญ่ที่มีสีดำๆมั๊ยครับ นั่นคือร้งผึ้งหลวงครับเขาจะมาทำรังทุกปีครับ จากคุณ : langtang เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 16:06:34

ความคิดเห็นที่ 35 จากจุดข้ามทางรถยนต์ มองไปทางสะพานรถไฟ กับ ด้านตรงข้าม ที่เป็นทางโค้งลับตา ที่มีเรื่องเล่าว่า สะพานแห่งนี้หลุดลอดจากการถูกทิ้งระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ เพราะเป็นทางโค้งทั้งสองด้าน (เดี๋ยวข้ามสะพานไป ก็จะเห็นโค้งอีกด้าน) เครื่องบินบินตามรางมาเรื่อยๆ พอใกล้ถึงตัวสะพานก็กดปุ่มปล่อยลูกระเบิด (บอมบ์) แล้วรางก็เปลี่ยนทิศทางทันที เลยพลาดทุกครั้ง ที่มา : http://www.oknation.net/blog/kondee007/2010/02/24/entry-1 แต่ข้อมูลบางแหล่งบอกว่า เป็นเพราะผ้ายันต์ หลวงพ่อ (ไม่ได้ระบุชื่อ) อันศักดิ์สิทธิ์ ที่นายฮก บุญสมบัติ  ที่มีโรงสีอยู่ใกล้ตัวสะพาน ได้นำไปปิดไว้ที่สะพานแห่งนี้  จึงได้รอดพ้นจากถูกบอมบ์ ซึ่งลูกระเบิดบางลูกที่ตกใกล้ๆ สะพานก็ด้าน จนชาวบ้านนำมาถวายหลวงพ่อ ที่มา : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=365953 จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 16:07:42

ความคิดเห็นที่ 36 สวัสดีครับ คุณแฮมมึน : หนึ่งในกูรู ผู้รักรถไฟครับ ยินดีครับ ไม่ได้ทักทายกันนาน ตั้งแต่ ทริปไปอุโมงค์รถไฟภาคเหนือโน้น ครับ สวัสดีครับ คุณlangtang : ขอบคุณที่เข้ามาเพิ่มเติมให้ครับผมได้สังเกตุเห็นจุดดำๆ ตรงคางองค์พระใหญ่คล้ายเคราแพะตั้งแต่ตอนที่จัดเตรียมภาพแล้ว ขยายภาพดูพอเดาได้ว่าเป็นรังของแมลงบางชนิด ครับ แต่ไม่ได้พูดในกระทู้เพราะไม่แน่ใจ  เห็นตอนแรกนึกว่าเป็นใบไม้ หรือขยะปลิวขึ้นไปติด ด้วยซ้ำ ภาพซ้าย : ตอนนี้ผมขึ้นมาเดินบนรางแล้วครับ กำลังจะผ่านเสาสัญญาณ (คาดว่าเป็นเสานอกของสถานีรถไฟสวี ที่อยู่คนละฝั่งสะพาน)  ต้องขอโทษที่พิมพ์เลขประจำเสาสื่อสารผิด เพิ่งมาเห็นทีหลังลงรูปแล้วแก้ไขไม่ได้ ที่ถูกต้องคือ 499/11 ครับ ภาพขวา : หันกลับไปมองจุดตัดข้ามทางรถไฟที่เดินผ่านมาอีกทีครับ แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 55 12:39:28 จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 16:17:44

ความคิดเห็นที่ 37 ภาพซ้าย : เดินเกือบถึงสะพานแล้ว แดดร้อนดีจัง สังเกตุเห็นเลขบนเสาโทรเลข ใกล้เชิงสะพาน พิมพ์เลข 12 อยู่  เลขตัวหน้าคงเหมือนกับที่เห็นก่อนหน้า ในภาพซ้าย คห.36 คือ 499 นะครับ ระทึกครับ ใกล้จะถึงสะพานแล้ว ใจผมคิดว่าไม่กล้าเดินข้าม กลัวรถไฟมา เพราะเป็นสะพานยาว ซึ่งทางเดินด้านข้างชำรุดเดินไม่ได้(ทราบมาก่อนแล้ว) ภาพขวา : ระหว่างนั้นหูผมได้ยินเสียงลวดสลิงสัญญาณขยับไปมา บ่งบอกว่า อาจมีรถไฟกำลังจะผ่านมาเข้าสถานี...  ช่างบังเอิญจริงๆ ผมจึงหยุดรออยู่แถวๆ หน้าสะพานไปก่อน เวลาก็เกือบสี่โมงเย็นแล้ว ลุ้นอยู่ว่าจะทำอย่างไรดี ก็ได้ยินเสียงรถไฟมาจากทิศเหนือ  ฟลุ๊ค! จริงๆ ครับ เสียดาย ถ้าให้ดี น่าจะเป็นรถไฟมาจากทิศใต้ แล้วลอดสะพานมาให้ชมกัน คงได้รูปประทับใจมาฝากแน่นอนครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 16:31:42

ความคิดเห็นที่ 38 รถไฟข้ามสะพานไปแล้ว... ผมลืมถ่ายแบบคลิ๊ปวิดีโอ คงเป็นเพราะตื่นเต้น ต้องรีบหาที่ยืนเหมาะๆ ที่เป็นทางลาดลงไป (ยืนยาก กลัวจะลื่นลงไปข้างทางเหมือนกัน แถมรกด้วย)  กว่าจะได้อีกภาพ รถไฟก็ข้ามไปเกือบพ้นสะพานแล้ว  รถวิ่งเร็วมาก....ไม่เหมือนที่เคยเห็นกับสะพานอื่นๆ  คงเป็นเพราะไม้หมอนเป็นเหล็ก ผมลองค้นข้อมูลรถไฟผ่านสถานีสวี คาดว่าจะเป็นรถด่วนพิเศษ กรุงเทพฯ-สุราษฎร์ หมายเลขขบวน 43 กำหนดเข้าสถานี 15:04 น. แต่เวลาขณะนั้น 15:44 น. สายไปเกือบชั่วโมง พขร.เลยต้องซิ่งอย่างที่เห็น แก้ไขเมื่อ 26 เม.ย. 55 16:46:48 จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 16:42:16

ความคิดเห็นที่ 39 รถไฟผ่านไปแล้ว ผมออกมาเล็งภาพหน้าตรงสะพานแห่งนี้สักภาพ  จะเห็นว่ามีทางเดินอยู่ด้านซ้าย (ทิศตะวันออก) น่าจะลองลุ้นเดินดูสักหน่อย จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 16:49:40

ความคิดเห็นที่ 40 ภาพซ้าย : ทางเดินอยู่สูงจัง ไม่มีบันไดขึ้น ต้องปีนชะโงกไปดู ว่ามีสภาพเช่นใด  พบกว่า ไร้ซึ่งแผ่นกระดาน มีแต่โครงเหล็กห่างๆ โล่งๆ  ผมคิดว่าลงไปเดินบนทางรถไฟจะปลอดภัยกว่า ภาพขวา : ลงไปยืนเล็งจากทางขวามือบ้าง จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 16:56:42

ความคิดเห็นที่ 41 ภาพซ้าย : มองลงไปที่ราง พบว่าไม้หมอนเป็นเหล็กตัวไอ แข็งแรงมาก รถไฟจึงตลุยผ่านอย่างไม่ต้องเบาทาง ภาพขวา : ผมเลือกที่จะเดินบนไม้หมอนฝั่งซ้าย เพราะกลัวรถไฟมาแล้วจะตกใจ เดินไปยังโครงสะพานด้านที่มีทางเดินไม่ทัน จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 16:59:23

