ความคิดเห็นที่ 1 พุธ 20 ตุลาคม 2553 : Badaling Great wall- Sacred way- Dingling tomb-Changling Tomb 8.00     เดินทางด้วยรถ taxi (เหมาวัน)ไปยัง Badaling Great wall กำแพงเมืองจีนที่สภาพดีสุด (แต่คนก็เยอะที่สุดเช่นกัน) นั่งกระเช้าสู่ยอดปราการที่ 8 ไต่ความสูงสู่จุดสูงสุดของกำแพง 11.00   เดินชมทางเดิน Sacred way สู่สุสานราชวงศ์หมิงทั้ง 13 แห่ง ด้านข้างมีหินแกะสลักรูปสัตว์ศักดิ์สิทธิเรียงรายขนาบต้นหลิวสองข้างทาง 13.00   รับประทานอาหารกลางวัน 14.15   สำรวจสุสานติงหลิง (Ding Ling) สุสานใต้ดินของกษัตริย์ Shenzhong ผู้ครองราชย์ยาวนามสุดของราชวงศ์หมิง 15.30   ชมสุสานฉางหลิง (Yongle) สุสานของกษัตริย์หยงเล่อผู้ริเริ่มการก่อสร้างสุสานทั้ง 13 แห่ง 16.30   เดินทางกลับสู่ที่พัก 18.00   รับประทานอาหารที่ห้างแถวถนน Wanfujing ช๊อปปิ้งซื้อหนังสือราคาถูกที่ร้าน Foreign Book Store ถนน wanfujing จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:18:27

ความคิดเห็นที่ 2 เช้าวันนี้ อากาศในปักกิ่งขมุกขมัวเช่นเดิม เพียงแต่ไม่มีฝนตกเหมือนเมื่อวาน พยากรณ์อากาศบอกว่าจะเป็นแบบนี้ตลอดไปจนถึงวันกลับ ตัดสินใจเด็ดเดียว เอาไงก็เอา มาถึงเมืองจีน ถ้าไม่ได้เหยียบกำแพงก็จะเสียค่าตั๋วเครื่องบินเปล่าๆ ยังไงก็ต้องไปล่ะ ว่าแล้วเราก็พกร่มและเสื้อกันฝนเตรียมกันเหนียว คุณลุง taxi เจ้าเดิมที่พาไปสวน beihai กำลังทำความสะอาดรถอยู่หน้าโรงแรมเหมือนเดิม วันนี้เรามีนัดกันตอน 8 โมงเช้า “ผมขอ 500 หยวน ไปกลับ badaling รวมค่าทางด่วน ค่าน้ำมันและ ค่าที่จอดรถแล้ว” “ ถ้าไป Sacred way + Changling+ Ding ling Tomb ด้วยละ” “อืม .... “ คุณลุงหยุดคิดแว๊บนึง “ขอ 600 แล้วกัน” “ได้ ตกลง” (จริงๆแล้วใช้ภาษามือ บวก ภาษาจีนที่พิมพ์ลงกระดาษ ในการต่อรองและคุยกัน แต่เพื่อเป็นการง่ายต่อผู้อ่าน เราจึงขอแปล ไทยsubtitle มาให้อ่านกัน) แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 54 11:24:08 จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:21:07

ความคิดเห็นที่ 3 ตะลุยหมอก ทุละฟ้า ฝ่ากำแพงเมืองจีน กำแพงเมืองจีน สิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ จนมีคำพูดที่ว่า ถ้าออกไปอยู่นอกโลกบนดวงจันทร์แล้วจะเป็นสิ่งก่อสร้างเดียวที่มองด้วยตาเปล่าเห็น ซึ่งปัจจุบันนี้ หลายคนคงทราบว่า มันไม่จริง!! (อ้าว ยังมีคนเชื่ออยู่อีกเหรอเนี่ยะ) ถึงแม้จะนั่งบนดวงจันทร์แล้วมองไม่เห็นกำแพง แต่ความสำคัญของกำแพงนี้ก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย กำแพงเมืองจีนสร้างขึ้นเมื่อ 700 กว่าปีก่อนคริสตศักราช ในยุคชุนชิวและจั้นกั๋ว แต่หลังจากจิ๋นซีฮ่องเต้รวมจีนเป็นหนึ่งก็ได้มีการสร้างต่อเติมและเพิ่มเติมให้ต่อเนื่องกันยาวถึง 6700 กิโลเมตร จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:27:32

ความคิดเห็นที่ 4 บอก6700กม. อาจจะนึกไม่ออกว่าไกลแค่ไหน ก็ประมาณ......... ลากเส้นตรงจากเมืองไทยข้าม พม่า อินเดีย ปากีสถาน ไปถึงซาอุ หรือ อิรัก ประมาณนั้นแหละ (ยาวมาก!~) มณฑลที่มีกำแพงเมืองจีนตัดผ่าน ได้แก่ เหลียวหนิง เหอเป่ย ปักกิ่ง ซานซี มองโกเลีย หนิงเซี่ย ส่านซี และ กานซู ซึ่งในเวลานี้ กำแพงส่วนที่ได้รับการบูรณะดีที่สุดตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง ก็คือ กำแพงเมืองจีนของปักกิ่งนั่นเอง จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:28:14

ความคิดเห็นที่ 5 กำแพงเมืองจีน มีตั้งหลายด่าน ไปด่านไหนดีนะ? ถ้าเกิดจะเหมา taxi ไปเที่ยวกำแพงเมืองจีน คำถามที่ taxi ที่ดีควรจะถามคือ “จะไปด่านไหน?” อย่าลืมว่ากำแพงเมืองจีน ยาวเท่ากับจากไทยไปอิรัก ไม่ใช่ว่าอยากจะลงแล้วก็ปีนขึ้นไปตรงไหนก็ได้ซะที่ไหนกันเล่า! มันมีด่านตั้งหลายด่าน และทางขึ้นหลายทาง แต่ด่านที่แนะนำจะมีอยู่ 4 ด่านด้วยกัน โดยดูจาก ความสะดวกสบายในการเดินทางและ ความปลอดภัยในการพิชิตกำแพงเมืองจีน ถ้าขึ้น taxi แล้วบอกให้ไป Great wall แล้วเขาบอก I Know I Know แต่ไม่ถามด่าน เราก็ควรจะต่อรองให้เรียบร้อย เพราะดีไม่ดี อาจไม่ได้ไปกำแพงเมืองจีน แต่ไปจบที่ ร้านขายหยก และ ร้านขายผ้าไหม ก็เป็นได้   ด่านที่สะดวกในการเดินทาง และปลอดภัย ในปักกิ่ง มีอยู่ 4 ด่านที่จะแนะนำด้วยกัน ได้แก่ จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:29:50

ความคิดเห็นที่ 6 1. Badaling (八达岭) ด่าน ปาต้าหลิง ข้อดี : ทันสมัยที่สุด มีทั้ง กระเช้า และรถรางพาไปถึงจุดยอดสุดของกำแพง มีที่จอดรถ พิพิธภัณฑ์ ร้านอาหาร ไปจนถึง wifi ไร้สายให้ใช้ กำแพงมีราวจับเหมาะสำหรับผู้ที่อายุเข่าเหลือน้อยเต็มที, ใกล้สถานที่เที่ยว Ming tomb ข้อเสีย : คนเยอะมากๆ ไม่ว่าจะฝนตก หิมะไหล แดดเปรี้ยง ท่านจะเห็นคลื่นมหาชนเต็มไปหมด (ได้อารมณ์ไม่เหงา แต่จะเซ็งแทนเพราะถ่ายติดแต่หัวดำๆแดงๆไปหมด) ห้องน้ำ สุดยอด อันดับหนึ่ง กองเจดีย์เต็มทุกห้อง (ไม่ขออธิบายรายละเอียด) การเดินทาง : ได้สองแบบ โดยรถไฟ จาก Beijing Railway North Station ไปลง Badaling Station หรือ นั่งรถบัสจาก Deshengmen bus terminal ในตัวเมืองปักกิ่ง มาลง Badaling bus stop (Credit รูป wikipedia เพราะรูปถ่ายวันที่ไปหมอกลงจัดมาก) จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:34:46

ความคิดเห็นที่ 7 2. Juyongguan (居庸关) ด่านจูหยงกวน ข้อดี  : ด่านยาว 18 กม. นี้ อยู่ใกล้ตัวเมืองกว่า badaling และคนน้อยกว่า แถมยังมีส่วนที่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ติดน้ำสวยมากๆ ข้อเสีย : ไม่มี กระเช้า หรือรถราง ไม่มีพิพิธภัณฑ์ การเดินทาง : ได้ทั้งการนั่งรถไฟ Beijing West Railway มาลง Juyongguan pass   หรือจะนั่งรถบัสสาย 919จาก Deshengmen  bus terminal แล้วต่อรถ local สาย 20 มายังด่านก็ได้ (credit ภาพ wikipedia) จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:35:49

ความคิดเห็นที่ 8 3. Mutianyu  (慕田峪) ด่านมู่เถียนยู่ ข้อดี : คนน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับด่าน badaling  มีกระเช้าให้นั่งด้วย วิวสวย ข้อเสีย : ทางค่อนข้างชันมาก และบางส่วนก็มีผุผัง ค่อนข้างอันตรายพอสมควร ไม่ควรพาเด็กหรือคนแก่ไปเดินเท่าไหร่นัก การเดินทาง : จาก Dongzhimen Station นั่งรถสาย 936 หรือ 916快车 ลงที่ Ming Zhu Guang Chang明珠广场 แล้วขึ้น Taxi ต่อประมาณ 30 หยวน (Credit ภาพ Wikipedia) แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 54 14:08:11 จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:36:50

ความคิดเห็นที่ 9 4. Simatai (司马台) ซื่อหมาไถ ข้อดี : คนน้อยที่สุดในบรรดาด่านทั้งสี่ มีบึงใกล้ๆสามารถปั่นเรือเล่น หรือกินอาหารจีนที่โรงแรมแถวนั้นได้ ข้อเสีย : เดินยากที่สุด กำแพงชำรุดทรุดโทรมหลายที่ บางแห่งเป็นเหวลงไป อันตรายต่อการเดินมากๆ ไม่มีรถบัสสายตรงไปลง เดินทางลำบาก การเดินทาง :  จาก Dongzhimen Station นั่งรถคันที่จะไป Fengshan ลงที่ Gubeikou ระหว่างทาง หรือนั่งรถคันที่จะไป Chengde บอกคนขับให้จอดระหว่างทางที่ด่าน simatai (Credit ภาพ Wikipedia) แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 54 14:08:35 จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:37:38

ความคิดเห็นที่ 10 กำแพงเมืองจีนนั้น ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองปักกิ่งประมาณ 1 ชม. (ถ้ารถไม่ติด) จากถนนที่มีรถพลุกพล่าน และคนที่ไม่ค่อยยอมข้ามถนนตรงไฟสัญญาณทิวทัศน์ค่อยๆเปลี่ยนเป็น ต้นไม้ และภูเขาสองข้างทาง ช่วงนี้ต้นไม้กำลังออกใบสีแดงสลับกับเขียว สวยมากๆ คุณลุง taxi พูดภาษาจีนน้ำไหลไฟแลบ อะไรต่ออะไรก็ไม่รู้ ที่น่าจะแปลเกี่ยวกับประวัติกำแพงเมืองจีน แต่ฟังไม่ออกเลย ได้แต่อือๆอาๆ ไปตามเรื่อง (เกรงใจแกง่ะ)   ตอนแรกสารถีประจำวันของเราตั้งใจจะพาไปยังกำแพงเมืองจีนด่าน Ju yong gaun แต่ด้วยความเสียดาย และกลัวพ่อแม่จะเดินไม่ไหว เราจึงตัดสินใจไป Badalingแทน ทั้งๆที่รู้ว่า คนอาจจะเยอะมากจนเที่ยวไม่สนุกก็ตาม “ไม่เป็นไรน่า วันนี้หมอกเยอะ คนคงไม่มาเที่ยวหรอก” ...แต่ความจริง คือ เราคิดผิด!! จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:39:36

ความคิดเห็นที่ 11 กองทัพพลทหารจีนนอกเครื่องแบบนับร้อยๆ พากันเดินเท้าตั้งแต่ปากทางเข้า ไปยันจนถึงหน้ากระเช้า คุณลุงมายืนกำกับให้ซื้อตั๋วกระเช้าไปกลับ เราส่ายหัว ประมาณว่า อยากนั่งขึ้นไปเที่ยวเดียว แต่เดินกลับได้ไหม ไกด์จำเป็น ทำท่าตกใจสุดขีด พร้อมกับส่ายๆหัว เอานิ้วชี้จิ้มป้ายที่เขียนว่า Return Trip อย่างรุนแรง โอเค โอเค ไปกลับก็ได้ฟระ แหม จะอะไรกันนักเชียว ก็ตั้งใจว่าจะนั่งขึ้นไปด่าน 8 แล้ว เดินมาด่าน 4 ก่อนที่จะนั่งรถรางลงมาก็เท่านั้นเอง แต่ไม่เอาก็ได้ เช๊อะ (มานึกขอบใจทีหลัง เพราะ ม๊าป๊าเดินไม่ไหวจริงๆ) จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:40:47

ความคิดเห็นที่ 12 คนที่ว่าเยอะแล้ว ยังไม่น่าเซ็งเท่ากับ หมอกที่ลงหนายิ่งกว่า เรียกได้ว่า ค่าขึ้นกระเช้า ไม่มีความหมายอะไรนอกจากช่วยย่นระยะทาง เพราะว่า หมอกลงจัดซะจนแค่ระยะ 3 เมตรก็มองไม่เห็นด้านหน้าแล้ว จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:41:27