ความคิดเห็นที่ 42 ด้วยความมั่นใจว่า รถไฟเพิ่งไปสดๆร้อนๆ ทางช่วงนี้น่าจะปลอดรถไฟไปอีกสักพัก จึงรีบตัดสินใจเดินข้ามสะพานทันที เดินไปก็เสียวไป เพราะอยู่ริมทาง ดูโล่งๆ อย่างไรชอบกล... พอถึงตรงกลางทางก็หยุดยืนถ่ายภาพทั้งสองด้านอีกครั้ง ต้องรีบหน่อย เพราะกลัวรถไฟจะมาตอนเดินกลับ...   ภาพซ้าย : ทางด้านใต้ ข้างหน้าสังเกตุเห็นมีทางรถยนต์(ลูกรัง) ลอดใต้  ตรงกับภาพดาวเทียม กูเกิ้ล ที่เห็นมาแล้ว แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าเข้าได้จากตรงไหน ภาพขวา : หันกลับไปดูด้านเหนือที่เดินผ่านมา จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 17:04:11

ความคิดเห็นที่ 43 นั่งรถไฟ ชมวิวไปเรื่อยๆ ปล่อยใจสบายๆไม่ต้องคิดไรมาก คงเป็นอีกบรรยากาศการท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากครับ จากคุณ : kungpack เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 17:06:52

ความคิดเห็นที่ 44 ภาพซ้าย : มองไปทางแม่น้ำด้านซ้าย ทิศตะวันออก ที่ไหลลงทะเล จะเห็นโครงทางเดินข้างรถไฟอยู่ข้างหน้า ภาพกลาง : ก้มลงดูที่เท้า ตรงช่องโล่งด้านข้าง เห็นผิวน้ำชัดเจน  เสียว...เล่นเอามือผมไม่นิ่งไปเลย... ภาพขวา : มองไปอีกด้านทิศตะวันตกของแม่น้ำ เห็นสะพานรถยนต์อยู่ไกลๆ  เดี๋ยวผมต้องไปมองจากที่นั่นกลับมา ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 17:14:05

ความคิดเห็นที่ 45 สวัสดีครับ คุณkungpack : ใช่ครับ แต่ปัญหาคือ ถ้าเจอผู้โดยสารเยอะ รถไฟเสียเวลา ก็ไม่สนุกเหมือนกัน  เพราะถ้าอยากจะถ่ายภาพ โผล่หัวออกมาดูวิวข้างทาง ต้องเป็นรถธรรมดา หรือไม่ก็รถเร็วในโบกี้ชั้น 3 ครับ  แต่ถ้าได้มาลงเดินสำรวจในจุดสำคัญนี่ สนุกกว่ากันเยอะครับ ยิ่งมายืนตรงกลางสะพานนี้แล้วละก็... เสียวมากครับ ถ่ายคลิ๊ปออกมา ไม่สามารถควบคุมมือให้นิ่งได้เลย  ยิ่งถ้าลองทำซ้ำ ก็จะเสียเวลา ขากลับอาจไม่ทันรถไฟ คิดแล้วยิ่งสั่นเข้าไปอีก...  นี่แค่เป้าหมายแรกของทริปนี้เองนะครับ กลับไปที่พักยังไม่หายตื่นเต้นเลย จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 17:19:55

ความคิดเห็นที่ 46 ภาพซ้าย : ตอนนี้ผมข้ามมายังฝั่งใต้สำเร็จแล้ว (แอบไชโยเงียบๆ เพราะรู้สึกกังวลว่าจะเดินกลับทันรถไฟมาหรือไม่) เลยไปเป็นทางโค้งลับตาอย่างที่ทราบมาแล้ว ว่าทำให้เครื่องบินทิ้งระเบิดทำลายสะพานยาก ถนนลูกรังข้างล่างผมจะลองหาทางเข้ามาให้ได้ ภาพขวา : มองกลับมายังสะพานที่เพิ่งข้ามมา ฝั่งนี้ล้ำตลิ่งเข้ามาเยอะ ขนาดมีทางรถยนต์ลอดใต้ได้ เมื่อคืนผมลองวัดระยะทางจาก แผนที่ดาวเทียม พบว่า ระยะทางช่วงบนผิวน้ำประมาณ 50 เมตร เชิงสะพานฝั่งนี้ที่ข้ามถนนประมาณ 20 เมตรกว่าๆ ในขณะที่ฝั่งโน้นล้ำตลิ่งเข้าไปไม่ถึงสิบเมตร ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 17:26:21

ความคิดเห็นที่ 47 ภาพซ้าย : ผมเดินเลยไปหน่อยเพื่อเก็บภาพสะพานจากด้านใต้เต็มๆ ภาพขวา : ทางเดินทางขวามือ มีสภาพโล่งโจ้งอย่างที่เห็น ยิ่งตรงทางขึ้นละไม่มีโครงอะไรเลย การจะขึ้นไปกลับต้องปีนจากรางรถไฟในสะพานด้วยซ้ำ  ทางการน่าจะการปรับปรุงชาวบ้านแถวนี้จะได้รับประโยชน์มาก ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 17:34:48

ความคิดเห็นที่ 48 ภาพซ้าย : ผมต้องรีบเดินกลับละ กลัวรถไฟจะมา เพราะใช้เวลามาพักหนึ่ง ลองถ่ายภาพกลางรางตอนขากลับบ้าง (แต่ไม่กล้าเดินตรงกลาง กลัวรถไฟมาแล้วจะตกใจ สู้เดินริมข้างดีกว่า มันเสียวๆ อย่างไรชอบกล  สรุปแล้วกลัวรถไฟ ไม่กลัวความสูง) ภาพขวา : ข้ามพ้นสะพานมาแล้ว เฮ้อ..............โล่งใจ ข้างหน้าไม่ถึงสองร้อยเมตรก็ถึงจุดตัดข้ามแล้ว จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 17:49:02

ความคิดเห็นที่ 49 เดินกลับมายังจุดตัดรถไฟ สมาชิกในรถที่จอดรถโทรมาตามพอดี  เป้าหมายถัดไปคือสถานีรถไฟสวี  ต้องไปข้ามสะพานรถยนต์ ที่มองเห็นเมื่อครู่นี้อยู่ดี วันนี้ขอพักกระทู้ก่อน มีธุระสอนพิเศษให้ลูก พรุ่งนี้ค่อยมาต่อกันนะครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 17:55:42

ความคิดเห็นที่ 50 รถไฟธรรมดาที่วิ่งผ่านสวีมีน้อยหน่ะครับ มีแค่ ข.255 ผ่านตอนเกือบจะค่ำแล้ว (บางวันมาถึงสวีก็ฟ้ามืด) ข.254 เช้าไป บางวันฟ้าก็ยังไม่สางดี ข.445 ผ่านตอนเช้าไปเหมือนกัน ฟ้ายังไม่สางดี และก็ ข.446 ผ่านตอนบ่ายแก่ๆ อันนี้เหมาะกับการถ่ายภาพมาก แต่คนมักจะแน่น ที่เหลือก็ ข.43 และ ข.40 วิ่งผ่านตอนกลางวัน แต่ดันเป็นดีเซลรางปรับอากาศ โผล่ออกมาถ่ายไม่ได้ จากคุณ : digimontamer เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 20:10:34

ความคิดเห็นที่ 51 มาเที่ยวด้วยคนครับ จากคุณ : แม่ประนอม (luie2539) เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 22:27:30

ความคิดเห็นที่ 52 ขอบคุณ คุณdigimontamer มากครับที่เข้ามาให้ข้อมูลขบวนรถโดยสารเพิ่มเติมครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะพาไปชมสถานีรถไฟสวี ซึ่งจะมีตารางเวลาเดินรถให้ดูด้วย รถไฟธรรมดาน้อยจริงๆ ส่วนใหญ่เป็นรถเร็ว ครับ สวัสดีครับ คุณ แม่ประนอม (luie2539) : ด้วยความยินดีครับ ไว้พรุ่งนี้มาต่อกันครับ (ตอนนี้ผมอยู่บ้านครับ ภาพทั้งหมดอยู่ที่ ที่ทำงาน) จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 00:36:56

ความคิดเห็นที่ 53 ตามติดชีวิตคุณมิราจครับ ^^ จากคุณ : แฮมมึน เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 02:33:36

ความคิดเห็นที่ 54 ตามมาชมด้วยครับ ไม่เห็นพาไปชิมสับปะรดเมืองสวีเลย จากคุณ : tiger's nest เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 06:36:37

ความคิดเห็นที่ 55 คลิกมาเจอรีวิวนี้ก็ดึกพอดี     แปะไว้ก่อนนะคะ   พรุ่งนี้จะมาอ่านค่ะ    ของคุณมิราชชต้องใช้เวลาค่อยๆ อ่าน   เพราะความรู้แน่นปึ๊กก... จากคุณ : ป้าฟู เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 10:48:40

ความคิดเห็นที่ 56 คุณ แฮมมึน : ด้วยความยินดีครับ ทริปนี้ยังอีกยาวไกลอีกหลายตอน กว่าจะจบคาดว่าไม่น้อยกว่า 4 เดือน! ค่อยๆ ติดตามชมไปนะครับ สวัสดีครับ คุณtiger's nest : ขอบคุณครับที่แนะนำ ตอนขากลับได้แวะซื้อสับปะรดจากร้านข้างทางเป็นโหล แถมด้วยผลิตภัณฑ์สับปะรดกวนหลายแบบไปฝากเพื่อนที่ทำงานด้วย เพิ่งทราบว่า สับปะรดที่นี่มีชื่อเสียง สวัสดีครับ คุณป้าฟู : ยินดีที่พบกันอีกครั้งครับ  ขอบคุณที่ติดตามมาตลอด  กระทู้ของผมจัดว่ารวมมิตร สอดแทรกหลายเรื่อง ทำนองขี้สงสัย เลยต้องใช้เวลาจัดเตรียมนานเหมือนกัน ภาพบน : ผมขับรถกลับออกมาถึงสี่แยกในภาพล่างขวาของคห.28  ใน GPS Pocket PC บอกว่ามีสะพานข้ามแม่น้ำสวีด้วย  พอไปถึงเชิงสะพานสังเกตุเห็นป้ายชื่อแม่น้ำว่า "คลองสวีหนุ่ม" ก็เกิดความสงสัย กลับมาค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมในเน็ต ได้ของคุณ karoon ในเว็บรถไฟดอทคอม ตามลิ้งค์ข้างล่างนี้ http://portal.rotfaithai.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=4005 ระบุว่า " ในอดีตมีเรื่องที่เล่าสืบกันว่ามีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนสะพานแห่งนี้ มีหนุ่มสาว คู่หนึ่งมาสวีทกันบนสะพานตรงทางเดินข้างสะพาน หลังจากนั้นก็มีโจรปล้นทอง วิ่งมาทางสะพานนี้ ซึ่งกำลังหนีตำรวจ พอมาถึงโจรได้จับผู้หญิงเป็นตัวประกัน และผู้ชายจะเข้ามาช่วยแต่ ทั้ง3คนก็ตกน้ำลงไป ก่อนตกสะพานตำรวจยิงปืนใส่โจรไปด้วย แต่ในภายหลังพบแต่ศพโจรส่วน หนุ่ม-สาวได้หายสาบสูญไป หลังจากนั้นทุกคืนชาวบ้านริมคลอง จะเห็นหนุ่ม-สาว พายเรือกัน ทำให้ชาวบ้านหวาดกลัวกัน ไม่กล้าออกเดินเรือกลางคืน ปัจจุบันก็ยังไม่มีใคร กล้าเดินเรือในยามกลางคืน และสร้างบ้านริมน้ำเลย ถึงแม้ว่าจะไม่เห็นหนุ่ม-สาว แล้วก็ตาม "  แหมฟังแล้วชวนขนหัวลุกเหมือนกัน ถึงว่าซี...ตอนเดินข้ามสะพานรู้สึกเสียวๆ อย่างไรชอบกล....หึหึ ภาพล่าง : เมื่อขึ้นสะพานไป มองทางซ้ายมือจะเห็นสะพานรถไฟอยู่ไม่ไกล แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 55 11:16:04 จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 11:11:46

ความคิดเห็นที่ 57 ไปเที่ยวด้วยครับบบ........ จากคุณ : สายลมแห่งวิงค์ เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 11:16:03

ความคิดเห็นที่ 58 สวัสดีครับ คุณสายลมแห่งวิงค์ : ด้วยความยินดีครับ ภาพบน : สะพานข้ามแม่น้ำสวีแห่งนี้ มีชื่อว่า สวีวัฒนา คล้ายกับชื่อแม่น้ำ ทำให้จำง่ายดี   ภาพล่าง : ลองไปยืนชิดราวสะพาน จะมองเห็นว่าสะพานรถไฟอยู่ไกลเหมือนกัน น่าเสียดายที่ด้านขวา (ฝั่งใต้) ถูกต้นไม้บังไปเกือบครึ่ง เลยไม่เห็นความยาวสะพานเต็มๆ จากมุมมองนี้ พอสังเกตุเห็น โรงเรือนเล็กๆ ยื่นลงไปในน้ำ นั้นเป็นส่วนหนึ่งของ บ้านนายฮก บุญสมบัติ เจ้าของโรงสีเก่า ที่เคยขอผ้ายันต์หลวงพ่อไปปิดสะพานป้องกันการทิ้งระเบิดตอนสงครามโลกครั้งที่สอง ตามเรื่องเล่าใน คห.35  และบ้านหลังนี่ก็เคยถูกใช้เป็นที่ว่าการอำเภอสวีชั่วคราวในปี พ.ศ.2462 ตามข้อมูลประวัติอำเภอสวี ของท่านเจ้าอาวาสวัดโพธิเกษตร อ.สวี จ.ชุมพร ตามลิ้งค์ข้างล่างนี้ http://www.oknation.net/blog/kondee007/2009/12/17/entry-1 และจากลิ้งค์ดังกล่าว เลยทำให้ทราบว่า มุมมองที่เห็นสะพานจากบ้านริมน้ำของคุณ karoon ก็มาจากบ้านหลังนี้เอง ตอนที่ผมไป ไม่ได้ทราบข้อมูลนี้เลยไม่ได้เล็งหาภาพบ้านดังกล่าว แต่พอสังเกตุ โรงเรือนเล็กๆ ที่ยื่นลงน้ำไป ครับ แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 55 11:44:24 จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 11:31:30

ความคิดเห็นที่ 59 ผมลองใช้กล้องซูมภาพสะพานรถไฟเข้ามาใกล้ๆ  มหัศจรรย์จริงๆ กับความสามารถของกล้องคอมแพ็คเล็กๆ นี้ เหมือนมีกล้องส่องทางไกลในตัวเลย จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 11:33:21