ความคิดเห็นที่ 13 ไม่มีอะไรจะทำบนกระเช้า มองวิวอะไรก็ไม่เห็น ได้แต่นั่งอ่านป้ายตัวสีแดงๆ ทิ่ติดอยู่ในกระเช้าว่า “หากกระเช้าหยุด จงอย่าได้ตกใจ กรุณาสงบสติอารมณ์ เพราะบางครั้งการขึ้นลงที่สถานีอาจมีปัญหาได้ แต่อย่างไรก็ตาม หากในกรณีฉุกเฉินให้ฟังเสียงประกาศและทำตามที่ได้ยิน ขอให้โชคดี!" (โชคดี หือ? แปลว่าอะไรหนะ!? แล้วถ้าประกาศ นี่จะประกาศเป็นภาษาอังกฤษไหมเนี่ยะ?) จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:42:03

ความคิดเห็นที่ 14 หลังจากพยายาม built อารมรณ์สร้างความลุ้นระทึกเล่นๆ เพราะไม่มีอะไรทำบนกระเช้า เราก็มาถึงยอดสูงสุดของด่าน Badaling จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:43:04

ความคิดเห็นที่ 15 อากาศที่เย็นลงจับตัวกันกลายเป็นหยดน้ำเล็กๆที่โปรยปรายตามสายลมที่พัดกระชากรูขุมขนได้ใจมากๆ บรื๊อ~ จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:43:34

ความคิดเห็นที่ 16 อูย หนาวๆๆ จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:43:50

ความคิดเห็นที่ 17 หมอกลงเยอะจริงๆพับผ่าซิ จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:44:48

ความคิดเห็นที่ 18 มาเที่ยวกำแพงเมืองจีนครั้งนี้ค่อนข้างผิดหวังมากๆ ไม่ได้ผิดหวังที่คนเยอะ จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:45:41

ความคิดเห็นที่ 19 แต่ว่าผิดหวังกับบรรยากาศ เพราะมองอะไรไม่เห็นเลย จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:46:00

ความคิดเห็นที่ 20 จริงๆ กล้องที่เอามาชื้นไปหมดเพราะหมอกที่ลงจัด จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:46:22

ความคิดเห็นที่ 21 “ไว้คราวหน้านะ หนูจะมาใหม่ ต้องมาถ่ายรูปวันฟ้าใสให้ได้” เราบ่นกระปอดกระแปดกับแม่ “เออ ดีแล้วลูก แต่แม่ว่า ชาตินี้ แม่พอแล้ว ไม่เอาแล้ว แหละ” แม่พูดไปหอบไปขณะที่มือกำราวบันไดไต่ขึ้นกำแพงที่เอียงประมาณ 45 องศาเห็นจะได้ จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:47:05

ความคิดเห็นที่ 22 (จุดนี้ เวลายืนถ่ายรูปเป็นไมเคิลแจ๊กสันได้เลย เอียงได้ใจจริงๆ อ๊าว!) จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:47:27

ความคิดเห็นที่ 23 เสนอหน้าเข้ามาชมเหมือนเคยครับคุณหมอ เห็นด้วยว่าบรรยากาศห้องบลูในตอนนี้บลูสมชื่อจริงๆครับ เพราะเหตุการณ์ที่ประเทศญี่ปุ่น (อันเป็น 1 ในประเทศทีนิยมไปเที่ยวกันมากในห้องของเรา) ทำให้ตอนนี้หลายๆคนเริ่มเกิดอาการทั้งเซ็ง ทั้งเศร้า สงสาร และอีกหลายๆอย่างครับ ยังไงก็ขอบคุณที่มารีวิวนะคุณหมอ ได้ข่าวว่าจะไปเดือนหน้าด้วย ยังไงก็ขอให้เดินทางท่องเที่ยวอย่างสนุกนะครับ จากคุณ : Coffee Blended เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:51:02

ความคิดเห็นที่ 24 ตำนานรักแม่นางเมิ่งเจียงหนี่ (Meng Jiang) ถ้าใครเคยอ่านตำนานจีน มาก่อนก็น่าจะเคยได้ยิน ตำนานรัก 4 เรื่องอันมีชื่อของจีน อันได้แก่ ตำนานนางพญางูขาว หนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้า ตำนานม่านประเพณี (เหลียงซานป๋อและจู้อิงไถ) และสุดท้ายก็คือ ตำนานของแม่นางเมิ่งเจียง   ย้อนกลับไปในยุคราชวงศ์จิ๋น ประชาชนมากมายถูกเกณฑ์ไปก่อสร้างกำแพงเมืองจีน รวมถึงสามีของแม่นางเมิ่งเจียงที่ต้องเดินทางไปไกลบ้านเพื่อก่อสร้างกำแพงทั้งๆที่เพิ่งจะแต่งงานได้ไม่นาน เมื่อฤดูหนาวมาถึง อากาศเย็นเยียบ แม่นางเมิ่งเจียงที่เฝ้ารอคอยสามีที่ไม่กลับบ้านมาเลย คว้าเสื้อหนาวที่เย็บเตรียมไว้ ออกเดินทางตามหาสามี เธอเดินทางไกลแสนไกลมาถึงที่ก่อสร้าง แล้วได้พบกับข่าวร้ายว่า สามีของเธอโดยใช้งานหนักจนตาย ศพถูกโยนทิ้งซักที่ ระหว่างกำแพงที่ก่อสร้าง ตำนานเล่าว่า เธอเดินเท้าและร้องไห้คร่ำครวญบนกำแพงเมืองจีนตลอดเกือบพันกิโล เพื่อตามหาศพของสามีของเธอ จนกระทั่งสวรรค์เห็นใจ บันดาลให้กำแพงเมืองบางส่วนถล่มลงมาทำให้เธอได้พบกับศพของสามี ก่อนที่เธอจะตัดสินใจกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 54 11:54:02 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 54 11:51:54 จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:51:43

ความคิดเห็นที่ 25 หมอกแยะจังครับ จากคุณ : Hero11147 เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:52:32

ความคิดเห็นที่ 26 ลืมใส่รูปข้างบนซะนิ.... นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “เบื้องหลังความยิ่งใหญ่ หากต้องแฝงด้วยเลือดเนื้อและน้ำตา สู้ข้าขอเป็นผู้น้อย ที่อยู่กับรอยยิ้มซะดีกว่า” โดยวณิพกแบกเป้จากเมืองไทยผู้เยือนกรุงปักกิ่ง credit ภาพ http://www.noholidaynolife.com/2010/08/24/china-great-wall-legends-meng-jiang-nv-weeping-on-the-great-wall/ จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:53:34

ความคิดเห็นที่ 27 ดีคะน้ากาแฟ กับคุณ Hero ขอบคุณที่แวะมาชมนะคะ (อืม ขอให้ทุกอย่างคลี่คลายเร็วๆด้วยเหอะ ตอนนี้เป็นห่วงน้องสาว ที่อยู่ญี่ปุ่น มากกว่าห่วง trip ตัวเองเยอะเลยค่ะ) จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:55:38