ความคิดเห็นที่ 60 ผมหันไปดูอีกฝั่งของสะพาน ด้านทิศตะวันตก ลองเดินข้ามถนนไปดูใกล้ๆ จะเห็นแม่น้ำโค้งลับไปทางซ้ายมือ  ต้นไม้ริมตลิ่งช่างหนาแน่นอุดมสมบูรณ์จริงๆ ครับ  ว่าแต่น้ำทำไมขุ่นข้นจังเหมือนน้ำป่าไหลหลาก ที่มาจากฝนต้นฤดู เลยครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 11:36:06

ความคิดเห็นที่ 61 ภาพซ้าย : มองไปทางเชิงสะพานฝั่งตรงข้าม (ด้านใต้) จะเห็นหลังโค้งใหญ่ๆ น่าสงสัยว่าใช้ทำอะไร ภาพขวา : ระหว่างเดินไป ตรงเชิงสะพานมีป้ายข้อมูลเกี่ยวกับสะพานแห่งนี้ สะพานยาว 100 เมตร  ระยะตอม่อรวมแล้ว 80 เมตรพอๆ กับสะพานรถไฟ 81 เมตรเลย จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 11:43:24

ความคิดเห็นที่ 62 ผมเดินมาถึงเชิงสะพานด้านใต้แล้ว จึงได้ทราบว่า ใต้หลังคาโค้งใหญ่ๆ นี้คือสระว่ายน้ำ ของโรงเรียน บุญสิทธิ์อนุสรณ์ ครับ  รีบไปหน่อยเลยได้ภาพมาไม่ชัด แต่ก็ไม่อยากถ่ายซ้ำ กลัวเขาห้ามถ่าย เนื่องจากปกติแล้วตามสระว่ายน้ำทั่วไปมักห้ามถ่ายภาพ เพราะมีคนสวมชุดว่ายน้ำอยู่ อันเป็นการล่วงล้ำสิทธิ์ส่วนบุคคลไป ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 11:47:39

ความคิดเห็นที่ 63 ตามไปเที่ยวด้วยคนครับ จากคุณ : บนทป เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 11:47:52

ความคิดเห็นที่ 64 เลยสะพานมาเล็กน้อย สังเกตุเห็นซอยเล็กๆ ด้านซ้าย น่าจะเข้าไปยังสะพานฝั่งใต้ได้ รู้สึกลังเล กลัวว่าเข้าไปแล้วซอยตันกลับรถไม่ได้ และตอนนี้ก็สี่โมงเย็นเข้าไปแล้ว คืนนี้จะไปพักที่ เมืองนครศรีธรรมราชด้วย แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจเลี้ยวเข้าไป เพราะคงไม่มีโอกาสมาที่นี่อีกง่ายๆ แล้ว  เป็นถนนเล็กๆ ลัดเลาะเข้าไป ทีแรกเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก สักพักก็กลายเป็นลูกรังไป แต่ก็ถึงสะพานพอดี ภาพล่างเป็นมุมมองย้อนกลับกับ ภาพซ้าย คห.46 ที่ผมถ่ายจากบนทางรถไฟครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 11:53:58

ความคิดเห็นที่ 65 สวัสดีครับ คุณบนทป : ขอบคุณครับ เชิญติดตามชมได้ครับ ทางลอดใต้สะพานดูแคบ ผมเลยจอดรถไว้ก่อนถึงเล็กน้อย โชคดีที่มีร่มไม้แต่ทางก็แคบน่าดูเหมือนกัน นึกกลัวรถที่ผ่านไปมาจะวิ่งลำบากเหมือนกัน ต้องรีบทำภาระกิจถ่ายภาพก่อนละ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 11:58:36

ความคิดเห็นที่ 66 ภาพซ้าย : ปีนขึ้นไปบนเนินเชิงสะพานเล็กน้อย เพื่อเล็งภาพด้านซ้ายของสะพาน ว่ายาวรวดเดียว โล่งไร้เสาตอม่อกลางแม่น้ำจริงๆ (คล้าย กับสะพานคนเดินข้ามถนนปัจจุบัน ที่มักจะไม่มีเสากลางลงมาที่เกาะกลางถนน แม้จะสร้างข้ามถนนที่กว้างมากๆ ก็ตาม) ไม่น่าเชื่อว่า โครงสร้างโค้งบนจะแข็งแรงทนทานมา 91 ปี!  (สร้างประมาณปี พ.ศ.2464 อ้างอิงประวัติรถไฟสายใต้จากเว็บรถไฟดอทคอม http://portal.rotfaithai.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=17 ภาพขวา : ลงมาเล็งภาพอีกด้านของสะพาน  ด้านนี้ต้นไม้ขึ้นรกมองไม่ค่อยเห็นเชิงสะพานฝั่งโน้น จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 12:23:06

ความคิดเห็นที่ 67 ลองมาเล็งความโล่งเปล่าไร้เสาตอม่อกันใต้สะพานตรงๆ กันหน่อย  พอดีคานใต้สะพานไม่สูงนัก แค่พอยืนเอื้อมมือแตะถึงได้ ประมาณได้ 2 เมตรกว่าๆ (รถผมน่าจะลอดได้ แม้จะมีกระเป๋าสัมภาระอยู่บนหลังคาบ้างก็ตาม แต่ไม่อยากลอดไป เพราะดูแล้วถนนจะวกกลับมาเลียบทางรถไฟอีก กลับ ขนานกับแม่น้ำไปคนละทาง) ผมลองคิดเล่นๆ ว่า ในตอนสร้างสะพานนี้ใหม่ๆ คงไม่มีถนนลอดแบบนี้ ไม่งั้นจะสร้างให้ยาวเพิ่มไปทำไม น่าจะลงตอม่อเสาให้ใกล้ริมตลิ่งมากที่สุดดีกว่า ต่อมามีคนมาอยู่มากขึ้น ต้องการเดินลอดสะพาน เลยมีการถมดินใต้สะพานเข้าไปเรื่อยๆ จากเดินลอดได้ มาจนรถยนต์ไม่สูงนักวิ่งลอดได้กระมังครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 12:29:31

ความคิดเห็นที่ 68 ภาพซ้าย : หันกลับไปดูรถผมที่จอดรออยู่ไม่ไกลนัก เหลือบเห็นตัวเลขบนเสาสื่อสารรถไฟพิมพ์ว่า 499/13  ต่อจากฝั่งโน้น(ด้านเหนือ) ที่ปักเสาตัวเลข 12 ครับ  อยู่ห่างจากกรุงเทพฯเกือบ 500 กิโลเมตรเชียวนะครับ ภาพขวา : ก่อนเดินกลับถึงรถ มองไปทางขวามือ ใต้ร่มไม้มีอาคารไม้เก่าๆ อยู่ข้างใน คล้ายโกดัง หรือ โรงนาของชาวบ้าน ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 12:33:59

ความคิดเห็นที่ 69 คนสวีตามมาชมด้วยคนครับ ;) จากคุณ : xxi เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 14:14:47 A:49.229.213.62 X: TicketID:356748

ความคิดเห็นที่ 70 สวัสดีครับ คุณ xxi : เชิญติดตามต่อได้ครับ จากแผนที่ในคห.27 ผมออกมาจากซอยเล็กๆ ก็ล่องมาทางใต้ไปอีกเกือบ 1 กิโลเมตรก็ถึงสถานีรถไฟสวี อยู่ด้านซ้ายมือ  ลานจอดรถกว้างดี แต่เป็นดินลูกรัง ยังคงความเก๋า เมื่อยามลมพัดมา จะมีฝุ่นสีแดงฟุ้งเข้าจมูก ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 15:21:42

ความคิดเห็นที่ 71 หลังสถานี ด้านขวามือ (ยืนหันหน้าเข้า) สังเกตุเห็นกองอิฐแหลมๆ เรียงกันหลายอัน แฟนผมเธอสนใจ ประติมากรรมนี้ ว่าคืออะไร จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 15:25:06

ความคิดเห็นที่ 72 เธอเลยเดินเข้ามาดูอีกด้าน อ๋อ..สวนหย่อมนี่เอง เข้าใจออกแบบดีจัง จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 15:27:10

ความคิดเห็นที่ 73 สิ่งที่น่าสนใจคือ อ่างน้ำตรงกลางสวน สร้างเป็นรูปหัวใจเข้าใจคิด ระหว่างนั้นได้ยินเสียงนกร้องอยู่บนหัว เลยแหงนดู มีกรงนกอยู่หลายกรง ผมดูนกไม่เป็นเลยไม่กล้าฟันธงว่าเป็นนกเขา จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 15:29:48

ความคิดเห็นที่ 74 ภาพซ้าย : หันมาดูทางด้านซ้ายมือของหลังสถานี จะเป็นโรงจอดรถ ดูแล้วเยอะ คงเป็นที่รับฝากรถสำหรับผู้ที่จะขึ้นรถไฟไปทำงานที่อื่น คล้ายๆ กับที่สถานีรถไฟพิจิตรนะครับ ภาพขวา : มาเดินเข้าไปชมสถานีรถไฟสวีกัน สีสันสดใสแสบตาดี จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 15:32:29

ความคิดเห็นที่ 75 เดินเข้าไปดูหน้าเคาท์เตอร์จำหน่ายตั๋ว จัดได้สวยสะอาดตามาก ช่องเดินเขาไปก็ทาสีสด ชวนเข้าไปยืนข้างใน จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 15:34:18

ความคิดเห็นที่ 76 แม้สถานีนี้ จะถูกจัดเป็นสถานีชั้น 3 แต่ก็มีรถไฟมาจอดมาก คือตั้งแต่รถธรรมดายันรถด่วนพิเศษเลย ผมลองขยายภาพตารางเวลาเดินรถมาให้ดูกันชัดๆ (แต่เนื่องจากภาพสะท้อนแสง จึงต้องใส่ตัวอักษรเพิ่มเข้าไป) จะพบสิ่งที่น่าสนใจคือ  คำว่าเที่ยวขึ้น กับ เที่ยวล่อง จะสวนทางกับความรู้สึก ที่ว่า ขึ้นเหนือ ล่องใต้ เพราะ ความหมายของการเดินรถไฟ ขึ้นคือ ออกไปจากสถานีกรุงเทพฯ (หัวลำโพง) ล่องคือ กลับมาสถานีกรุงเทพฯ  ถ้าหากเป็นสายเหนือจะสอดคล้องกับความรู้สึกปกติ คือ ขึ้นเชียงใหม่ ล่องกรุงเทพฯ  พอมาภาคใต้เลยกลับกัน ถ้าไม่ให้งงต้องดูชื่อสถานีต้นทาง และสถานีปลายทางครับ จากตารางทั้งสองพอสรุปได้ว่า มีรถไฟธรรดาวิ่งอยู่ 2 ขบวน ออกจากชุมพร(ใกล้ๆนี้เอง) และ ธนบุรี ฟรีทั้งสองขบวน มาถึงสถานีนี้ เวลา 7 โมงเช้า กับ 5 โมงเย็นครึ่ง   ขบวนที่วิ่งจากชุมพรจะไปถึงหาดใหญ่ ประมาณ 5 โมงเย็น พักหนึ่งคืน แล้ววิ่งกลับมาตอนเช้าประมาณ 6 โมงเช้าครึ่ง ถึงสถานีนี้ตอนบ่ายสี่โมงเย็น ส่วนขบวนจากธนบุรีจะไปแค่หลังสวนถึงประมาณ 6 โมงเย็นเศษ แล้วพักหนึ่งคืนแล้ววิ่งกลับมาตอนเช้ามืด ก่อน 6 โมงเช้า ถึงสถานีนี้ประมาณ 6 โมงครึ่ง ไปถึงธนบุรีเวลาประมาณ 4 โมงเย็น รถเร็วนั้นมีถึง 4 ขบวน มาจากกรุงเทพฯ 3 ขบวนอีกหนึ่งขบวนมาจาก ธนบุรี ออกมาจากต้นทางช่วงบ่ายกับเย็น ถึงสถานีนี้ตอนหัวค่ำกับใกล้รุ่งเลย ขบวนแรกออกจากกรุงเทพฯบ่ายโมงตรง ถึงสถานีนี้เกือบ 4 ทุ่ม ปลายทางสุไหงโกลก เกือบ 5 โมงเช้า พักครึ่งชั่วโมงก็วิ่งกลับมาตอน 5 โมงเช้าครึ่ง ถึงสถานีนี้เวลาเกือบเที่ยงคืน ไปถึงกรุงเทพฯเวลาประมาณ 9 โมงเช้า เป็นรถไฟทางยาว ที่ฟรี ใครที่อยากทำสถิตินั่งรถไฟนานที่สุดก็ลองมาวิ่งไปกลับดู ประเมิณเวลาขาละ 21 ชั่วโมง 45 นาที  แต่ทางปฏิบัติอาจทำไม่ได้เพราะรถไฟอาจเสียเวลา ถึงสุไหงโกลกเกินเวลารถออกจากที่นั่น ไหนๆมาไกลขนาดนี้ ก็ต้องพักที่สุไหงโกลกสัก 1 คืนครับ รถอาจแน่นแต่ได้โผล่หัวออกมาถ่ายภาพสบายๆได้ตลาดทาง...ฮา ขบวนที่สองที่สามออกจากรุงเทพฯตอนเย็นๆ คือ 5 โมงเย็นครึ่งกับ 6 โมงเย็นครึ่ง ถึงสถานีนี้เวลา ตี 3 ครึ่งกับ ตี 4 (กำลังหลับเพลินเลย) ปลายทางแยกไป 2 แห่ง คือ นครศรีธรรมราชกับ กันตรัง ตามลำดับ  ถึงนครศรีธรรมราชเกือบ 10 โมงเช้า พัก 4 ชั่วโมงก็กลับ ตอนบ่ายโมง ผ่านสถานีนี้ ประมาณ 1 ทุ่ม ถึงกรุงเทพฯ ประมาณตี5 ส่วนขบวนหลัง ถึงกันตรัง 5 โมงเช้าครึ่ง พักประมาณชั่วโมงก็ออกจากกันตรังประมาณ เที่ยงครึ่ง ผ่านสถานีนี้ ประมาณ 2 ทุ่ม ถึงกรุงเทพฯ ตี 5 ครึ่ง เหลือขบวนธนบุรี เป็นรถเร็วออกจากที่นั่นทุ่มครึ่ง ถึงสถานีนี้ตี 4 ครึ่ง(ยิ่งหลับลึกไปอีก) ปลายทางหลังสวน เวลา ตี 5 (วิ่งเหมือนรถธรรมดา แต่เสียเงิน เพราะใช้เวลาสั้นกว่าประมาณ 1 ชั่วโมง) พักยาวที่สุด จนหัวค่ำเวลาเกือบ 2 ทุ่มจึงจะกลับมา ผ่านสถานีนี้ ตอน 2 ทุ่ม ถึง ปลายทางธนบุรีเวลา ตี 5 ครึ่ง (แต่ขบวนนี้น่าแปลก ข้อมูลในเว็บรถไฟ railway.co.th กลับระบุเวลาขากลับแตกต่างไปคือ ออกจาก หลังสวน 2 ทุ่ม 20 นาที ผ่านสถานีนี้ 2 ทุ่ม 53 นาที ถึง ธนบุรี 6 โมงเช้า 40 นาท ช้าไปอีก 1 ชั่วโมง จะเชื่อใครดี ?) ยังเหลือขบวนรถด่วนพิเศษ กรุงเทพฯ - สุราษฎร์ธานี (มีสลับเป็น กรุงเทพฯ - ยะลา ให้งงอีกด้วย...) ขบวนหนึ่งออกตอนดึก อีกขบวนออกเช้า คือ ขบวนออกตอนดึกคือเกือบ 5 ทุ่ม ผ่านสถานีนี้เวลา 6 โมงเช้าครึ่ง ถึงปลายทางสุราษฎร์ฯ ประมาณ 8 โมงเช้า  หรือถ้าสลับเป็นขบวนไปยะลาจะไปถึงบ่าย 2 โมงครึ่งโน้น รวมเวลาประมาณ 16 ชั่วโมง นับเป็นรถไฟทางยาวที่เร็วที่สุดขบวนหนึ่งเลย (ผมลองเปรียบเทียบกับอีกขบวน ด่วนพิเศษ 37 กรุงเทพฯ-สุไหงโกลก ใช้เวลาถึง ยะลาประมาณ 18 ชั่วโมงกว่า)   ขบวนที่ไปสุราษฎร์จะได้พัก 1 วัน กลับมาตอนใกล้ 3 ทุ่ม  ส่วนขบวนสลับที่ไปยะลา ได้พัก 15 นาทีรถก็ออกก่อนบ่าย 3 โมง  ทั้งสองขบวนที่สลับกัน จะผ่านสถานีนี้ ประมาณ 5 ทุ่ม ถึงปลายทางกรุงเทพฯเวลา 6 โมงเช้า ส่วนด่วนพิเศษอีกขบวนที่ออกตอนเช้าจากกรุงเทพฯประมาณ 8 โมงเช้าผ่านสถานีนี้ บ่าย 3 โมงเย็น ถึงสุราษฎร์ปลายทางเกือบ 5 โมงเย็น พัก 1 คืนออกตอนสายประมาณ 4 โมงเช้าครึ่งผ่านสถานีนี้ ประมาณเที่ยงวัน ถึงกรุงเทพฯประมาณ 2 ทุ่มครับ (ขบวนนี้แหละที่ผมเจอที่สะพานรถไฟครับ) ที่จริงแล้วยังมีรถไฟบางขบวนที่ไม่จอดสถานีสวีเหมือนกัน เพราะจะไม่แสดงในตารางนี้ครับ  โอย..วิเคราะห์มาซะเวียนหัวเลย แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 55 17:12:15 จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 17:07:59