ความคิดเห็นที่ 28 Badaling Great wall  八达岭 เวลาทำการ   :  7.00 am -6.00 pm ค่าเข้า    : 40 หยวน            : ค่ากระเช้า เที่ยวเดียว 40 หยวน / ไปกลับ 60 หยวน การเดินทาง : ด้วยรถบัส : MRT Line2 ลง Jishuitan station เดินขึ้นเหนือไป De Sheng Men Bus terminal(德胜门 快车) ขึ้นรถสาย 919 Non stop express (919直快) หรือ 919 Express (919快) ลง Badaling bus stop ราคา 12 หยวน                 : ด้วยรถไฟ : MRT Line 2 Xishimen station เดินไปยัง Beijing North Railway station  (北京火车北站) ซื้อตั๋วรถไฟสาย S2 ที่ไป Yangqing ลงที่ Badaling Station (八达岭) ใช้เวลาประมาณ 1ชม. ราคา 23 หยวน Website : http://www.badalinggreatwall.com/index.html จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:57:08

ความคิดเห็นที่ 29 Sacred Way โอ้ว้าวต้นหลิวใหญ่ Stairway to heaven จริงๆ หลังจากเซ็งปื๊ดกับหมอกหนาจัด และสยดสยองกับกองเจดีย์ในห้องน้ำที่ badaling กันแล้ว เรานั่ง taxi กลับมายังทางเดิมที่เข้าเมือง ผ่านด่าน Juyongguan เมฆฝนดำคล้ำ และฟ้าที่ไร้แดด ก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็น สีจางและ แดดอ่อน ได้แต่เกาะหน้าต่าง taxi ด่าตัวเองในใจ “บ้าที่สุด ด่าน Juyongguan สวยกว่าตั้งเยอะ ฝนก็ไม่ตก คนก็ไม่มี ตรูนี่โง่จริงๆเลย” จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 11:58:26

ความคิดเห็นที่ 30 ประมาณ 1 ชม. เราก็มาถึง Sacred way ซึ่งเป็นถนน ห้าสี่เลนตัดผ่านแมกไม้ จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:03:02

ความคิดเห็นที่ 31 ที่สำคัญ ถนนเส้นนี้ไม่ได้มีให้รถวิ่งผ่าน แต่ไว้ให้สำหรับเคลื่อนพระศพฮ่องเต้เท่านั้น!! จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:03:28

ความคิดเห็นที่ 32 โดยทั่วไปแล้ว สุสานของกษัตริย์ทุกองค์จะมีทางเดินที่ตั้งด้วยหุ่นสองข้างทาง ซึ่งทางเดินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสุสานราชวงศ์หมิง ก็คือ Changling Sacred way ที่เรามาเยือนกันในวันนี้ จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:03:58

ความคิดเห็นที่ 33 อธิบายกันให้เข้าใจอีกซักนิดจะได้เที่ยวได้สนุกมากขึ้น บริเวณรอบๆนี้ เรียกว่า 13 Ming Tomb หรือ 13 สุสานราชวงศ์หมิง ซึ่งประกอบไปด้วย สุสานของกษัตริย์ราชวงศ์หมิงทั้งหมด 13 พระองค์ ปัจจุบันนี้ เปิดให้เข้าชมเพียง 3 สุสาน และ 1 sacred way เท่านั้น จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:09:29

ความคิดเห็นที่ 34 ใครกันเป็นผู้สร้างสุสานนี้? (เรียกให้ถูกต้องเป็น “คนให้สร้าง” มากกว่า “คนสร้าง” เน๊อะ) คำตอบไม่ใช่จูหยวนจาง (Zhu yuan zhang) ผู้สถาปนาราชวงศ์หมิง อย่างที่หลายคนเดา แต่เป็นจู้ตี้  (Zhu Di) กษัตริย์องค์ที่สาม แห่งราชวงศ์หมิงต่างหาก จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:15:36

ความคิดเห็นที่ 35 ตามไปกำแพงเมืองจีนด้วยค่ะ ขึ้นได้ถึงด่านไหนค่ะ ของเราไปเมื่อ 8 ปีก่อน แค่ด่านที่ 3 ลิ้นห้อยซะก่อน ไปต่อไม่เป็นเลย เมื่อก่อนไม่มีกระเช้าแบบสมัยนี้ด้วย ดู ๆ สมัยนี้สะดวกสบายกว่าเมื่อก่อน อาจจะกลับไปอีกสักรอบนิ  ขอบคุณค่ะ จากคุณ : คุณแม่ติดเน็ต เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:16:03

ความคิดเห็นที่ 36 ทำไมถึงมีแค่ 13 Ming Tomb ทั้งๆที่มีกษัตริย์ราชวงศ์หมิง 16 องค์? ถ้าใครสังเกตแผนที่ดีๆ ก็จะเห็นว่าไม่มีสุสานกษัตริย์จูหยวนจางใน สุสานทั้ง 13 แห่งนี้ แปลกไหม? เป็นถึงกษัตริย์ผู้ก่อตั้งราชวงศ์หมิงทีเดียวนา.. ทำไมถึงไม่มีสุสานแบบอลังการเหมือนกับกษัตริย์จู้ตี้ผู้เป็นน้องละ? เพื่อให้รู้ซึ้งถึงคำตอบเราจะขอย้อนอดีตทุกท่านกลับไปประมาณ 700 ปีก่อน สมัยตอนที่กษัตริย์จูหยวนจางสถานปนาตัวเองขึ้นมาเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิง เมืองหลวงของจีนยังอยู่ที่หนานจิงอยู่เลย ตอนที่จูหยวนจางยังเป็นหนุ่มเอ๊าะ เขาเป็นถึงหัวหน้าขบวนการชาวนา ต่อต้านรัฐบาลผู้ขึ้นภาษี เอ๊ย! ต่อต้านเหล่ากษัตริย์ราชวงศ์หยวน เมื่อผ่านวัยเบญจเพส ชาวนาไฟแรงอายุ 26 กว่าๆก็พากำลังทหารชาวนารักชาติทั้งหลาย เข้ายึดเมืองจี๋ชิง (ปัจจุบัน หนานจิง) และเปลี่ยนชื่อเมืองเป็น อิ้งเทียน เข้าทำนองพรรคใหม่ ชื่ออะไรเก่าๆ โปรเจคอะไรเก่าๆของรัฐบาลก่อนก็เปลี่ยนมันซะ (ทั้งๆที่ไส้ในเหมือนเดิมเปี๊ยบ) จนกระทั่งปี คศ. 1386 จูหยวนจาง เห็นฤกษ์งามยามดี อายุอานามได้ 40 ปี พอดี ก็ตั้งตนเป็น “พระเจ้าหมิงไทจู่” ผู้ก่อตั้งราชวงศ์หมิง ต่อจาก ราชวงศ์หยวน ถือว่าเป็นอันจบสิ้นราชวงศ์หยวน เนื่องจากมาจากชนชั้นเกษตรกรแข็งขัน เป็นกระดูกสันหลังของชาติ กษัตริย์จูหยวนจางจึงเข้าใจดีถึงความลำบากของผู้ที่หาเช้ากินค่ำ หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ท่านมีพระบรมราชองค์การให้เกษตรกรพลัดถิ่นระหว่างสงคราม กลับสู่บ้านเกิดมาทำนา ทำไร่เหมือนเดิม แถมใจดี เปิดที่ดินสปก 4-01 ให้จับจองพื้นที่ทำกินกันได้ตามสะดวก รณรงค์ให้ปลูกพืชเศรษฐกิจ พวก ฝ้าย หม่อน ป่าน ปอ และยังงดเว้นการเก็บภาษีนานอีก 3 ปี เจอนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดนี้ ผลผลิตที่ได้ในสมัยของท่าน ทำ new high ทะลุเป้า สมัยราชวงศ์หยวนถึง 4 เท่าทีเดียว จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:19:55