ความคิดเห็นที่ 77 จากนั้นก็เดินมาโผล่ที่ชานชาลาหน้าสถานี ข้างหน้า(ภาพกลาง) คือตลาดอำเภอสวี ที่อาคารบ้านเรือนยังเป็นไม้แบบดั้งเดิม คล้ายตลาดโบราณ แถวอยุธยาและปริมณฑลของกรุงเทพฯ ครับ  ก็อย่างที่คุณ digimontamer แนะนำไว้นะครับ ว่าถ้ามีเวลาก็ลองเดินเที่ยวก็ได้ มองไปทางซ้ายและขวาของชานชาลาสถานีครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 17:17:25

ความคิดเห็นที่ 78 ผมเลือกเดินไปทางเหนือ(ซ้ายมือ)ก่อน ได้เจอห้องสุขาใหม่ สีสันสดใส น่าเข้า ถ้ดไปเป็นป้ายอวยพร "ขอให้ท่านโชคดี"  ถัดไปอีกเป็นป้ายสถานีข้างเคียงครับ  ผมต้องใส่ทิศไว้ด้วย กันงง เพราะไม่มีมาตรฐานกำหนดไว้ว่า สถานีต้องอยู่ด้านซ้าย หรือขวาของรางเสมอครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 17:20:23

ความคิดเห็นที่ 79 ถัดมาเป็นป้ายชื่อสถานีแบบแสงสว่าง(มักได้จากสปอนเซอร์ ผลิตภัณฑ์อะไรสักอย่าง) ถัดไปก็เป็นม้าหินแซมด้วยดอกเฟื่องฟ้าสีสด ยามเย็นน่านั่งเหมือนกัน ปลายสุดชานชาลาก็คือป้ายสถานี ป้ายประเพณีที่กลุ่มคนรักรถไฟต้องไม่พลาดถ่ายไว้เป็นที่ระลึกครับ (แม้รูปแบบหน้าตาจะซ้ำๆ กันก็ตาม) จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 17:23:26

ความคิดเห็นที่ 80 ภาพซ้าย : มองไปยังฝั่งตรงข้ามที่เป็นตลาดอำเภอสวี ตรงนี้ก็มีซอยอีกแห่ง มองเข้าไปไกลๆ สุดนั่นมีดงไม้สูง ดูเหมือนเนินเขาเตี้ยๆ เลย ภาพขวา : หันกลับมาดูป้ายชื่อสถานีอีกด้าน ที่จะเห็นชานชาลาสถานีด้วย แต่ไกลเหมือนกัน จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 17:26:31

ความคิดเห็นที่ 81 ขอถ่ายภาพ(หน้า)ตัวเองไว้เป็นที่ระลึกหน่อย สีหน้ายังแสดงความตื่นเต้นไม่หาย จากการไปเดินข้ามสะพานรถไฟ....ฮิฮิ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 17:27:56

ความคิดเห็นที่ 82 ผมเดินข้ามรางไปฝั่งตรงข้าม เจอรางเก่าที่มีไม้หมอนแบบเดิม อยู่ด้านนอกสุด ดูเหมือนจะเลิกใช้ หรือไว้จอดรถสินค้า แล้วเดินย้อนกลับมาทางสถานี เพื่อเก็บภาพอาคารสถานี ที่มองแทบไม่เห็น เพราะชานชาลาบังหมด  อ้อ..จากภาพขวานี้ มองดีดี จะเห็นชานชาลา 2 แบบ คือแบบเก่าที่แผ่ออกไป กับแบบใหม่ ที่หุบเข้ามาแบบหลังคาจั่ว  นับเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของรถไฟนะครับ ที่ทำชานชาลาแบบแผ่ออกไป แม้จะไม่คุ้มแดดคุ้มฝนแต่สามารถทำให้ยื่นไปถึงตู้โบกี้รถไฟ คุ้มแดดคุ้มฝนยามรถเข้าเทียบได้ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 17:34:31

ความคิดเห็นที่ 83 ภาพซ้าย : ผมเดินมาถึงหน้าสถานีแล้ว จากฝั่งตรงข้ามจะเห็นโคมประแจแบบเก่าที่โยกด้วยมือ ภาพขวา : หันไปทางตลาดอำเภอสวี ถนนข้างหน้านี้น่าจะถือเป็นถนนหลักกลางอำเภอเลย เหลือบเห็นป้ายประชาสัมพันธ์อะไรบ้างอย่างแขวนอยู่ข้างบน อ่านไม่ออกเพราะขึงกลับด้าน เลยต้องใช้โปรแกรมโฟโต้ชอปกลับให้ (Flip Vertical) เลยอ่านได้ความอย่างที่เห็นครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 17:39:13

ความคิดเห็นที่ 84 ลองก้าวลงไปในถนนฝั่งตรงข้ามสถานีหน่อย แล้วหันไปเก็บภาพด้านซ้าย ด้านขวามาให้ดูกัน ผมไม่มีเวลามาก เพราะนี่ 4 โมงเย็นครึ่งแล้ว จะไปถึง นครศรีธรรมราชกี่โมงกัน แถมยังไม่ได้จองที่พักเลย จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 17:43:19

ความคิดเห็นที่ 85 ผมหันกลับมาทางสถานี เดินผ่านช่องทางเดินที่มีป้ายเตือน ระวังรถไฟ แล้วถ่ายภาพหน้าตรง อาคารสถานี พบว่าสีด้านนี้อ่อนกว่าที่อื่น ดูแล้วหวานแหวว (ขนาดม่านยังสีชมพูอ่อน) รู้สึกเหมือนกำลังมีความรัก (สอดคล้องกับอ่างน้ำรูปหัวใจด้วย) ใครกำลัง Fall In Love อยู่ ท่านนายสถานี ? หรือ ชื่อ สวี ที่คล้ายกับคำว่า สวีท กันแน่...  ดูแล้วเหมาะกับเป็นฉากงานแต่ง ไม่รู้ว่าเคยมีใครสวมชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาว จูงมือมาถ่ายที่นี่กันบ้างหรือเปล่า สำหรับชื่ออำเภอสวี นี้ผมลองค้นดูจากในเน็ต ก็ลิ้งค์เดิมของท่านพระครูเกษมทัศนคุณ เจ้าอาวาสวัดโพธิเกษตร อ.สวี จ.ชุมพร นะครับ http://www.oknation.net/blog/kondee007/2009/12/17/entry-1 คือ มีที่มาจากคลองสวี ที่มีต้นน้ำมาจากแดนเขาทะลุ ต.เขาทะลุ มีหินก้อนใหญ่ลักษณะคล้ายผู้หญิงนั่งอาบน้ำอยู่ จึงตั้งชื่อคลองว่า ฉวี หมายถึง ความสวยงามของผู้หญิง คล้ายกับว่าคลองนี้เกิดจากผู้หญิง ก็คือก้อนหินคล้ายผู้หญิง และผู้หญิงแถบนี้ก็มักมีหน้าตาสวยงามเป็นที่เลื่องลือ จนต่อมาคำว่า ฉวี ก็เพี้ยนไปเป็นคำว่า สวี กับอีกที่มาของคำว่า ฉวี นั้นมาตั้งแต่สมัย รัชกาลที่ 5 มีการสร้างทางโดยนายช่างฝรั่ง ซึ่งได้เห็นความสำคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี(อันนี้ผมเองอ่านแล้วก็ไม่ทราบเหมือนกัน) จึงสร้างเป็นสถานีไว้ ตั้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า คาวี เมื่อเขียนในภาษาอังกฤษ CHAWI แล้วคนไทยชอบที่จะอ่านเป็น ฉวี มากกว่า แล้วต่อมาก็ผิดเพี้ยนมาเป็น สวี (SAWI)  ในที่สุด จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 18:02:47

ความคิดเห็นที่ 86 ก่อนเดินกลับไปยังสถานี ก็เก็บภาพรางรถไฟทั้งสองด้านไว้ ซึ่งทางขวามือ (ด้านเหนือ)จะเห็นรางเบี่ยงที่เป็นรางเก่าใช้มือโยกอยู่ด้วยครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 18:08:20

ความคิดเห็นที่ 87 ภาพขวา : ข้ามรางกลับมาที่อาคารสถานี ข้างหน้าคือห้องนายสถานี ที่มีป้ายประชาสัมพันธ์ การให้บริการ และรูปอันหล่อเหลาของท่านนายสถานีด้วย....น่าไปเป็นดารานะ..อิอิ ภาพซ้าย : มองไปทางซ้าย (ชานชาลาทิศใต้) มีร้านอาหารตามสั่งอยู่ด้านนี้ด้วย แต่ดูเงียบๆ คาดว่ากับข้าวอาจหมดแล้ว เลยไม่ได้แวะเข้าไปอุดหนุน  ชานชาลาด้านนี้ก็ยาวไกลเหมือนกัน ไม่มีเวลาเดินไป จึงยุติการถ่ายภาพสถานีสวีไว้เพียงแค่นี้ครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 18:15:02

ความคิดเห็นที่ 88 มาถึงภาพสุดท้ายของตอนแรกนี้แล้วครับ ผมกลับออกมาถนนใหญ่ เพชรเกษมมุ่งหน้าลงใต้ต่อไป เป้าหมายคือ นครศรีธรรมราช แต่ เวลาตอนนั้นก็ 5 โมงเย็นแล้วไม่แน่ใจว่าจะไปถึงหรือเปล่า เพราะพรุ่งนี้ ภาระกิจแรกคือ ชุมทางรถไฟทุ่งสง ต้องขับรถย้อนออกมาจากเมืองนครฯ ประมาณ 50 กิโลเมตร จะเอาอย่างไรแน่ ต้องดูเวลาก่อนว่าคืนนี้จะไปได้แค่ไหน ผมไม่ได้จองที่พัก ดึกมากๆ เกรงจะหาที่พักลำบาก คอยติดตามชมต่อไปนะครับ จากคุณ : มิราชช (mirage_II) เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 55 18:20:29