ความคิดเห็นที่ 37 หมอกเยอะมากๆครับ ได้อ่านข้อมูลไปด้วย ทำให้ได้ความรู้มากๆเลยครับ เห็นแล้วก็อยากไป จากคุณ : ม่วงมหากาฬ เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:20:56

ความคิดเห็นที่ 38 แต่น่าเสียดาย มีขึ้นก็ต้องมีลง กษัตริย์จูหยวนจางครองราชย์จนแก่หง่อมหกสิบกว่าปี จนลูกชายที่รอบัลลังก์ทนไม่ไหว เซย์บ๊ายบายไปรอภพหน้าก่อนแล้ว ท่านก็เลยยกตำแหน่งให้แก่ จูหยุ่นเหวิน (Zhu Yunwen) ที่เป็นหลานคนโตของท่านแทน ถ้าให้เทียบความเก่งไม่ว่าจะเป็นทางการบุ๋น หรือบู้ กษัตริย์จูหยุ่นเหวิน สู้พระเจ้าอา ที่มีนามว่า เจ้าชายจู้ตี้ (zhu di) ไม่ได้เลย (เจ้าชายจู้ตี้เป็นลูกคนที่ 4 ของของกษัตริย์จูหยวนจาง หรือถ้านับตามศักดิ์ก็คือพระเจ้าอาของกษัตริย์จูหยุ่นเหวิน) จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:21:41

ความคิดเห็นที่ 39 ด้วยความกลัวจะถูกมองว่า ได้ครองเมืองเพราะพระเจ้าตาให้มา แต่บริหารบ้านเมืองไม่เป็น เก่งแต่พูด (ไม่ได้พาดพิงใครเลย จริงจริ๊ง) อาจโดนข้าราชการอายุเหลือน้อยแต่อำนาจเหลือมากยุแยงให้เจ้าชายจู้ตี้ปฏิวัติยึดเอาง่ายๆ   กษัตริย์จูหยุ่นเหวิน จึงส่งเจ้าชายจู้ตี้ ออกไปถึงเมืองเหนืออันแห้งแล้งไกลโพ้น ไปประจำการที่เมืองเป่ยผิงโน่น(ปักกิ่งปัจจุบัน) ให้กินหมั่นโถวเฝ้ากำแพงเมืองจีนและรบกับมองโกลไปก่อน   ขณะนั้นก็ค่อยๆเด็ดแข้งเด็ดขา ข้าราชการที่สวามิภักดิ์กับพระเจ้าอาในตัวเมืองไปพลางๆระหว่างที่พระเจ้าอาไม่อยู่ จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:23:14

ความคิดเห็นที่ 40 เจ้าชายจู้ตี้ได้แต่เก็บความแค้นเงียบๆ และเปรยดังๆว่า “จูหยุ่นเหวิน ไม่ใช่กษัตริย์ที่แท้จริง งานนี้มีเช็คบิลแน่”   จนปี ค.ศ. 1402 เจ้าชายก็ยกทัพจากปักกิ่ง กระชับพื้นที่เข้าเผาเมืองหนานจิงให้หายแค้น โดยใช้เหตุผลว่า “การปราบความวุ่นวายเพื่อความสงบสุข” หรือที่อ่านเป็นภาษาจีนว่า “จิ้งหนาน”   จับข้าราชการทรยศ และบรรดานางสนมกษัตริย์จูหยุ่นเหวิน เผาทั้งเป็น ตอนที่ชุลมุนชุลเกเผาห้างเอ๊ยเผาวังกันนั้น กษัตริย์จูหยุ่นเหวินก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย (DSI คาดว่าน่าจะเป็นฝีมือจาก “ชายชุดดำ”) วังก็ไหม้ แถมยังไม่แน่ใจว่าอำนาจมืดยังอยู่หรือเปล่า เจ้าชายจู้ตี้ก็เลยจัดการปฏิรูป ปฏิวัติ ปฏิบัติ (แล้วแต่ใครจะเรียก) ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่ปักกิ่งซะเลย จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:24:24

ความคิดเห็นที่ 41 เล่ามาซะยาว ย้าว ยาว ก็แค่จะบอกว่า กษัตริย์องค์แรกของราชวงศ์หมิง กษัตริย์จูหยวนจางหนะ ท่านถือคติ เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกตายได้ ว่าจะตายที่ไหน ท่านก็เลยสร้างสุสานของตัวเองไว้เสร็จสรรพตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่หนานกิงแล้ว ส่วนความแค้นของกษัตริย์จู้ตี้ถึงขนาดเปรยว่า “จูหยุ่นเหวิน ไม่ใช่กษัตริย์” ดังนั้นอย่างหวังเลยว่า พระเจ้าอาจะสร้างสุสานให้หลานตัวแสบคนนี้ จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:25:26

ความคิดเห็นที่ 42 กษัตริย์องค์ที่สามที่ไม่มีสุสานให้ คือกษัตริย์องค์ที่ 7 ของราชวงศ์หมิง เรื่องของเรื่องก็คือ สมัยที่กษัตริย์องค์ที่ 6 ที่มีนามว่า จู้ฉีเจิ้น (Zhu Qizhen) ครองราชย์อยู่นั้น บังเอิญดวงซวยโดนพวกมองโกลจับตัวไป เพื่อเป็นการแก้ไขสถานการณ์ให้ละมุนละม่อมที่สุด นายพลใหญ่ ยู่เฉียน (Yu Qian) ก็ชิงสถาปนา น้องชายของจู้ฉีเจิ้นที่มีนามว่า จู้ฉียู่ (zhu qiyu) ขึ้นมาเป็นกษัตริย์แทนทันที พวกมองโกลเจอเกมยังงี้ก็ถึงกับใบ้รับประทาน เพราะกลายเป็นว่า จับแค่เชื้อพระวงศ์ระดับยศองค์ชายมาทันที ก็เลยปล่อยตัวกษัตริย์จู้ฉีเจิ้นในปีถัดมา แปดปีหลังจากที่ครองราชย์ น้องชายเริ่มป่วยออดๆแอดๆ เจ้าชายจู้ฉีเจิ้นเห็นเป็นการดีที่จะขออำนาจกษัตริย์คืนมาทันที โดยการยึดอำนาจ ถอนราชบัลลังก์ และฆ่านายพลยู่เฉียนทิ้งซะ ฐานทำให้ขายหน้า บังอาจมาปลดยศกษัตริย์ให้โดยไม่ขออนุญาต เมื่อได้ตำแหน่งคืนมา กษัตริย์จู้ฉีเจิ้นก็ขอให้แก้ประวัติศาสตร์ซะใหม่ว่า น้องคนนี้ไม่ได้เป็นกษัตริย์ เพียงแต่มา “รับตำแหน่ง ผู้ว่าราชการแทน” เฉยๆ ดังนั้นเมื่อน้องชายเสียชีวิต กษัตริย์จู้ฉีเจินก็เลยโปรดให้สร้างสุสานให้ไกลๆหูไกลๆตา นอกชานเมืองปักกิ่ง ไม่เอามารวมกับ 13 สุสานแห่งกษัตริย์ราชวงศ์หมิงให้เป็นที่รำคาญหูรำคาญตา (แต่อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์จีนในปัจจุบันก็ถือว่า เจ้าชายจู้ฉียู่ เคยเป็นกษัตริย์องค์ที่7 แห่งราชวงศ์หมิง อยู่ดีนั่นแหละ) จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:27:18