ความคิดเห็นที่ 89 ขอจิ้มไปที่ คห.  76 คุณ มิราชช (mirage_II) ครับ ตามที่วิเคราะห์ การเดินรถ ไป - กลับ ที่ได้กล่าวมา ยังมีส่วนที่ผิดไปจากความเป็นจริงอยู่เยอะครับ ตามที่คุณ มิราชช (mirage_II) เข้าใจได้ถูกต้อง คือ ขบวนรถท้องถิ่น 445 ชุมพร - ชุมทางหาดใหญ่ ออกเช้าชุมพร ถึง หาดใหญ่เอาตอนเย็นๆ พัก 1 คืนแล้วตีกลับ เป็น ขบวนรถท้องถิ่น 446 ชุมทางหาดใหญ่ - ชุมพร ออกเช้าหาดใหญ่ มาถึง ชุมพร เย็นๆ อันนี้ ถูกต้อง ครับ แต่ผมอยากแชร์ประสบการณ์ ให้คุณ มิราชช (mirage_II) ได้ทราบ เรื่องของการ วนขบวนรถก็คึอ หมู่ขบวนรถเร็ว ขบวนรถเร็ว 171/172 กรุงเทพ - สุไหงโกลก - กรุงเทพ 171 เมื่อถึง สุไหงโกลก แล้ว ตีกลับเป็น 172 กลับกรุงเทพ "ทันที" ครับไม่มีพักรถไว้ที่ สุไหงโกลก นะครับ ด้วยเพราะความปลอดภัยของผู้โดยสาร 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขบวนรถเร็ว 173/174 กรุงเทพ - นครศรีธรรมราช - กรุงเทพ 173 เมื่อถึง นครศรีธรรมราช แล้ว ตีกลับเป็น 174 กลับกรุงเทพ ทันที ...อันนี้ถูกต้องครับ ขบวนรถเร็ว 167/168 กรุงเทพ - กันตัง - กรุงเทพ 167 เมื่อถึง กันตัง แล้ว ตีกลับเป็น 168 กลับกรุงเทพ ทันที ... อันนี้ ถูกต้องครับ ------------------------------------------------------------------------------------ ต่อไป ว่าด้วยเรื่อง รถจากธนบุรี - หลังสวน - ธนบุรี นะครับ ขบวนรถที่วิ่งจะไม่จับคู่ เป็น รถเร็ว 177/178 รถธรรมดา 255/254 นะครับ แต่การวนรถ จะเป็นดังนี้ คือ ขบวนรถธรรมดาที่ 255 ธนบุรี - หลังสวน ออก เช้าธนบุรี มาถึง หลังสวนช่วงทุ่มกว่าๆ แล้ว ที่เป็นรถไฟฟรี น่ะครับ จะตีกลับเป็น ขบวนรถเร็วที่ 178 หลังสวน - ธนบุรี ออก หลังสวน 2 ทุ่ม กลับถึง ธนบุรี เช้ามืดครับ ตี5 6โมง 7โมงว่ากันไป กลายเป็นรถเสียตังค์ ซะแล้ว ขบวนรถเร็วที่ 177 ธนบุรี - หลังสวน ออก ธนบุรี 1ทุ่มช่วงหัวค่ำ มาถึงหลังสวน เช้ามืดตี 5 ขบวนนี้ ไม่ฟรีครับ เสียตังค์แน่นอน เมือถึง หลังสวนแล้ว จะตีกลับเป็น ขบวนรถธรรมดา ที่ 254 หลังสวน - ธนบุรี ออกหลังสวนเช้ามืดเลย กลับมาถึงธนบุรี ช่วงบ่าย 3-4 โมงเย็น ดังนั้น ขบวนรถ จาก ธนบุรี - หลังสวน - ธนบุรี จึงไม่มีการพักรถ ข้ามคืนนะครับ จัดคู่ ได้เป็น เที่ยวไป ขบวนรถธรรมดา 255 / เที่ยวกลับ ขบวนรถเร็ว 178 : ----> 255/178 เที่ยวไป ขบวนรถเร็ว 177 / เที่ยวกลับ ขบวนรถธรรมดา 254 : ----> 177/254 ตามนี้ ครับ ----------------------------------------------------------------------------------- และสุดท้าย ว่าด้วยเรื่องของ ขบวนรถด่วนพิเศษดีเซลรางปรับอากาศทั้งหลาย ในเส้นทางสายใต้ ซึ่งขบวนรถแบบนี้ จะใช้รถดีเซลรางแดวู ทำขบวน ลักษณะของการทำขบวน และการวนรถ จะเป็นแบบนี้ครับ เริ่มต้นจาก ขบวนรถด่วนพิเศษดีเซลราง ขบวนที่ 39/41 กรุงเทพ - สุราษฏร์ธานี(39)/กรุงเทพ - ยะลา(41) ขบวนรถเที่ยวนี้ จะเป็นขบวนรถที่"พ่วงรวมกันมา" เป็นขบวนเดียวกันครับ โดยมีปลายทาง 2 สถานนีคือ สถานีสุราษฏร์ธานี และ สถานียะลา โดยออกต้นทาง กรุงเทพ 22.50 น. เมื่อขบวนรถ มาถึงสถานีสุราษฏร์ธานี ประมาณ 8 โมงเช้า "ขบวนรถจะถูกหั่นออกเป็น 2 ขบวน" ที่สถานีสุราษฏร์ฯ นี้ โดยที่ขบวนรถด่วนพิเศษดีเซลรางที่ 39 กรุงเทพ - สุราษฏร์ธานี ที่มักจะพ่วงไว้อยู่ตอนท้ายของขบวน จะปลดขอพ่วงออกจาก ขบวนรถด่วนพิเศษดีเซลรางที่ 41 กรุงเทพ - ยะลา เพื่อให้ ขบวน 41 ได้ทำขบวนต่อไป จนถึง ยะลาได้ ส่วนขบวน 39 ก็จอดรอพักรถที่ สถานีสุราษฏร์ธานี โดยที่ขบวน 39 จะตีกลับ เป็น ขบวนรถด่วนพิเศษดีเซลรางที่ 40 สุราษฏร์ธานี - กรุงเทพ วิ่งกลับมา เดี่ยวๆ เป็นรถนั่งแอร์กลางวัน ออกสุราษฏร์ฯสายๆ 10.40 น. แล้ว กลับเข้าถึงกรุงเทพ ในช่วงหัวค่ำ ประมาณ 1 ทุ่ม ------- ขบวนรถด่วนพิเศษดีเซลรางที่ 41 กรุงเทพ - ยะลา หลังจากที่พ่วงรวมกับขบวน 39 มาถึงสุราษฏร์ฯ แล้ว ก็จะปลดขอพ่วงทิ้งเจ้าขบวน 39 ไว้ที่สุราษฏร์ แล้วตัวเอง ก็ทำขบวนลงใต้ ไปต่อให้ถึง สถานียะลา 14.30 น. แล้วพักรถ เป็นเวลาไม่นานนัก หลังจากนั้นก็จะ ตีกลับเป็นขบวนรถด่วนพิเศษดีเซลรางที่ 42 ยะลา - กรุงเทพ ออกจาก ยะลา 14.55 น. ------- อีกชุดนึงก็จะเป็น ขบวนรถด่วนพิเศษดีเซลรางที่ 43 กรุงเทพ - สุราษฏร์ธานี ขบวนนี้ ออก 8 โมงเช้า ที่กรุงเทพ แล้วมาถึง สุราษฏร์ ในช่วงเย็นๆ ราวๆ บ่าย4 - 5 โมงเย็น วิ่งเป็นรถนั่งแอร์กลางวัน เมื่อถึงสถานีสุราษฎร์ธานี แล้ว จะทำการพักรถซักครู่ และ ทำขบวนกลับเป็น ขบวนรถด่วนพิเศษดีเซลรางที่ 44 สุราษฎร์ธานี - กรุงเทพ โดยที่ขบวนนี้มีเงื่อนไขที่ว่า จะต้องจอดพักรถซักครู่นั้น เพื่อที่จะรอให้ ... ขบวนรถด่วนพิเศษดีเซลรางที่ 42 ยะลา - กรุงเทพ ที่ออก 14.55 น. จากยะลามานั้่น เข้ามาพ่วงรวมชุดขบวนกัน กับ ขบวน 44 ที่จอดรออยู่ที่สถานีสุราษฏร์ฯ เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ในเที่ยวกลับนี้ ก็จะเป็น ขบวนรถด่วนพิเศษดีเซลรางที่ 42/44 ยะลา - กรุงเทพ (42)/ สุราษฏร์ธานี - กรุงเทพ (44) พ่วงรวมกันมา ตั้งแต่สุราษฏร์ธานี ออก 20.41 น.   ถึงกรุงเทพ 05.55 น. โดยสรุป ของขบวนรถด่วนพิเศษดีเซลราง สายใต้ก็จะเป็นแบบนี้ครับ ขบวนรถด่วนพิเศษดีเซลรางที่ 39/40 กรุงเทพ - สุราษฏร์ธานี - กรุงเทพ ขบวนรถด่วนพิเศษดีเซลรางที่ 41/42 กรุงเทพ - ยะลา - กรุงเทพ ขบวนรถด่วนพิเศษดีเซลรางที่ 43/44 กรุงเทพ - สุราษฏร์ธานี - กรุงเทพ ชุดรถวนวิ่ง ก็จะเป็น เที่ยวไป 39/41 เที่ยวกลับ 40 เที่ยวไป 43 เที่ยวกลับ 42/44 แบบนี้ ครับ แก้ไขเมื่อ 28 เม.ย. 55 02:23:00 จากคุณ : สัญญาณไฟสี 3 ท่า (Sps-TE') เขียนเมื่อ : 28 เม.ย. 55 02:15:19