ความคิดเห็นที่ 43 ดีค่าคุณแม่ติดเน็ท : ไปถึงด่านแปดเลย (แต่ขึ้นกระเช้าเอานะ ฮ่าๆๆๆ) เดินไม่ไหวหรอกค่ะ พาป๊าม๊าอายุ หกสิบฝ่าไปด้วย ดีค่าน้าม่วง : เผอิญเราก็ชอบประวัติศาสตร์จีน กะ ญี่ปุ่น แล้วก็ เกาหลี (นี่กะเหมาหมดเอเชียตะวันออกเลย!) เวลาไปเที่ยวเสร็จก็กลับมานั่งอ่าน คิดว่าบางคนอาจจะชอบก็เลยลองค่อยๆเรียบเรียงมา post ค่ะ --------------------------------------------------------------------------- Sacred way หรือปากทางเข้าสุสานในแต่ละสมัยจะมีรูปแบบที่คล้ายๆกันอยู เพียงแต่ จะแตกต่างกันที่หุ่นที่เฝ้าหน้าทางเดิน และลวดลายการแกะสลัก อย่าง Sacred way ของ Ming tomb ที่นี่จะประกอบด้วย ซุ้มประตู 6 ช่อง, ประตูแดง, อนุสาวรีย์ เทพผู้พิทักษ์, รูปปั้นหิน, ประตูหงส์มังกร (Longfeng gate), สะพานห้าโค้ง และสะพานเจ็ดโค้ง ตามลำดับ ก่อนที่จะเข้าไปถึงตัวสุสานที่ตั้งอยู่ลึกสุดปลายทาง จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:34:33

ความคิดเห็นที่ 44 บรรดารูปปั้นหินทั้งหลายนี่แหละที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก เพราะว่าแกะสลักมาจากหินทั้งก้อน แถมไม่ใช่เป็นรูปทหารธรรมดา แต่เป็นสัตว์ในเทพนิยายจีน 12 คู่ และ คนอีก 6 คู่ด้วยกัน เรามาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:35:34

ความคิดเห็นที่ 45 สำหรับสัตว์ทั้ง 12 คู่ จะมี 6 ชนิด โดยจะมีทั้งท่านั่งและท่ายืน (คาดว่าคนแกะคงหมดมุข ไม่รู้จะเอาตัวอะไรดีตั้ง 12 ตัว) ได้แก่ สิงโต จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:36:16

ความคิดเห็นที่ 46 สิงโต ตัวxiezhi (เป็นหมาในตำนาน ตัวเป็นสิงโต เชื่อว่าสามารถกินไฟหรือคนพูดเท็จได้) จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:36:37

ความคิดเห็นที่ 47 อูฐ จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:37:02

ความคิดเห็นที่ 48 ช้าง กิเลน จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:37:27

ความคิดเห็นที่ 49 และม้า จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:37:47

ความคิดเห็นที่ 50 ทั้งนายพล กะ ผู้ว่าราชการ จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:38:29

ความคิดเห็นที่ 51 และ นักปราชญ์อย่างละ 2 คู่ จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:38:52

ความคิดเห็นที่ 52 อีกอย่างหนึ่งที่จะไม่พูดเลยไม่ได้ก็คือ ห้องน้ำที่นี่ ขอบอกว่าเป็นห้องน้ำที่หรูที่สุดที่เคยเข้ามาในปักกิ่ง พื้นหินอ่อน โคมระย้า ก๊อกน้ำแบบเซ็นเซอร์ และเครื่องเป่ามือแห้ง จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:39:17

ความคิดเห็นที่ 53 ถึงแม้จะดูหรูและสะอาด แต่ว่ากลิ่นไม่ผ่านมาตรฐาน ISO ไม่รู้ว่าทำความสะอาดบ่อยไม่พอ หรือว่าคนจีนชอบฉี่เลอะเทอะไม่ลงโถ กลิ่นมันเลยโชยๆออกมา ขัดกับรูปที่เห็นพอสมควร จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:39:41

ความคิดเห็นที่ 54 13 Ming Tomb (Sacred Way)  明十三陵 - 神道 (Ming shisan ling – Shen dao) เวลาทำการ  :  8.30 am – 6.00 pm ค่าเข้า         : 30 หยวน (เม.ย. – ต.ค.),   20 หยวน (ต.ค.- มี.ค.) การเดินทาง : รถสาย 314 ลงป้าย Changping Huzhuang (昌平胡庄)   :จากปักกิ่ง : MRT Line2 ลง Jishuitan Station. Exit A เดินไปยัง ป้ายรถเมล์ Deshengmenxi bus terminal  (德胜门西)    ขึ้นรถสาย 925 区 วิ่งระหว่าง (德胜门西- 昌平凤山) ลงที่ป้าย Chang Ping Dong guan (昌平东关)    จากนั้นต่อรถสาย 314   :จากกำแพงเมืองจีน Badaling : ขี้นรถสาย 919 Kuai (919 快) หรือ 919 qu (919直快)    ลงที่ MingHuang LaXiangGong NanMen (明皇蜡像宫南门)    จากนั้นต่อรถสาย 314 แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 54 12:42:19 จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:41:49

ความคิดเห็นที่ 55 เชือดหมูนิ่มๆ กลางสุสานราชวงศ์หมิง คุณเคยกินอาหารที่แพงที่สุดในชีวิตเมื่อไหร่ และที่ไหน?? อาหารเป็นอย่างไรบ้าง ความรู้สึกนุ่มลิ้นละลายในปาก เหมือนท่องไปในอากาศแหวกผ่านม่านชั้นสตราโตสเฟียร์ หรือดิ่งสู่ห้วงมหรรนพราวมีปลาโลมามาแหวกว่ายข้างๆ ..มา มื้อนี้เราจะพาท่านไปกินอาหารที่แพงที่สุดในชีวิตกัน หลังจากครอบครัวเราเดินผ่านเส้นทาง sacred way กันจนเหนื่อย ม๊าเอ่ยกับคนขับ taxi อย่างอารมณ์ดีว่า “พาไปหาร้านอาหารใกล้ๆกินข้าวกลางวันกันก่อนแล้วกัน” คนขับพยักหน้าหงึกๆพร้อมกับอธิบายว่า ร้านอาหารที่จะพาไปอยู่ใกล้Dingling Tomb เพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้น จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:45:44

ความคิดเห็นที่ 56 ว่าแล้วก็จอดรถหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งจัดบรรยากาศได้ไฮโซมาก ด้านหน้ามีหมา 2 ตัวซึ่งเป็นสัตว์หายากของจีนนอนอยู่หน้าร้าน เจ้าหน้าที่สองคนกำลังขมักเขม้นปิ้งไก่จากเตาถ่านคล้ายๆสมัยไก่ย่างห้าดาวยังไม่กำเนิดในบ้านเรา “เชิญๆๆ” บริกรหญิงนำเราไปสู่ที่นั่ง โห สุดยอด บริเวณร้านอาหารทั้งหมด ถูกซอยเป็นห้องแบบ private มากๆ มีโต๊ะกลมหนึ่งตัว พร้อมเก้าอี้ ต่อห้องหนึ่งห้องเท่านั้น คล้ายห้องปาร์ตี้คาราโอเกะส่วนตัว กำแพงแต่ละห้องมีคราบเขียวๆติดอยู่บ้าง มันช่าง ECO มั่กมั่ก “มีปลาไหม?” ม๊าถามเป็นภาษาจีน “ม๊าๆ เอาแบบที่มีในเมนูดีไหมจะเห็นราคา” เรากระซิบ “ได้ๆ นี่เสียวเจ่ (น้องสาว) เมนูแนะนำร้านมีอะไร” “ปลานึ่ง” “เออ เอาอันนั้นหล่ะ” ....ยอดมากม๊า ตกลงเมื่อกี้ได้ยินที่หนูบอกเปล่านิ?? จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:46:55

ความคิดเห็นที่ 57 นอกจากเมนูปลาที่เจ้าของร้านแนะนำว่าก้างน้อยแน่ๆไม่แทงเหงือก ก็ยังมีต้มจืดไก่บ้าน (ที่เจ๊อธิบายว่าไก่บ้านจริงๆนะเลี้ยงเองหลังบ้านเลย) จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:47:20

ความคิดเห็นที่ 58 แล้วก็ผัดผักสองอย่าง (รูปสลับกันขออภัย) จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:47:51

ความคิดเห็นที่ 59 “อยากลองบะหมี่ไหม” เจ๊ถาม ฟังภาษาจีนแปลกันไม่รู้เรื่อง และหิวจัด ม๊าสั่งข้าว 4 บวกหมี่สอง พร้อมกับกับ 4 อย่าง จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:48:22

ความคิดเห็นที่ 60 สั่งอาหารไป คุณคนขับ taxi เดินมานั่งโต๊ะเดียวกัน เพราะป๊าชวน (เห็นอยู่ว่าแกจะไปเปิดห้อง’เกะ ใหม่ก็ใช่ที่ บริการการขับรถที่ผ่านมาก็ใช้ได้อยู่) ปลานึ่งตัวใหญ่ที่บอกว่าก้างน้อยวางบนโต๊ะ “แม่เจ้าโว้ย” เป็นปลาที่ไฮโซมากๆ ยอมรับด้วยความสัตย์จริงว่าไม่เคยกินปลาชนิดนี้มาก่อนในชีวิต หน้าตาคล้ายๆกับปลาฉนาก กลับมาเปิด web ดู รู้สึกว่าจะเป็นปลา sturgeon จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:49:07

ความคิดเห็นที่ 61 ที่สำคัญหลังกินเจ๊ยังเอาไปสับเป็นชิ้นเล็กและให้แทะกระดูกเล่น อารมณ์คล้ายๆกินหมูกระดูกอ่อนบ้านเรา จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:49:24

ความคิดเห็นที่ 62 กินกันจนอิ่ม ม๊าเรียกเจ๊มาเก็บตังค์   พวกเราหัวเราะกันอยากสนุกสนานคุยกันไทยบ้างจีนบ้าง คุณคนขับ taxi ก็พ่นภาษาจีนเป็นชุด เสมือนว่าเราฟังเข้าใจ (ตรูฟังออกแค่ ไม่ ใช่ กับเป็ดปักกิ่งเท่านั้นแหละเฮีย!!) เมื่อเจ๊ยื่นบิลให้ ความเงียบมาเยือนโต๊ะทันที “พันสามร้อยหยวน!!” เฮ๊ย เราอุทานเป็นภาษาไทย (แต่คำว่าเฮ๊ยอาจใช้ในภาษาจีนได้ เพราะดูคุณtaxi พอจะเข้าใจความหมายตรงกัน เพียงแต่เฮียแกดูชิลมาก) “ว่าไรนะ ?” ม๊าถาม “พันสามร้อยหยวนจริงๆม๊า” เราตอบพร้อมกับยื่นบิลให้ดู “เสี่ยวเจ่” ม๊าตะโกนเรียก “นี่มันค่าอะไร” “ค่าปลาไงค่ะ ปลาตัวละ 995 หยวน ปลาหายาก มีไม่กี่ที่ แพงอย่างนี้อยู่แล้วค่ะ” (เราเติมคำว่าค่ะลงไปให้ จริงๆเจ๊แกน่าจะพูดว่า ฮึๆแทน) “จ่ายมันไป” ม๊าออกคำสั่งประกาศิตแบบฉุนกึ๊ก “มีเปล่า ...” (สองคำหลังม๊ากระซิบ) “ยังมีอยู่ค่ะ เพราะคำนวนงบไว้เกินเยอะ” เรานับแบงค์ร้อยในกระเป๋า ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ภาวนาในใจว่า อยากให้แบงค์ร้อยที่มันมีอยู่ในกระเป๋าเป็นแบงค์ปลอมซัก 10 ใบ จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:50:38

ความคิดเห็นที่ 63 ในใจตอนนั้นก็คิดอยู่ว่าจะโวยวายดีไหม แต่ด้วยการคำนวนอย่างรวดเร็วและสัญชาติญาณเอาตัวรอดตอนนั้นบอกตัวเองว่า ถ้าเกิดโวยวาย ทั้งๆที่กินเข้าไปแล้ว อาจโดนปิดประตูห้องเกะตีแมวได้ เราจึงต้องกลายร่างเป็นหมูให้โดนเชือดไป หลังจากเดินออกจากร้านด้วยอารมณ์งงๆว่า ตกลงนี่คืออาหารที่แพงสุดในชีวิตที่เคยกินมาเหรอนี่ ไม่ใช่ ที่โรงแรมห้าดาว ไม่ใช่ที่ภัตตาคารบุฟเฟต์ระดับหรู ไม่ใช่ซูชิบนร่างเปล่าเปลือย ไม่ใช่ขนมช็อกโกแล็ตประดับทอง แต่เป็นปลากระดูกหมู ณ ร้านอาหาร กลางทุ่ง ใกล้สุสานฮวงจุ้ยของกษัตริย์ราชวงศ์หมิง .... โอ้...เยี่ยมเลย เปื่อยจริง (เป่ยจิง) จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:51:28

ความคิดเห็นที่ 64 ตามมาชมรีวิวอีกค่ะ ง่ะ ค่าปลาแพงเกิ๊นนนนนน จากคุณ : สาวหน้าใส เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:57:16

ความคิดเห็นที่ 65 Dingling Tomb สุสานใต้ดินแห่งเดียวใน 13 Ming tomb ที่มีการขุดค้นห้องบรรจุศพ หลังจากเจ็บใจกับราคาอาหารไปพอสมควร คุณลุงtaxi ดูจะบริการดีขึ้นเป็นพิเศษ แต่ม๊าอารมณ์ไม่จอยอย่างแรง พร้อมกับบ่นว่า “ถ้ามันชวนไปซื้อของร้านไหนอีก แม่จะด่าให้เลย” เอาเถอะๆ ถือว่าทำบุญใช้หนี้ที่เคยก่อไว้ชาติที่แล้วแล้วกันนะม๊า   อย่าให้ได้เสียอารมณ์ เรามาดูสุสานกันต่อดีกว่า จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:58:01

ความคิดเห็นที่ 66 สุสานDingling แห่งนี้ เป็นสุสานแห่งเดียวใน 13 สุสานที่ทางการจีนได้มีการขุดค้นใต้ดินขึ้น แล้วก็พบว่า สุสานด้านใต้เปรียบได้กับ ห้องหรือวังเล็กๆเลยทีเดียว จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:58:38

ความคิดเห็นที่ 67 ด้านนอกทางเดิน Sacred way เล็กๆ ของที่นี่ ดูคล้ายๆกับที่พระราชวังต้องห้ามนะ จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 12:59:19

ความคิดเห็นที่ 68 ประตูนี้เรียกว่า Ling xing gate ยอดเสายกสูงขึ้นฟ้า เปรียบหมายถึงความยี่งใหญ่ของกษัตริย์ จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 13:00:39

ความคิดเห็นที่ 69 ภาชนะใส่ของบูชาแกะสลักหน้าสุสานจะประกอบด้วยของห้าชิ้น อันได้แก่ โถกำยาน 1, เชิงเทียน 2 และ แจกัน 2 จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 13:01:58

ความคิดเห็นที่ 70 เรื่องร้านอาหารนักท่ิองเที่ยว นี่น่ากลัวมากมาย เมืองไหนเมืองนั้น เสร็จทุกรายไป ไม่รู้ว่าคนขับรถ จะได้เปอร์เซ็นต์มั่งหรือเปล่า จากคุณ : vespa744 เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 13:02:48

ความคิดเห็นที่ 71 คนจีนสมัยก่อน ที่ฝังกษัตริย์ ถือว่าจะไม่ให้บอกตำแหน่งแน่ชัดว่าฝังไว้ที่ใด แต่ถ้าจะให้ฝังแบบไร้อขอบเขตเดี๋ยวคนไม่รู้เดินย่ำเล่น ก็ดูไม่ดี รอบๆด้านนอกสุสาน จึงใช้ต้นไม้สน เป็นตัวบ่งอนาเขต นักโบราณคดี คำนวนอายุสนเหล่านี้ที่ปลูกรอบๆบริเวณสุสานพบว่า สนเหล่านี้มีอายุมากกว่าสุสาน น่าจะแปลว่า มีการตัดหรือขนย้าย จากที่อื่นแล้วมาปลูกบริเวณสุสานเพื่อเป็นการบอกอาณาเขตคร่าวๆ จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 13:04:18

ความคิดเห็นที่ 72 ตอบคุณ vespa ได้ชัวร์ๆ แม่ขอฟันธง งานนี้ **************************************** การวางผังภายในแบ่งออกเป็นห้องห้าห้องด้วยกัน โดยมีห้องโถงตรงกลางและเชื่อมด้วยห้องอีกสี่ห้อง ตามมุมทั้งสี่ทิศ จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 13:05:41

ความคิดเห็นที่ 73 การขุดค้นในตอนแรก ต้องขุดลงไปถึง 27 เมตรกว่าจะถึงห้องโถงใต้ดิน จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 13:06:10

ความคิดเห็นที่ 74 พอเข้าไปในห้องโถงทางซ้ายและขวาก็ต้องพบกันความว่างเปล่า   (เงินที่เห็นในรูปนั่น คนจีนที่ไปเที่ยวเขาโยนกันไว้ค่ะ รู้สึกจะเป็นธรรมเนียมนะ...คาดว่า) จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 13:06:52

ความคิดเห็นที่ 75 แต่นักโบราณคดีไม่โชคร้ายไปทั้งหมด เพราะเมื่อขุดไปยังห้องที่อยู่ด้านหลัง ก็พบโลงศพบรรจุศพของกษัตริย์และมเหสีทั้งสอง จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 13:07:22

ความคิดเห็นที่ 76 พร้อมกับบัลลังก์หินอ่อน และ ข้าวของเครื่องใช้นับพันๆชิ้น จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 13:07:53

ความคิดเห็นที่ 77 เมื่อเดินอ้อมมายังโถงด้านหน้าก็จะเจอกับประตูหินอ่อนบานใหญ่ที่หนาถึง 40 cm ในช่วงการขุดค้น ประตูบานนี้ถูกลงกลอนปิดจากภายใน และมีคำอธิบายประโยคสั้นๆ เขียนไว้บนแท่นหินว่า “The self acting stones of seven gates in the Underground palace are not yet tested” แปลเป็นไทยน่าจะแปลว่า “ยังไม่ได้ทดสอบ ระบบการปิดล็อคอัตโนมัติด้วยหินของประตูทั้ง 7 บานของพระราชวังใต้ดิน” จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 13:08:39

ความคิดเห็นที่ 78 โอ้ว้าว ระบบล็อก อัตโนมัติ เรื่องการค้นคิดสิ่งประดิษฐ์ของจีนนี่ต้องยกให้เขาเลยแหละ (แต่ทำไมปัจจุบัน เทคโนโลยีจีนถึงได้ล้าหลังกว่าญี่ปุ่น นะ??) จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 13:09:00

ความคิดเห็นที่ 79 การโบกอิฐปิดจะใช้แบบรูปทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 13:09:56

ความคิดเห็นที่ 80 เนื่องจากว่าเครื่องทองทั้งหลายที่ขุดพบมีจำนวนถึง 289 ชิ้น จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 13:10:16

ความคิดเห็นที่ 81 นี่ยังไม่รวมเครื่องประดับหยก ไม่ว่าจะเป็นสร้อยคอ จากคุณ : CMV เขียนเมื่อ : 13 มี.ค. 54 13:10:47